Saturday 29 November 2008

Chinese Democracy ****


Guns N’ Roses Chinese Democracy ****

ครั้งสุดท้ายที่ Guns N' Roses ออกอัลบั้มที่เป็นเพลงออริจินัลออกมาคือในปี 1991 กับอัลบั้มคู่ที่มีเพลงแน่นขนัด (ตัดเป็นแผ่นเสียงได้สามชุด) Use Your Illusion 1+2 สมัยนั้นนายกฯเรายังชื่อ อานันท์ ปันยารชุน และจวบจนวันนี้ 2008...ฟุตบอลโลกก็ผ่านไปแล้ว4สมัย....ส่วนนายกฯ ...ใครก็ได้ช่วยนับที

แฟนเพลงทุกคนรู้เรื่องราวหลังจากนั้นกันดี Chinese Democracy เป็นอัลบั้มที่มีประวัติศาสตร์การทำงานยาวเหยียด นานพอที่จะทำให้ Axl Rose ไล่ original members ออกไปเกือบหมด (เหลือมือคีย์บอร์ด Dizzy Reed คนเดียวที่รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ) รวมทั้งสมาชิกใหม่ๆก็เดินสายเข้าออกกันราวกับมาชอปปิ้ง มันผ่านข่าวลือและ deadline นับครั้งไม่ถ้วน จากการเป็นอัลบั้มที่โลกจดจ่อรอคอยจนหลายปีให้หลังกลายเป็นโจ๊กเศร้าๆในวงการดนตรีเวลาที่ใครทำอะไรไม่เสร็จเสียทีก็มักจะยกมันขึ้นมาแซว ถึงขั้นที่หลายคนเชื่อว่าประเทศจีนอาจจะมีประชาธิปไตยจริงๆก่อนอัลบั้มนี้ออกเสียล่ะมั้ง (แต่ที่แน่ๆประเทศจีนสั่งแบนอัลบั้มนี้ไม่ให้วางขายในประเทศเรียบร้อยโรงเรียน...จีนไปแล้ว)

แต่นั่นก็ไม่สำคัญ... ไม่ว่าอัลบั้มนี้จะใช้เวลาสร้างนานแค่ไหน หรือแอกเซิลจะใช้เงินและนักดนตรีไปเท่าไหร่ ประเด็นสำคัญคือ มันออกมาแล้ว Chinese Democracy อัลบั้มที่ต้องแบกความกดดันมหาศาล เราควรตัดสินมันที่คุณภาพดนตรีโดยไม่ต้องไปคิดดอกเบี้ยย้อนหลังกับเวลาที่หายไป เพราะแอกเซิลไม่ได้ยืมเงินคุณไปบันทึกเสียงเสียหน่อย (แต่มันก็อาจจะไม่ใช่เงินเขา)

แม้ว่าจะเหลือสมาชิกหลักคือเขาคนเดียว แต่ Chinese Democracy ก็ยังคงมีซาวนด์ของ Guns N' Roses มากกว่าวงดนตรีอื่นใดในโลก (รวมทั้ง Velvet Revolver) มันคือการเดินทางต่อจาก Use Your Illusion ซาวนด์กีต้าร์ดิบๆและจังหวะแบบ boogie-rock-and-roll หายไปพร้อมๆกับ Slash คงเหลือแต่ความอลังการอู้ฟู่สุดขั้วสุดขีดทางอารมณ์ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแอกเซิล แต่ถ้าเป็นไปได้ แอกเซิลคงอยากให้ Slash ยังอยู่ เพราะพาร์ทกีต้าร์เด็ดๆในหลายเพลงล้วนแล้วแต่เป็น"ทาง"ของนายหัวฟูทั้งสิ้น ขอแสดงความเสียใจไว้ตั้งแต่ตรงนี้สำหรับผู้หวังซาวนด์แบบอัลบั้มแรกในปี 1987 Appetite For Destruction โรสมาไกลเกินกว่าจะกลับไปจุดนั้นแล้ว

Industrial sound แบบ Nine Inch Nails ที่แผ่ซ่านในเพลงสุดท้ายของ GN’R ก่อนหน้าอัลบั้มนี้ Oh My God ที่เป็นซาวนด์แทร็คของหนัง End Of Days (1999) ยังคงพอให้ได้ยินเป็นระยะๆ สลับไปกับซาวนด์ Nu-metal อย่าง Korn และ Linkin Park!

Chinese Democracy มีเพลง 14เพลง แต่ยาวถึง 71นาทีกว่าๆ แทบทุกเพลงยาวเหยียด5-7นาที พอจะสรุปได้ว่าเวลาที่เขาสูญเสียไปอยู่ที่การพยายามทำทุกเพลงให้ perfect ที่สุด ว่ากันว่าแค่เสียงกลองใน title track ที่แอกเซิลอยากให้เหมือนที่ Dave Grohl ฟาดไว้ใน Smell Like Teen Spirit ก็ต้องใช้เวลาสร้างสรรค์และค้นหากันถึงกว่าหกเดือน! หลายต่อหลายเพลงมีโครงสร้างไม่เหมือนเพลงป๊อบร็อคหรือเมตัลธรรมดาๆ คุณจะพบบัลลาดที่ไร้คอรัส การโซโลที่กระจายไปทั่วเพลงทั้งกีต้าร์ไฟฟ้า กีต้าร์สแปนิช เครื่องเป่า เครื่องสายที่ร่ายรำอย่างไม่ไยดีกาละและเทศะ จนบางทีเหมือนว่ามันนึกอยากใส่อะไรก็ใส่เข้ามาหมด 14 ปีกับ 14 เพลงอาจจะแสนนานสุดเวอร์ แต่สำหรับอัจฉริยะกึ่งบ้าอย่าง W. Axl Rose อาจจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำสำหรับการไล่จับเสียงในจินตนาการของเขาให้ออกมาเป็นตัวตน

เมื่อเทียบกับ Use Your Illusions แล้ว Chinese Democracy จึงฟังยากกว่าและต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักกับมันมากขึ้น แต่รับรองว่าคงไม่ต้องฟังกันนานเป็นสิบปีถึงจะเข้าถึง

เปิดอัลบั้มด้วยไทเทิลแทร็คและซิงเกิ้ลเปิดตัว Chinese Democracy **** เริ่มด้วยเสียงคีย์บอร์ดเวิ้งว้าง....เสียงพูดคุยเบาๆเป็นภาษา..น่าจะจีน ...ท่อนริฟฟ์กระชั้นสั้นหนัก...และเรารู้สึกว่านี่คืออัลบั้มของ GN’R ในที่สุดเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องตัดหมอกที่เราคุ้นเคยของ Axl ในวัย 46 ปี เขายังรักษาความแหลมคมและแสบสันต์ของน้ำเสียงนรกประทานเอาไว้ได้อย่างน่าชมเชย นี่เป็นแทร็คที่ประกาศก้องถึงความยิ่งใหญ่และทรงพลัง สบายใจได้สำหรับผู้ที่ห่วงว่า Chinese Democracy จะเต็มไปด้วยเพลงบัลลาดแหววๆ ต่อกันด้วย Shackler's Revenge *** ที่มีทุกอย่างที่เหมาะสำหรับการเป็นเพลงประกอบ Computer Game ทั้งจังหวะและเสียงกีต้าร์ และมันก็เป็นซาวนด์แทร็คของเกม Rock Band 2 จริงๆด้วย

Better ***** ซิงเกิ้ลที่สอง เริ่มต้นด้วยดรัมลูปแบบเมทัลลิกและเสียงร้องแบบโรบ็อต ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเพลงที่เป็น GN’R classic... เมโลดี้งดงามและค่อยๆสร้างอารมณ์เข้าสู่ความหนักหน่วงดุดันขึ้นตามลำดับ ในเวลาเกือบห้านาทีมีอะไรเกิดขึ้นมากมายสุดจะคาดเดา นี่เป็นตัวอย่างของการทำเพลงไม่ยึดติดสูตรสำเร็จแต่ก็ยังฟังติดหูได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพลงที่สี่...คงถึงเวลาที่ต้องเอาใจแฟนๆกันแล้ว Street Of Dreams **** (ชื่อเดิม “The Blues”) โหงวเฮ้งน่าจะเป็น November Rain ของอัลบั้มได้ ทำนองเด็ดขาดแบบนี้พลาดยาก แต่ฟังๆไปมันอาจจะหนักเกินกว่าที่จะเป็นเพลงขวัญใจประชานิยมอย่าง "ฝนพฤศจิก"เมื่อ 17 ปีก่อนนั้น โซโลกีต้าร์กลางเพลงโดย Buckethead เจิดจ้าระยับระยิบกับออเคสตร้ากระหึ่มก้อง ขณะที่ November Rain ประหนี่งฝนพรำในลมหนาวปวดร้าวน้ำตาพรั่ง Street Of Dreams กระหน่ำหนักเป็นเฮอริเคนม้วนเดียวจบตายคาที่!

ถ้ายังจำเพลงแรปอุบาทว์ๆ My World จาก Use Your Illusion II กันได้ If The World ****เหมือนจะเป็นการแก้ตัวของแอกเซิล นี่อาจเป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ไมเคิล แจ็คสันอาจจะนำไปร้องได้ แตกต่างจากเพลงอื่นและถือว่าเป็นการพักหู กลองไฟฟ้าเดินเรื่องไปกับกลองมนุษย์ กีต้าร์สแปนิช กีต้าร์ไฟฟ้า เครื่องสาย คีย์บอร์ด-ลูป และเสียงร้องที่น่าจะเรียกได้ว่า"อ้อน"ที่สุดในอัลบั้มของโรส There Was A Time ***** มันเป็นเพลงที่ถ้าคุณไม่รักมันก็จะเกลียดไปเลย บัลลาดมหากาพย์ที่ไร้คอรัสที่แท้จริง เริ่มด้วยเสียงวงไควร์เคว้งคว้างและโรสร้องไปกับดรัมลูป เครื่องสายกรีดกรายเข้ามา ชักชวนเสียงกลองและกองทัพกีต้าร์ไม่ทราบกำลังพลเดินเท้าเข้ากระหน่ำ โรสร้องเพลงนี้ได้สุดเสียงสังข์ ทุกวลีจากปากราวกับมาจากความรวดร้าวที่ลึกล้ำสุดบรรยาย Buckethead มือกีต้าร์จอมเพี้ยนผู้ฝักใฝ่ในผู้พันแซนเดอร์สฝากฝีมือโซโลไว้อย่างยิ่งใหญ่ Robin Finck ออกมาร่ายมนต์โซโลก่อนในลีลางดงามล่องลอยและปวดร้าว ก่อนที่พ่อหัวเคเอฟซี (Buckethead จะใส่ถังใส่ KFC เป็นหมวกไว้บนหัวเสมอ)จะออกมาสรุปคดีขยี้ปิดศาลในนาทีที่ 4:25 แอกเซิลปล่อยให้เขาใส่ยาวเหยียด มันคือการโซโลที่ดีที่สุดในอัลบั้ม และอาจจะเป็นการโซโลแห่งปี 2008 เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงปิดอัลบั้ม เพราะมันเรียกความรู้สึกว่าไม่ควรมีอะไรต่อจากนี้อีกแล้วหลังจากจบเพลงด้วยเสียงวงไควร์เดิมอีกครั้ง...

ผมคิดว่านั่นเป็นการจบภาคแรกของอัลบั้ม ถ้าไม่เหนื่อยเกิน...ต่อกันที่เพลงที่เจ็ด... Catcher In The Rye ***** ชื่อเพลงมาจากวรรณกรรมคลาสสิกของ J.D. Salinger ที่ดันเป็นหนังสือโปรดสุดๆของผมด้วย โครงสร้างและการเรียบเรียงจัดว่า conservative เมื่อเทียบกับเพลงอื่นๆ ท่อนโซโลที่เคยเป็นของ Brian May คือจุดเด่นแม้จะเปลี่ยนคนเล่นเป็น Bumblefoot และ Robin Finck (มือกีต้าร์วงควีนเคยเข้ามาร่วมบันทึกเสียงด้วยในเพลงนี้ แต่ภายหลังพาร์ทของเขาถูกลบไป) นี่คือเพลงป๊อบที่สุดในอัลบั้ม แต่มันก็ยาวเลยเถิดไปเกือบห้านาที นักวิจารณ์บางคนบอกว่า แอกเซิลมันดูเหมือนจะไม่รู้ว่าจะหยุดตรงไหน ทุกอย่างดูมากเกินไป หรือว่าน้อยเกินไปทั้งนั้นในอัลบั้มนี้ เห็นด้วยครับ แอกเซิลเลือกที่จะทำงานตามใจตัวเอง ไม่ play safe แบบ AC/DC ที่เหมือนเดิมเป๊ะๆ

Scraped *** อินโทรอะแคปเปลลาฟังดูประหลาดยิ่งก่อนที่จะกลายเป็นร็อคแรงๆแบบ Locomotive ในอัลบั้ม Use Your Illusion II Sorry *** บัลลาดอารมณ์สยดสยองที่กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆอย่างรวดเร็ว (จากโพลล์ใน chinesedemocracy.com) ว่ากันว่าแอกเซิลแต่งเพลงนี้เพื่อกัด Slash โดยเฉพาะ เป็นไปไม่ได้เลยที่ในคอนเสิร์ตแฟนๆจะไม่แหกปากร้องตามในท่อนคอรัส I'm sorry for you.... not sorry for me... Buckethead solo ได้เด็ดขาดอีกครั้ง น่าเสียดายที่เขาถูกตะเพิดออกจากวงไปเมื่อ 4 ปีก่อน Madagascar และ I.R.S. แทร็คที่”หลุด”ออกมาหลายปีแล้วกลับฟังไม่โดดเด่น แต่ Axl ก็ยังเก็บทีเด็ดไว้ปิดท้าย This I Love **** เปียโนบัลลาดคลอเครื่องสายและเสียงร้องใน mode หล่อ-หวาน สลับกับ โหยหา-ปวดร้าว ของโรส และแน่นอนต้องมี killer guitar solo ที่เป็นฝีมือ Robin ฉายเดี่ยว

Chinese Democracy ปิดท้ายด้วยเพลงรักแบบโรสๆ Prostitute ****1/2 ถ้าคุณสงสัยในความเป็นยอดนักร้องของเขานี่คือคำตอบ บทจะเน้นความลึกซึ้งเขาก็ตีบทแตกเป็นชิ้นๆ อารมณ์และเนื้อหาของบทเพลงดูจริงเกินกว่าที่จะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องแต่ง จบด้วยเครื่องสายแบบคลาสสิคัล

คงจะโหดร้ายเกินไปมากถ้าจะหวังว่า Chinese Democracy จะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดที่โลกเคยมีมา เพียงเพราะว่ามันใช้เวลาการทำงานนานไปไม่หน่อย แต่ความจริงคือนี่คืออัลบั้มของวง Guns N' Roses ที่ยังให้ความเมามันส์และอารมณ์สุดขั้วในการฟัง ที่คุณไม่ละอายใจที่จะแหกปากสุดขั้วปอดตามนายโรสไปด้วยและไม่ลืมที่จะ"แอร์กีต้าร์"อย่างลืมตัวเป็นพักๆอีกต่างหาก (แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยแน่ใจว่านั่นมันเสียงโซโลจากฝีมือใคร) ถ้าอัลบั้มนี้ไม่ล้มเหลวเกินไปนัก เราอาจจะไม่ต้องรอนานนักสำหรับงานต่อไปของ GN’R เพราะข่าววงในเล่าว่ามีเพลงพอสำหรับอีกสองอัลบั้มรออยู่แล้ว.... จะเชื่อดีไหมเนี่ย

Bob Ludwig มือมาสเตอร์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาลรับหน้าที่ทำมาสเตอร์ และนี่ก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มร็อคยุคใหม่ที่ยังให้สุ้มเสียงเปิดกว้างเต็มไปด้วยรายละเอียด สรรพเสียงมากมายที่แออัดกันอยู่ในแต่ละเพลงถูกจัดสรรที่ทางกันไว้อย่างมีศิลปะ

เอาล่ะ ถึงแม้จะเชียร์แค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าแท้จริงแล้ว Chinese Democracy คืองานโซโลของ Axl Rose ทุกอย่างเป็นวิสัยทัศน์ ชีวิต และตัวตนของเขา โปรดตัดสินมันที่ตัวดนตรีครับ

Saturday 22 November 2008

Guns N' Roses: Chinese Democracy

This is the information:I'm an Axl fan. No Slash's solo works and Velvet Revolver impressed me much. I love both Appetite For Destrucion and Use Your Illusion. I even like 'The Spaghetti Incident?' If you have a heart like mind then you should love 'Chinese Democracy'. Now what? You haven't heard anything by GN'R in your lifetime? Well, then I've got nothing to say to you.



Yes, it is some hours before its official release date but you should not surprise that the final version was leaked days ago.I want to write a review for it. Though I know I shouldn't now. It takes time. This is not an album you could write a propriate review in a few listens. By the way, I don't need 13 years!



So, what? I listen, listen, listen... and read,read,read many reviews. And some of them made me angry. The fact that it was created in 13 years has nothing to do with its music, you know! Axl didn't use your money to record it. It's his own, man (or at least it's someone that not you)! And should we call this band Guns N' Roses? The only original member is Axl alone, Ok two if you count the keyboard player Dizzy Reed. My final answer is yes, it should be called Guns N' Roses. Reason? Get me ANY band in this f__kin' world that sounds more like GN'R. You understand? It's not like Pink Floyd without Roger Waters , Queen with Paul Rodgers or Led Zeppelin without Robert Plant. That's all wrong.

So, you should judge this album by what it really sounds not how long it took to create or who's in the band or not.



Any GN'R fan who likes a simple hard rock style of early GN'R should stick with Slash's and Velvet Revolver works. This is definitely not a place for you. The music is grand, complex, epic and most important, not created in a standard structure. So no wonder some critics get lost in the mix. They should not be hurry. If he or she wants to find a verse-verse-chorus-solo-bridge-verse stucture...surely they will be disappointed.



You know, any critic who doesn't mention the solos (I think it's Buckethead) in 'There Was A Time' is surely miss the boat. Man, I don't know how many thousands of solo ever passed my ears but this is one of the best, ranked with Randy Rhoades in Ozzy's Mr. Crowley (in 'Tribute'). Yeah, this is the best moment in this album. And Axl howls like he's in deepest pain all over. His voice at 46 is, incredible, better than ever!



You're looking for 'November Rain'? Sorry, dude, you won't find any. Axl didn't need to do that style once more. Personally, I think it's overrated and too simple.



Listen to 'Street Of Dreams' and 'Sorry'. Axl writes his own rule in ballad rock.

As I said, it takes time to digest all of this. So I will finish at this. Like it or not, give it a good amount of time. I believe it's not a bad one. He can make it like AC/DC, sounds like an old band that everyone's waiting for. But Axl takes risk. I don't know if it will success or fail.

Tuesday 11 November 2008

20 Greatest Albums Of 2008































20.Guns N’ Roses -Chinese Democracy
14 ปีที่รอคอย ถึงตอนที่ท่านผุ้อ่านอ่านอยู่อัลบั้มนี้คงออกมาแล้ว แต่ขณะที่เขียนอยู่นี้ผมเพิ่งได้ฟังแค่ไทเทิลแทร็คเพลงเดียว เมื่อนำไปผูกโยงกับเวอร์ชั่นเก่าๆที่เคยหลุดออกมาเป็นระยะทำให้ผมสรุปออกนอกหน้าและไร้เหตุผลรองรับว่ามันน่าจะเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปีนี้อีกแผ่น

19.Elvis Costello -Momofuku* คอสเทลโลค้นหาไฟในตัวเจออีกครั้ง ถ้าไม่นับเสียงร้องที่อาจจะไม่สดใสเหมือนวัยหนุ่ม นี่คือร็อคเรียบง่ายแต่เปี่ยมพลังเหมือนงานในยุคแรกของเขา โปรดพิสูจน์ฝีมือการเขียนเนื้อเพลงยังคงปราดเปรื่อง และฝีมือกีต้าร์ที่มักจะถูกมองข้าม

18.Sheryl Crow -Detours* สาวแกร่ง Sheryl กลับไปร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คนแรกที่ทำให้เธอโด่งดัง Bill Bottrell Detours เป็นอัลบั้มที่แฟนๆพร้อมจะอ้าแขนรับ มันเป็น classic Sheryl เสียงร้องหวานใส และดนครีโฟล์คร็อคที่ไม่เคยแห้งแล้งเมโลดี้ แม้เนื้อหาจะหนักอึ้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทางการเมือง, การเลิกร้างกับแฟนหนุ่ม แลนซ์ อาร์มสตรอง หรือสภาวะจิตใจของเธอขณะรอรับการฉายรังสีรักษามะเร็ง แต่ Crow ก็ยังทำเพลงออกมาได้น่าฟังเสมอ

17.Neil Diamond -Home Before Dark* การร่วมมือกันอีกครั้งของ Neil และ Rick Rubin ดนตรียังคงเป็นในแบบคล้ายที่ Rubin โปรดิวซ์ให้กับ Johnny Cash เน้นกีต้าร์โปร่ง ดนตรีน้อยชิ้น บทเพลงจริงจังตรงไปตรงมา แตกต่างไปจากยุครุ่งเรืองของ Neil พอสมควร

16.Madonna -Hard Candy* ราชินีป๊อบทำอัลบั้มนี้ในแบบ play safe ปิดประตูล้มเหลว ด้วยการจ้างโปรดิวเซอร์ที่ทำงานติดตลาดที่สุด อย่าง Timberland และ Pharrell Williams และแขกรับเชิญงานชุกอย่าง Justin Timberlake มาเป็นหน้าเป็นตาให้ Hard Candy อีกทั้งดนตรีก็เป็นป๊อบสูตรสำเร็จที่คาดเดาได้ กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นงานคุณภาพที่เหนือชั้น เพียงแต่คงไม่มีความจีรังในความทรงจำของแฟนเพลงได้เท่างานเยี่ยมๆของเธอในอดีตอย่าง Ray Of Light หรือ Like A Prayer

15.She & Him- Volume 1* Zooey Deschannel เป็นหนึ่งในดาราหนังไม่กี่คนที่เป็นนักร้องได้อย่างเต็มตัว แถมเธอยังแต่งเพลงเองเสียอีก ‘him’ คือ M.Ward มือกีต้าร์และโปรดิวเซอร์หนุ่มในทาง alternative country Volume One เต็มไปด้วยเพลงรักในแบบยุคคุณป้ายังสาว wall-of-sound แบบ Phil Spector และป๊อบสนุกแบบ Girl Group ที่โด่งดังในยุค 60’s

14.Kean -Perfect Symmetry* เลิกทำตัวเป็นทริโอเปียโนป๊อบไร้กีต้าร์ แต่หันไปเล่นซินธ์ป๊อบแบบ A-Ha และ Pet Shop Boys แถมใส่ดนตรีแน่นขนัด เสียงร้องของ Tom Chaplin ยังคงอิ่มเอิบเฉียบขาด และ Tim Rice-Oxley ก็ยังคงร่ายมนต์ผลิตเมโลดี้เร้าใจได้มากมายเหมือนเดิม

13.Mariah Carey -E=MC2 สมัยเธอดังขึ้นมาคู่กันมากับ Whitney Houston เราก็ติดตามอยู่ว่าใครจะคงกระพันกว่ากันระหว่างสองดีว่าดำ-ขาว แต่ในขณะที่ Whitney ติดยาหมดสภาพไปแล้ว เจ๊ม้าลายของเรายังอยู่ แม้ว่าจะเคยสติแตกหวิดฆ่าตัวตายไปเหมือนกันในยุคตกต่ำ แต่เธอก็กลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อในอัลบั้มที่แล้ว The Emancipation Of Mimi อัลบั้มนี้ยังเดินรอยตามเดิมเป็นป๊อบที่กลมกลืนไปกับฮิปฮอปที่เธอโปรดมานานแล้วพร้อมแขกรับเชิญกระจาย เสียงกระบังลมหวีดหวิวของเธอก็ยังตามมาหลอกหลอนเป็นระยะๆ นี่เป็นงานที่ฟังได้เพลินๆและจับตลาดอเมริกันได้อยู่หมัดเหลือเกิน

12.Rolling Stones -Shine A Light ซาวนด์แทร็คจากหนังคอนเสิร์ตอีกเรื่องของสโตนส์จากการแสดงที่ Bacon Theatre ในปี 2006 ด้วยความที่เป็นสถานที่เล็กและต่อหน้าการกำกับของ Martin Scorsese ทำให้การแสดงของพวกเขาเข้มข้นและโฟกัสเป็นพิเศษ ผมได้ชมหนังเรื่องนี้ในการฉาย “กลางแปลง” ที่ Siam Paragon ในวันที่ 1 พ.ย. แม้สุ้มเสียงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ต้องบอกว่าสนุกมากๆ มันจะเป็นอัลบั้มที่จะทำให้คุณกลับมาหลงรักร็อคแอนด์โรลอีกครั้ง

11.The Last Shadow Puppets -The Age Of Understatement โปรเจ็คเล่นๆของ Alex Turner แห่ง british punk pop ชื่อดัง Arctic Monkeys และ Miles Kane จาก The Rascals แต่ฟังแล้วโปรดักชั่นหรูหราไม่ใช่งานแก้เหงาธรรมดาๆเลย นอกจากน้ำเสียงของ Alex แล้วงานนี้แทบไม่มีอะไรเหมือน the Monkeys อิทธิพลสำคัญคือ symphonic pop ของ Scott Walker และ David Bowie ในยุคก่อนมี Alex Turner คือนักดนตรี-นักแต่งเพลงที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน เชื่อว่าอัลบั้มที่สามของ Arctic Monkeys ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

10.Slipknot -All Hope Is Gone* เมทัลหน้ากาก9หน่อจากไอโอวาหาจุดลงตัวของตลาดและความรุนแรงหนักหน่วงของดนตรีของพวกเขาพบในอัลบั้มที่ 4 ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำเพลงในระดับการทำลายล้างขนาดนี้ให้มีท่วงทำนองติดหูได้ด้วย

9. Randy Newman- Harps And Angles * ปลีกเวลาจากงานซาวนด์แทร็คมาทำงานเดี่ยวอีกครั้ง ไม่มีคำว่าฟอร์มตกสำหรับแรนดี้ นิวแมน เขายังทำดนตรีป๊อบที่มีสุ้มเสียงแบบนิวออร์ลีนส์บ้านเกิดได้น่าฟัง หลายเพลงโชว์ฝีมือการเขียนภาคออเคสตร้าราวกับเป็นซาวนด์แทร็คในบทเพลง

8.Ryan Adams and the Cardinals -Cardinology หลังจากเคยออกถึงสามอัลบั้มในปีเดียว ไรอันทิ้งช่วงห่างจาก Easy Tiger งานเดี่ยวของเขาไปถึง 1 ปี รายงานข่าวว่าเขาเอาชนะปัญหาเหล้ายาได้เด็ดขาด และ Cardinology ก็เป็นหนึ่งในงานยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยทำมา ไรอันคือส่วนผสมของแกรม พาร์สันส์ และนีล ยังก์ในวัยหนุ่ม และ Cardinology ก็ยังยืนยันในส่วนผสมนั้น มันคือ classic rock ในแบบที่คนหนุ่มยุคนี้หาใครมือถึงทำได้อย่างนี้แทบไม่มีอีกแล้ว

7.The Ting Tings -We Started Nothing ดูโอจากแมนเชสเตอร์คู่นี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นวงติงต๊องตลกๆธรรมดา Katie White นักร้องและกีต้าร์ผมบลอนด์น่ารักน่าชังและมือกลอง Jules De Martino กลับทำเพลงออกมาได้อย่างน่าเกรงขาม? ลองฟัง That’s Not My Name ซิงเกิ้ลดัง หนึ่งในเพลงป๊อบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งปีจากเพลงป๊อบพังค์ที่เหมือนจะเอาสนุกเข้าว่าแบบ Mickey ของ Toni Basilแต่ตอนจบกลับโชว์การ counterpoint กันถึง 4 elements! ดนตรีของพวกเขานั้นคงจะ started nothing เหมือนกับที่ออกตัวไว้ แต่สิ่งที่เขาและเธอสานต่อนั้นก็เหลือเฟือแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงจะเป็น New Blondie มากกว่า New Knack ที่จอดแค่ป้ายแรก

6.B.B. King -One Kind Favor* ราชันย์แห่งบลูส์มาในสุ้มเสียงที่สดดิบที่สุดในรอบหลายปี จากการโปรดิวซ์ของ T-Bone Burnett วัย 83 ไม่เป็นปัญหาใดๆแก่คิงทั้งเสียงร้องและการเล่นกีต้าร์ Lucille ยังกรีดเสียงหวานเศร้าได้เหมือนหลายสิบปีที่ผ่านมา ปู่คิงล้อเล่นกับมรณะกาลของตนเองอย่างไม่ยี่หระใน See That My Grave Is Kept Clean และร่ายมนต์บลูส์ปลิดน้ำตาแฟนๆปิดท้ายด้วย Tomorrow Night นี่คืออัลบั้มที่จะเป็นตำนานบลูส์ในอนาคต

5.AC/DC -Black Ice หายไปหลายปี กลับมาครั้งนี้พวกเขาจับซาวนด์ในแบบ Back In Black ที่ทำให้วงเมทัลออสเตรเลียนนี้กลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีขายดีที่สุดตลอดกาลได้อีกครั้ง ทุกอย่างยังเป็นสูตรเดิมๆ ฮาร์ดร็อคจังหวะกลางๆที่ขายริฟฟ์มันส์ๆ เสียงร้องกรีดเค้น (แต่ในอัลบั้มนี้ Brian Johnson ในวัยนี้กรีดร้องน้อยลงแต่ใส่ความ soulful ที่ไม่ค่อยเคยได้ยินลงไปในเนื้อเสียงของเขาได้อย่างน่าฟัง) และเนื้อหาที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า ปัจจัย4ของร็อคแอนด์โรลล์ แต่คุณคิดว่าสูตรนี้ทำกันได้ง่ายๆหรือ และมีใครทำได้อย่างพวกเขาบ้างล่ะ?

4.Fleet Foxes -Fleet Foxes งานเปิดตัวของหนุ่มฮิปปี้หลงสมัย5คนจากซีแอตเติล มันเป็นอัลบั้มที่ฟังแล้วเหมือนบันทีกเสียงกันในหุบผาซอกหินหรือเทือกเขาลำเนาไพรอันซ่อนเร้นสักแห่งในอเมริกาแทนที่จะเป็นห้องบันทึกเสียงสมัยใหม่ พวกเขาเรียกดนตรีโฟล์คร็อคที่เน้นเสียงประสานโหยหวนของพวกเขาว่า “baroque harmonic pop jams” อาจจะเป็นงานที่ไม่ขายนัก แต่เรื่องคำวิจารณ์รับดาวไปหลายตะกร้าจากทุกสำนัก

3.Duffy -Rockferry สาวเวลช์ร่างเล็กที่โด่งดังมาก่อนจะออกอัลบั้ม และเสียงเธอก็สมคำร่ำลือจริงๆ การร้องของเธอคล้ายนักร้องรุ่นใหญ่หลายคนแต่ที่โดดเด่นออกมาคือสไตล์ของ Dusty Springfield และโทนเสียงจัดจ้านแบบ Cyndi Lauper Bernard Butler อดีตมือกีต้าร์ Suede โปรดิวซ์อัลบั้มนี้ออกมาในแนวดนตรีป๊อบโซลยุค 60’s ในแบบที่เขาถนัด โดยส่วนตัวผมคิดว่าเธอมีเสียงร้องที่น่าทึ่งที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา อย่าแปลกใจว่าทำไมเธอถึงได้มาในอัลบั้มแรกอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เพราะเบื้องหลังการทำงานใน Rockferry นั้นใช้เวลาย้อนกลับไปถึง 4 ปี จึงไม่ถูกนักถ้าจะเรียกเธอว่าเป็น New Amy Winehouse

2.Coldplay -Viva La Vida or Death and All His Friends Brian Eno ก้าวเข้ามารับบทโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้ แต่น่าจะเรียกเขาว่าเป็นผู้อำนวยการสร้างน่าจะเหมาะกว่า ไม่มีอีกแล้วสำหรับเพลงอ้อนสาวอย่าง Fix You หรือ In My Place, Viva La Vida เต็มไปด้วยซาวนด์ที่ถักทอสอดประสานหลายซับทับซ้อน มันอาจจะไม่มีเพลงติดหูง่ายๆเหมือนสามอัลบั้มแรก แต่ในภาพรวมของอัลบั้มนี่คือการผจญภัยครั้งใหม่ที่พวกเขาไปใกล้ขอบฟ้ามากขึ้นทุกที เสียงร้องของ Martin ยังทรงเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ของวงเหมือนเดิม

1.Nick Cave and The Bad Seeds -Dig!!! Lazarus Dig!!!* เจ้าพ่อ Gothic Rock วัยครึ่งศตวรรษ เครื่องติดตั้งแต่โปรเจ็กก่อนที่เขาทำกับวง Bad Seeds ชุดเล็กในชื่อ Grinderman, Dig!!! Lazarus Dig!!! ยังคงเต็มไปด้วยเพลงที่ว่าด้วยเรื่องต้องห้ามของเซ็กซ์ ศาสนา และความหายนะ ที่หาใครในโลกเขียนได้อย่างเข้มข้น(และบางทีก็ขำขัน)ได้เท่า Nick Cave ยาก ดนตรีขับเคลื่อนด้วยเบสอ้วนลึกและคีย์บอร์ดไหลลื่นในแบบ The Doors สมทบด้วยกีต้าร์ดิบร้อนฉ่า นี่คือร็อคที่ไร้กาลเวลาโดยสิ้นเชิง