Monday 20 July 2009

Michael Jackson The Stripped Mixes


ดูจากวันออกจำหน่ายของซีดีชุดนี้คงจะไม่ต้องอธิบายกันมาก - 7 ก.ค. 2009


โมทาวน์ทำงานชิ้นนี้ออกมาเพื่อตักตวงผลประโยชน์จากความตายของไมเคิลอย่างไม่ต้องมีความเขินอายใดๆกันแล้ว ปกติฝรั่งเค้าจะค่อนข้างถือเรื่องนี้นะ ยังไงก็ควรจะทิ้งช่วงนานกว่านี้สักหน่อย หรือว่ายุคสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว คงไม่มีใครมาถือสาเรื่องกาละเทศะหรือมารยาท-รสนิยมอะไร ขืนออกเดือนหน้าคนก็อาจจะลืมไมเคิลไปหมดแล้ว
อัลบั้มนี้มี 11 เพลง ล้วนเป็นเพลงเก่าที่ไมเคิลร้องไว้ในงานเดี่ยวหรือกับพี่ๆวง Jackson 5 สมัยเขายังอยู่กับโมทาวน์ แต่ความ"พิเศษ"ของมันก็คือ แต่ละเพลงจะมิกซ์ดนตรีมาไม่ครบและกดเสียงดนตรีให้เบาบาง ขับเสีัยงร้องของไมเคิลและพี่ๆให้โดดเด่นชัดเจนขึ้น มันหากินกันง่ายๆอย่างนี้เองนะเนี่ย


เฮ้อ แต่ถึงจะเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่า 11 เพลงในเวอร์ชั่นเปลื้องผ้านี้ มันสุดแสนจะไพเราะจริงๆ Ben และ I'll Be There ราวกับจะเป็น unplugged version ส่วน I Want You Back ก็เพลิดเพลินไปกับการร้องของไมเคิลและพี่ๆที่ตั้งใจและละเอียดมากๆกับทุกโน้ต เพลงที่ไม่ดังนักอย่าง We Got A Good Thing Going หรือ With A Child's Heart ก็หวานซึ้งตรึงใจ ส่วน Who's Loving You นั้น...ตายไปเลยกับการขับร้องแบบหยุดหัวใจผู้ฟังของไมเคิล


น่าเสียดายที่ยุคหลังๆของไมเคิล น้อยครั้งนักที่เขาจะโชว์เสียงร้องจับใจอย่างนี้.... สรุปว่านี่เป็นอัลบั้มที่ชุบมือเปิบอย่างหน้าตาเฉยไปหน่อย แต่คุณค่าของดนตรีก็คุ้มค่าครับ ซื้อๆเขาหน่อยเถอะครับ โมทาวน์ไม่ได้มีงานขายดิบขายดีอะไรมานานแล้ว.....


ฟังพรีวิวได้ที่ http://www.amazon.com/The-Stripped-Mixes/dp/B002GF37GG

Monday 13 July 2009

KING OF POP

MICHAEL
The Greatest Entertainer Who Ever Lived

“ผมพบเขาครั้งแรกตอนเขาอายุ 12 ขวบ ไมเคิลเป็นเหมือนน้องคนเล็กของผม เขามีเวทมนตร์ทั้งปวงในตัวเขา ไมเคิลมีพลังในการเชื่อมต่อกับสิ่งอัศจรรย์เหล่านั้น มันเหมือนกับมีเทียนที่กำลังลุกโชนอยู่ในวิญญาณของคุณ เขาเป็นบุคคลที่มีความซับซ้อนในตัวตนอย่างยิ่ง แต่ผมไม่เคยพบศิลปินคนไหนที่ไม่เป็นเช่นนั้น ผมยังไม่เคยเจอสักคน ศิลปินที่ปรับตัวเองได้เป็นอย่างดี : นั่นเป็นคำที่ไปด้วยกันไม่ได้เลย”

-ควินซี่ โจนส์ ,โปรดิวเซอร์ Off The Wall, Thriller และ Bad


King of POP




There’s Elvis, there’s Beatles and there’s MJ.

นั่นคือคำอธิบายที่สั้นที่สุดที่ผมพอจะคิดได้สำหรับความยิ่งใหญ่ของ Michael Jackson ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับความตายของเขาใน Around Music ฉบับนี้ เล่มที่แล้วยังเขียนถึงเขาอยู่เลยด้วยความเป็นห่วงไยว่าแกจะไหวหรือเปล่า กับคอนเสิร์ตใหญ่ 50 รอบ และสังขารขนาดนั้น และไมเคิลก็ไม่ได้อยู่พิสูจน์ด้วยซ้ำว่าเขาจะไหวหรือไม่

การจากไปของไมเคิลอาจจะไม่มีผลกระทบต่อวงการดนตรีอะไรนัก เพราะเขาก็แทบจะไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันออกมานับสิบปีแล้ว แต่ถ้าคุณสงสัยถึงความยิ่งใหญ่ของเขา ลองมองไปรอบๆและหา King Of Pop คนต่อไปให้ผมหน่อยเถิด ชายหนุ่มผู้มีความสามารถและพรสวรรค์ตั้งแต่วัยเยาว์ เสียงร้องที่เลอเลิศ การเต้นที่สามารถหยุดหัวใจคนทั้งโลก และผลงานดนตรีที่เข้าถึงได้ทุกซอกทุกมุมของจิตใจมนุษย์ทุกหมู่เหล่า อย่าแปลกใจที่คุณไม่อาจหาได้ ผมพยายามแล้ว และพบว่า มันไม่มี มันจะไม่มี King Of Pop อีกต่อไป ฉายานี้ไม่ว่าเขาจะตั้งให้ตัวเองหรือไม่ แต่มันก็ได้ติดตัวเขาไปสู่สรวงสวรรค์แล้ว

ไมเคิลมีช่วงเวลาการทำงานที่ยาวนาน เพราะเขาออกผลงานชิ้นแรกตั้งแต่อายุแค่ 10 ขวบกับพี่น้องแจ็กสันจวบจนอัลบั้มสุดท้ายที่ค่อนข้างจะล้มเหลว Invincible ในปี 2001 ถ้าชีวิตเขาเป็นกราฟ มันก็คงจะพุ่งขึ้นๆตั้งแต่ปี 1968 และเริ่มปักหัวลงในยุค 90’s แฟนๆทุกคนตั้งความหวังไว้ว่าคอนเสิร์ตใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในเดือนก.ค.นี้จะเป็นการกลับมาอีกครั้งของเขา ผมยังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ได้เขียนรีวิว DVD ‘68 Comeback Special ของ Elvis Presley ยังเปรียบเทียบสถานการณ์ไว้เลยว่าการกลับมาดังของเอลวิสตอนนั้น มันยากเข็ญยิ่งพอๆกับการกลับมาของไมเคิล แต่เขาก็เกือบทำได้ มีคลิปสั้นๆและรูป3-4รูปจากการซ้อมของเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิตแค่ 2 วัน ที่ใครดูแล้วก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายจริงๆ เพราะดูไมเคิลมีความสุขและพร้อมที่จะกลับมายิ่งใหญ่

ขณะที่เขียนอยู่นี้ก็ยังไม่มีการสรุปแน่ชัดว่าไมเคิลเสียชีวิตจากการฆาตกรรมหรือการได้รับยาเกินขนาด แต่มันก็อาจจะไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก อย่างไรเขาก็จากไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ผลงานมากมายทั้งการบันทึกเสียงและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มากมาย ทั้งงดงาม น่าทึ่ง จนไปถึงน่าอึ้ง แต่นั่นก็คือชีวิตที่หลากหลายของบุรุษผู้หนึ่ง ที่คุณไม่อาจคาดหวังอะไรที่ธรรมดาๆจากเขา

ในงาน memorial ของเขาที่ Staple Center ,L.A. Berry Gordy ผู้ก่อตั้งโมทาวน์และเป็นผู้เซ็นสัญญาไมเคิลกับพี่ๆเป็นคนแรก ได้กล่าวประโยคที่ทำให้โลกต้องตะลึงไว้ว่า “สำหรับไมเคิล คำว่า king of pop มันดูจะน้อยเกินไป อย่างเขานั้น ผมอยากจะเรียกว่า เขาเป็น... the greatest entertainer who ever lived…”

และนี่คือบทสรุปของชีวิต 50 ปีของเขา อ่านแล้วก็ตัดสินใจกันเองนะครับว่าเขาคู่ควรกับฉายาไหนดี
(ข้อมูลจาก Time Magazine)

1958 ไมเคิล แจ็กสันเกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1958 ที่ Gary, Inde. เขาเป็นลูกคนที่ 7 ของพี่น้องทั้งหมด 9 คน
1966 ไมเคิล รับตำแหน่งนักร้องนำของวง The Jackson 5 ตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ เดิมตำแหน่งนี้เป็นของ Jermaine สมาชิกคนอื่นๆคือ Marlon, Jackie และ Tito
1967 The Jackson 5 ชนะการประกวด amateur-night contest ที่ Apollo Theater
1968 วงออกซิงเกิ้ลแรก ‘Big Boy’ ในสังกัด Steeltown
The Jackson 5 ผ่านการ audition ของ Motown ซึ่งต่อมาพวกเขาได้ออกอัลบั้มในสังกัดนี้อีกมากกว่าครึ่งโหล
1969
เด็กๆย้ายไปอยู่แคลิฟอร์เนีย และได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วยการแสดงที่ the Daisy ไนท์คลับในเบเวอรี่ฮิลล์ และหลายวันต่อมาพวกเขาก็เล่นเป็นวงเปิดให้ The Supremes
The Jackson 5 แสดงครั้งแรกในรายการ Ed Sullivan Show
The Jackson 5 ออกอัลบั้มแรก Diana Ross Presents The Jackson 5 ขึ้นถึงอันดับ 5 แต่ซิงเกิ้ล I Want You Back ที่ร้องนำโดยหนูน้อยไมเคิลวัย 11 ขวบทะยานขึ้นสู่อันดับ 1
1970 3 ซิงเกิ้ลต่อมาของ The Jackson 5 คือ ABC, The Love You Save และ I’ll Be There ขึ้นถึงอันดับ 1 ทั้งหมด ไม่เคยมีศิลปินใดทำได้เช่นนี้มาก่อน
1971 ไมเคิลออกซิงเกิ้ลในฐานะศิลปินเดี่ยวเป็นครั้งแรก Got To Be There ไปได้ถึงอันดับ 4 และออกอัลบั้มชื่อเดียวกันนี้ในปีต่อมา ขึ้นถึงอันดับ 14
1972 ไมเคิลวัย 14 มีซิงเกิ้ลอันดับ 1 เพลงแรกในเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหนูที่มีพลังจิต ‘Ben’
1976
พี่น้องแจ็กสันออกจาโมทาวน์สู่อ้อมกอดของ CBS records และถูกบีบให้เปลี่ยนชื่อวงเป็น The Jacksons
เปิดตัวรายการทีวี The Jacksons ทาง CBS เวลาเดียวกันนี้ แรนดี้ น้องคนสุดท้องเข้ามาแทนที่เจอร์เมน
1978 ไมเคิลแสดงหนังเรื่อง The Wiz โดยรับบทเป็นหุ่นไล่กา หนังไม่ประสบความสำเร็จ แต่มันก็ทำให้ไมเคิลได้พบกับ ควินซี่ โจนส์ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้
1979
ไมเคิลประสบอุบัติเหตุดั้งจมูกหัก ระหว่างการซ้อมเต้น นี่อาจเป็นการเริ่มต้นของการทำศัลยกรรมที่จะตามมาอีกมากในอนาคต
Off The Wall ออกจำหน่าย อัลบั้มนี้ขายไปได้มากกว่า 20 ล้านชุด มันเป็นหนี่งในสามอัลบั้มที่เขาทำงานกับ ควินซี่ โจนส์ และมีเพลงท็อปเทนถึงสี่เพลง ถือเป็นการเปิดศักราชการทำงานเดี่ยวของไมเคิลอย่างแท้จริง
1980
ไมเคิลได้รับรางวัลแกรมมี่ตัวแรก Best R&B Male Vocal Performance ในเพลง Don’t Stop ‘Till You Get Enough แต่ไมเคิลไม่พอใจที่อัลบั้มไม่ได้รางวัลอะไรเลย
อัลบั้ม Triumph ของ The Jacksons ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว
1982
ไมเคิลโปรดิวซ์เพลง Muscles ให้ไดอาน่า รอสส์ ไปได้ถึงอันดับ 10 ในชาร์ต
ไมเคิลให้เสียงบรรยายและร้องเพลงใน E.T. The Extra-Terrestrial storybook album มันได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 1984 ในสาขา Best Recording for Children
ออกอัลบั้ม Thriller ขายได้มากกว่า 104 ล้านชุด อยู่ในอันดับ 1 37 สัปดาห์ มีเพลงอันดับ 1 สองเพลง และเจ็ดเพลงเป็นท็อปเทน จากโพลล์ของ MTV เร็วๆนี้ มันคือ “อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล”

1983
· Billie Jean ซิงเกิ้ลที่สองจาก Thriller moonwalk ขึ้นสู่อันดับ 1 ด้วยเสียงร้องไมเคิลที่มาจากการบันทึกเสียงอันน่ามหัศจรรย์เพียงเทคเดียว มันอยู่ในอันดับ 1 ถึง 7 สัปดาห์
· เปิดตัวมิวสิกวิดีโอ Beat It ทาง MTV ทำให้ไมเคิลเป็นศิลปินอาฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่มีผลงานออกทางช่องนี้
· ไมเคิล moonwalk เป็นครั้งแรกที่งานฉลองครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ ผู้ชมแทบคลั่งเมื่อเห็นเขาเคลื่อนตัวถอยหลังราวกับไร้น้ำหนักจากฝั่งถึงอีกฝั่งเวทีในขณะร้องเพลง Billie Jean วันนั้นเขาใส่ถุงมือสีขาวฝังเพชร-ข้างเดียว
· MTV ฉาย Thriller mini-movie ยาว 14 นาที มันเป็นมิวสิกวิดีโอที่แพงที่สุดในขณะนั้น
1984
· กินเนสส์บุ๊คบันทึกไว้ว่า Thriller เป็น อัลบั้มของศิลปินเดี่ยวที่ขายดีที่สุดตลอดกาล
· ไมเคิลประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ศีรษะด้วยความรุนแรงระดับสองและสามขณะถ่ายทำโฆษณาเป๊บซี่ในแอลเอ
· ไมเคิลหอบแกรมมี่กลับบ้านแปดตัว Beat It ได้ Record of the Year ขณะที่ Thriller เป็น Best album
· The Jacksons เริ่มออกทัวร์ในชื่อ Victory Tour ในแคนซัสซิตี้ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ไมเคิลทัวร์กับพี่น้อง
1985
· ไมเคิลบันทึกเสียงร่วมกับศิลปินดังหลากหลายแห่งยุค 80’s ในเพลง We Are The World ที่เขาแต่งร่วมกับ Lionel Richie เพื่อองค์กรการกุศล USA for Africa มันขายไปได้ 7 ล้านชุด
· ไมเคิลซื้อลิขสิทธิ์เพลงของ ATV Music ซึ่งในนั้นมีเพลงของ Beatles รวมอยู่ด้วย ในราคา 47.5 ล้านเหรียญ
1986
· ไมเคิลต่อสัญญากับเป๊บซี่เป็นเงิน 15 ล้านเหรียญในช่วงเวลาสามปี
· เปิดฉายหนังสามมิติ Captain EO ที่ไมเคิลนำแสดง จากการกำกับของ Francis Ford Coppola ที่ Disney’s Epcot Center ในฟลอริดา ฉายจนถึงปี 1994
1987
ออกอัลบั้ม Bad ขายไปได้ 32 ล้านชุด ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำหลายแผ่น และเป็นอัลบั้มเดียวที่มีเพลงอันดับ 1 ถึงห้าเพลง
1988
ไมเคิลซื้อทุ่งกว้าง 2,700 เอเคอร์ใกล้กับ Santa Ynez แคลิฟอร์เนียในราคา 17 ล้านเหรียญ และตั้งชื่อมันว่า Neverland ตามการ์ตูนเรื่อง Peter Pan เขาสร้างสนามเด็กเล่นในนั้นและเลี้ยงสัตว์แปลกๆอย่าง งูpythons และแมงมุม tarantulas
1991
· ไมเคิลเซ็นสัญญาประวัติการณ์กับโซนี่เป็นเงิน 65 ล้านเหรียญสำหรับ MJ label, ภาพยนตร์ และอัลบั้ม 6 ชุด คาดกันว่าสัญญานี้จะสร้างเงินได้ถึง 1 พันล้านเหรียญ
· Elizabeth Taylor แต่งงานกับสามีคนที่ 7 Larry Fortensky ที่ Neverland
· Dangerous ออกวางแผง ขายได้ประมาณ 30 ล้านชุด พร้อมกับวิดีโอ Black or White ที่สร้างความฮือฮาในเนื้อหาที่รุนแรงและมีนัยทางเพศ
1993
· ไมเคิลพูดในการให้สัมภาษณ์ออกรายการของ Oprah Winfrey ว่าที่สีผิวของเขาขาวขึ้นๆไม่ได้เกิดจากการตั้งใจฟอกสี แต่เป็นเพราะเขามีความผิดปกติทาง เซลล์สร้างสีผิว
· ได้รับรางวัล Grammy’s Legend award
· แสดงช่วงพักครึ่งเวลา Super Bowl ที่ Rose Bowl Stadium
· ครอบครัวของเด็กที่เคยอยู่ที่ Neverland ฟ้องศาลว่าไมเคิลล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ไมเคิลตัดตอนทัวร์ Dangerous ของเขาและออกทีวีปฏิเสธ คดีนี้ตกลงกันนอกศาลและคาดว่าไมเคิลต้องจ่ายถึง 20 ล้านเหรียญ
1994
แต่งงานกับ Lisa Marie Presley ลูกสาวคนเดียวของ Elvis ทั้งคุ่หย่ากันในเดือนมกราคม 1996
1995
· ออกอัลบั้ ม History: Past, Present and Future---Book 1 ขายไปได้ประมาณ 20 ล้านชุด
· เข้าโรงพยาบาลในนิวยอร์คหลังจากหมดสติระหว่างซ้อมเพื่อรายการพิเศษทางเคเบิลทีวี
1996
แต่งงานกับนางพยาบาลชื่อ Debbie Rowe ไม่เคยอยู่ด้วยกัน แต่มีลูกสองคน หย่าร้างไปในปี 1999
1997
· กำเนิดลูกชายคนแรก Michael Joseph Jackson Jr. หรืออีกชื่อว่า Prince Michael
· The Jackson 5 ได้รับการเสนอชื่อเข้า The Rock and Roll Hall of Fame
1998
กำเนิดลูกสาว Paris Michael Katherine Jackson
2001
· ไมเคิลเข้าสู่ Rock and Roll Hall of Fame ในฐานะศิลปินเดี่ยว
· ออกอัลบั้ม Invincible ขายไปได้ 10 ล้านชุด
2002
· กำเนิดลูกคนที่สาม Prince Michael Jackson II (ชื่อเล่น ‘Blanket’) จากแม่อุ้มบุญที่ไม่มีใครทราบว่าเป็นใคร และไมเคิลเองก็บอกว่าเขาไม่เคยพบตัว
· ไมเคิลถูกฟ้องจากอดีตผู้ให้คำแนะนำทางการเงินเป็นเงิน 12 ล้านเหรียญด้วยข้อหาที่ไม่จ่ายค่าจ้าง คดีถูกตกลงกันนอกศาลอีกครั้ง
· ไมเคิลสร้างความอื้อฉาวด้วยการอุ้ม Blanket มาที่ระเบียงโรงแรมในเบอร์ลินเพื่ออวดแฟนๆอย่างน่าหวาดเสียว
2003
· ไมเคิลเปิดเผยในรายการทีวี Living with Michael Jackson ว่าเขาเคยชวนเด็กๆมาค้างคืนที่เนเวอร์แลนด์ โดยนอนบนเตียงเขา แต่ไม่มีอะไรทางเพศเกิดขึ้น แค่ให้นมร้อนๆและคุ๊กกี้เท่านั้น
· ถูกฟ้องว่าล่วงละเมิดเด็ก 12 ขวบที่ป่วยเป็นมะเร็ง คดีจะตัดสินในเดือนมกราคม 2005
2004
มีรายงานว่าไมเคิลไม่อาจจ่ายหนี้ที่ยืมมาจาก Bank Of America เป็นจำนวนเงิน 70 ล้านเหรียญ
2005
ไมเคิลรอดพ้นทุกข้อกล่าวหาคดีล่วงละเมิดเด็ก หลังจากการตัดสิน ไมเคิลหายตัวไปและไปโผล่อีกทีที่บาห์เรน
2008
· ไมเคิลถูกยึดกรรมสิทธิ์ Neverland หลังค้างหนี้ชำระ 24.5 ล้านเหรียญ
· เชื้อพระวงศ์บาห์เรนที่ให้ที่อยู่แก่ไมเคิลหลังคดีละเมิดเด็กฟ้องไมเคิล 7 ล้านเหรียญฐานผิดสัญญาที่ตกลงกันไว้ คดีนี้ก็ตกลงกันนอกศาลอย่างรวดเร็วเช่นเคย
2009
· ประกาศการออกคอนเสิร์ตอำลา ‘final curtain call’ ที่ O2 ในลอนดอน ตั๋ว 750,000 ใบหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
· เสียชีวิตในลอสแอนเจอลิส ในวันที่ 25 มิถุนายน


10 Things you may not know about Michael

ในเพลง Man in the Mirror ใน Concert DVD – Live in Bucharest คุณสามารถที่จะได้ฟังท่อนที่เพิ่มเติมขึ้นมาในช่วงตอนจบ “Stand up for your brother, stand up for your sister”, “Run home and tell your mother, run home and tell your sister…”
และใน DVD ชุดนี้เช่นกันที่คุณจะได้ยินท่อนเพิ่มเติมในเพลง Billie Jean “she loves the city life”
ในเพลง Smooth Criminal จากภาพยนต์เรื่อง Moonwalk จะมีท่อน verse และท่อนดนตรี เพิ่มเติมที่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มเวอร์ชั่นใน Bad
เพลง You’re not Alone เพลงแรกในประวัติ์ศาตร์ Billboard ที่ขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในสัปดาห์แรกที่ออกจำหน่าย
อัลบั้ม Thriller เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลก สำหรับในสหรัฐอเมริกา มันเคยเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดจนเมื่ออัลบั้มรวมฮิตของ The Eagles เบียดมันตกลงมา
ท่าหุ่นยนต์เป็นท่าที่ไมเคิ่ลเต้นออกทีวีครั้งแรกในเพลง Dancing Machine ในรายการ Soul Train ในปี 1974
เพลง We are here to Change the World ในหนังสามมิติเรื่อง Caption EO สามารถหาฟังได้ใน The Ultimate Collection และ King of Pop ซีดี
ในตอนที่อัลบั้ม Dangerous ออกวางขาย มีกลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธบุกเข้าไปขโมยซีดี 30,000 ชุดที่สนามบินแห่งนานาชาติใน Los Angeles
เพลง This Place Hotel ของวง The Jacksons จากอัลบั้มต้องถูกเปลี่ยนชื่อ ซึ่งในตอนแรกเพลงนี้มีชื่อว่า “Heartbreak Hotel” ซึ่งไปซ้ำกับเพลงของ เอลวิส เพรสลี่ย์
เพลง “What More Can I Give แต่งโดยไมเคิ่ล มีแผนในการออกจำหน่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ที่ตึกเวิร์ดเทรดถล่ม โดยมีศิลปินชื่อดังมาร่วมร้องด้วยกว่า 30 ชีวิต อย่าง Usher, Mariah Carey และ Celine Dion แต่โดยตอนหลังก็มีปัญหาและไม่ได้อออกวางจำหน่ายอย่างที่ตั้งใจไว้

King of POP

Sunday 12 July 2009

Michael Jackson THRILLER *****


Michael Jackson-Thriller (1982) *****


Producer-Michael Jackson, Quincy JonesGenre-Pop, Funk ,Soul ,R&B , Disco, Light Rock

ครั้งสุดท้ายที่ผมตรวจสอบดู มีการเขียนรีวิวถึงอัลบั้ม Thriller ของไมเคิล แจ็กสันนี้แล้วไม่ต่ำกว่า 15 ล้านครั้ง นี่นับเฉพาะที่ Google ค้นหาในโลกไซเบอร์ ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะมันออกจำหน่ายมา 27 ปีแล้ว และมันก็เป็นอัลบั้มที่....ขายดีที่สุดในโลก


แล้ว...ยังจะมีอะไรให้เขียนถึงอีกหรือ ที่ผู้รีวิวท่านอื่นไม่ได้กล่าวถึงไปแล้ว อาจจะไม่มีอีกแล้ว มันน่าจะเป็นอัลบั้มที่ถูกชำแหละออกมาแล้วทุกแง่ทุกมุมตั้งแต่ดนตรี,เนื้อหา,เบื้องหลัง และความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังอยากเขียนถึงมันอีกครั้ง ในแง่มุมมองของผม หลังจากไมเคิลเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝันเพียงไม่กี่สัปดาห์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย


เพราะนี่คือผลงานชิ้นเอกที่ไมเคิลมอบไว้ให้แก่มนุษยชาติ นื่คือสิ่งที่พวกเราควรจดจำมากกว่าท่าเต้นสารพัด (ที่ล้วนแล้วแต่มหัศจรรย์) หรือข่าวอื้อฉาวทั้งปวง (ที่ก็มหัศจรรย์ไม่แพ้กัน) ถ้าไมเคิลไม่ได้ทำอะไรอีกแล้วหลังจาก Thriller ผมก็ยังคิดว่าเขาคู่ควรกับฉายา ราชาแห่งเพลงป๊อบอยู่ดี


ครั้งแรกที่ผมได้ฟัง Thriller ก็น่าจะเป็นเย็นวันหนึ่งในปีพ.ศ. ๒๕๒๖ จากเทปคาสเซ็ตต์ (ปิศาจ) ที่ซื้อมาจากแผงเทปที่ไหนสักแห่ง ก็เหมือนกับอัลบั้มพิเศษทุกอัลบั้มที่คุณยังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ได้ยินมัน แม้ว่าใครๆก็ว่านี่เป็นงานที่เอาใจตลาดแบบออกนอกหน้า แต่สำหรับผมในตอนนั้นก็ไม่คิดว่ามันเป็นงานตลาดอะไร หลายเพลงฟังไม่เข้าหู หลายเพลงออกจะน่าเบื่อ จะมีก็แต่ Beat It, Billie Jean และ The Girl Is Mine เท่านั้นที่ชนะใจผมได้แทบจะทันที แต่เมื่อให้เวลากับมัน ความยอดเยี่ยมของทั้งเก้าแทร็คก็ค่อยๆคลี่คลายให้โสตสดับ และดูเหมือนจะไม่มีการหยุดหย่อนที่จะปล่อยกัมมันตรังสีอันน่าพิศวงออกมาไม่จบสิ้น


ไม่มีใครคิดหรอกครับตอนนั้น ว่ามันจะกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลก คุณภาพของดนตรีในทั้ง 9 เพลงย่อมเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มันขายดีและขายได้ยาวนานขนาดนั้น แต่การวางแผนทางการตลาด และมิวสิกวิดีโอที่ยอดเยี่ยมก็ย่อมมีส่วน และเราต้องไม่ลืมท่าเต้น Moonwalk ในเพลง Billie Jean ที่ไมเคิลเปิดตัวท่าแดนซ์ที่ระบือโลกที่สุดตลอดกาลนี้บนเวทีในงานฉลองครบรอบ 25 ปีของโมทาวน์


อัลบั้มก่อนหน้านี้ของไมเคิล Off The Wall ได้รับคำยกย่องและยอดขายในแบบที่ใครๆก็ต้องชื่นใจ แต่สำหรับไมเคิล-ไม่ เขารู้สึกว่าการที่อัลบั้มนั้นไม่ได้ Album Of The Year ในงานแกรมมี่เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง เขาสร้าง Thriller ขึ้นมาด้วยความหวังแรงกล้าที่จะให้มันเป็นอัลบั้มที่ทุกเพลงนั้นเป็นเพลงเอก เฉกเช่นเดียวกับ The Nutcracker ของ ไชคอฟสกี้ และทำให้คนผิวสีอย่างเขากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่บรรดาสื่อต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนขอทำข่าวหรือถ่ายปกหนังสือ


ถึงทุกวันนี้คุณก็รู้ดีว่าไมเคิลทำได้แค่ไหน


โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่า Thriller เป็นอัลบั้มที่ไร้ที่ติ และมันก็มีเพลงที่อ่อนอยู่ในนั้นบ้าง เช่น Baby Be Mine หรือสำหรับบางคน-The Girl Is Mine ที่ออกเป็นซิงเกิ้ลแรก แต่ความสมบูรณ์แบบและหลากหลายของเจ็ดเพลงที่เหลือช่วยดึงเกรดเฉลี่ยของ Thriller ขึ้นมาเข้าใกล้ 4.00 ไมเคิลและควินซี่ โจนส์ต่อยอดจาก smooth funk pop ของ Off The Wall กลายมาเป็น black music ลูกผสมที่เต็มไปด้วยโมเมนตัมมหาศาล มันพร้อมที่จะเจาะตลาดในทุกเหลี่ยมมุมของโลกดนตรี ไมเคิลแต่ง 4 ใน 9 เพลงทั้งหมดของอัลบั้ม และการเขียนเนื้อร้องของเขาก็พัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง หลายเพลงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความอึดอัดใจในการเป็นป๊อบสตาร์ที่กลายเป็นปมในจิตใจของเขาอันไม่อาจคลี่คลายได้จนวาระสุดท้าย


The Girl Is Mine เป็นซิงเกิ้ลแรกด้วยบารมีของ Paul McCartney แท้ๆ ว่ากันว่ามันทำให้อัลบั้มนี้เกือบล่ม เพราะกระแสตอบรับไม่แรงเอาเสียเลย ก่อนที่ซิงเกิ้ลที่สอง Billie Jean จะช่วยกู้หน้าได้ทัน แต่ใครจะทราบเล่าว่าถ้า Billie Jean ออกเป็นซิงเกิ้ลแรกจะเกิดอะไรขึ้น? แน่ใจได้หรือว่ามันจะไม่ล้มเหลว The Girl… เป็นเพลงที่ถ้าคุณไม่รักก็จะเกลียดไปเลย หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพลงรักปัญญาอ่อน แต่แฟนสี่เต่าทองอย่างผมย่อมถูกจริตเป็นธรรมดา ไมเคิลแต่งเพลงนี้ในแบบพอลๆได้อย่างเนียนสนิท และถ้าคุณจ้องมองลงไปให้ลึก การเรียบเรียงและคิวการร้องในเพลงคู่เพลงนี้ถือว่าไม่เหมือนเพลงร้องคู่ทั่วไปที่ผลัดกันร้องไปกลับ ตรงข้ามมันเต็มไปด้วยชั้นเชิงและลีลาที่เป็นธรรมชาติราวกับเป็นบทสนทนา


และ Billie Jean… แน่นอนว่านี่คือเพลงที่ทำให้ไมเคิล แจ็กสัน เป็นไมเคิล แจ็กสัน และคือหนึ่งในซิงเกิ้ลที่น่าจดจำที่สุดแห่งทศวรรษ 80’s มีไม่กี่เพลงในโลกที่คุณจะจำมันได้ทันที แค่ได้ยินเสียงกลองสองสามแต็กในช่วงอินโทร จังหวะ light funk, ท่อนเบสไลน์บันลือโลกจากฝีมือของ Louis Johnson, เสียง Lyricon จากปากของ Tom Scott และกีต้าร์นวลเนียนของ Dean Parks ช่วยกันสร้าง history of pop กี่ล้านคนที่เคยโลดแล่นบนแดนซ์ฟลอร์ไปกับเพลงนี้ แต่น่าขันที่เนื้อหาของเพลงไม่ได้รื่นเริงไปด้วยเลย ไมเคิลเขียนจากเรื่องจริงที่เคยถูกหญิงแฟนเพลงยัดข้อหาเป็นพ่อของเด็กให้ … but the kid is not my son… เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่พวกเขาบันทึกเสียงกันตอนทำอัลบั้ม Thriller ว่ากันว่า Bruce Swedien เอ็นจิเนียร์ของอัลบั้มต้องมิกซ์เพลงนี้ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าตามความต้องการของควินซี่และไมเคิล จนสุดท้ายพวกเขาก็ได้มิกซ์ที่ 91 ที่ทุกคนคิดว่ามัน ‘hot’ ที่สุดแล้ว แต่จู่ๆควินซี่ก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ และขอให้บรูซกลับไปเปิดมิกซ์ #2 อีกครั้งหนึ่ง ผลก็คือทุกคนในห้องอัดออกสเตปร่ายรำไปกับมันอย่างไม่อาจห้ามใจ และนั่นก็คือมิกซ์ที่เราได้ยินกันในทุกวันนี้!(มีเวอร์ชั่นจากแผ่น 12 นิ้วของ Billie Jean ที่ยาว 6:24 นาที ซึ่งมันก็คือเวอร์ชั่นเต็มๆของเพลงที่ยังไม่ถูกตัดต่อ ลงให้เหลือสี่นาทีกว่าๆเพื่อให้เหมาะกับอัลบั้ม แนะนำให้หามาฟังกันนะครับ เพราะมันคือ Billie Jean ที่สมบูรณ์ที่สุด)


แต่ Billie Jean ไม่ได้เปิดตัวครั้งแรกในแทร็คที่ 6 นี้ ไมเคิลเอ่ยนามเธอมาครั้งหนึ่งแล้วในเพลงแรกของอัลบั้ม Wanna Be Startin’ Somethin’ ฟังกี้แดนซ์ที่เร่าร้อนเสียจนในบางช่วงเหมือนกับเพลงจะคุมตัวเองไม่อยู่ ราวกับรถยนต์ที่พร้อมจะหลุดโค้งทุกเมื่อ ไมเคิลกราดเกรี้ยวกับความสับสนและข่าวลือที่กดดันชีวิตป๊อบสตาร์ แต่ก็สรุปไว้อย่างผู้กำชัยว่า ma ma se ma ma coo sa? นี่คือแทร็คที่ไม่อาจวางไว้ที่อื่นได้เลยนอกจากขอบนอกสุดของแผ่นเสียงหน้าเอ


คนผิวสีทำเพลงร็อค? ไมเคิลอาจจะไม่ใช่คนแรกแน่นอน แต่ไม่มีใครทลายตลาดได้อย่างสิ้นเชิงได้เหมือนกับที่เขาทำไว้กับ Beat It ป๊อบร็อคที่หนักแน่นด้วยริธิ่มเซ็กชั่นระดับพระกาฬอย่าง Steve Lukator, Paul Jackson และ Jeff Porcaro เมโลดี้ที่ไม่ได้เขียนไว้ให้ใครลืม และสุดท้ายคือแขกรับเชิญ-นักกีต้าร์ที่ร้อนแรงที่สุดบนพิภพ(ขณะนั้น) Eddie Van Halen การโซโลของเอ็ดดี้ในเพลงนี้ถือว่าทำดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะเขาใส่ความเป็นตัวเองและเทคนิคต่างๆลงไปอย่างงดงามและเมามันส์ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าไอ้หมอนี่มาเล่นโชว์ออฟเกินหน้าเกินตาเจ้าของบ้านแต่อย่างใด ผลลัพธ์ก็คือนี่เป็นเพลงที่ทำให้คนขาวและชาวร็อคต้องมาควักกระเป๋าซื้ออัลบั้มของคนผิวสีอย่างไมเคิล และทำให้แฟนไมเคิลเองได้ตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของการโซโลกีต้าร์ระดับเซียน และเหนือไปกว่านั้น แม้เพลงนี้จะเร้าอารมณ์แค่ไหน แต่มันเป็นบทเพลงที่ต่อต้านความรุนแรงโดยสิ้นเชิง


น่าเสียดายที่เพลงปิดอัลบั้มไม่ใช่เพลง Thriller เพราะผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงปิดที่ยิ่งใหญ่ได้ ซิงเกิ้ลสุดท้ายของอัลบั้มที่มีกระแสของมิวสิกวิดีโอยาว 14 นาทีหนุนหลัง ผลงานการประพันธ์ของ Rod Temperton ที่ตอนแรกจะให้ชื่อ Starlight เป็นความคมคายยิ่งนักของผู้แต่งที่ผูกเรื่องของหนังสยองขวัญไปโยงไยกลายเป็นเพลงรักไปได้ในที่สุด ไมเคิลร้องด้วยเสียงที่น่าตื่นเต้นแทรกด้วยเสียงสะอึกอันกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาในเวลาต่อมาเป็นระยะๆก่อนที่เพลงจะปิดท้ายอย่างสุดยอดด้วยเสียง “แร็ป” ของ Vincent Price และการระเบิดหัวเราะที่ก้องไปทั้งโลก


Human Nature และ The Lady In My Life เป็นสองเพลงช้าที่น่าประทับใจซึ่งไมเคิลได้โชว์เสียงร้องใสปิ๊งของเขาเหมือนวันวานยุคโมทาวน์อีกครั้ง และ P.Y.T. ก็สนุกสนานไปกับเหล่าคอรัสที่ไม่ใช่ใครอื่น สองสาวแจ็กสัน Janet และ La Toya นั่นเอง


ค่อนชีวิตที่ผมฟัง Thriller มา คงไม่อาจคาดคะเนได้ว่ามันกี่ร้อยกี่พันรอบแล้ว แต่ทั้ง 9 เพลงนี้ก็ยัง ‘thrill’ ผมได้อยู่
“Cause I can thrill you more than any ghost would dare to try.”


Tracklist ทุกเพลงแต่งโดยไมเคิล แจ็กสัน เว้นแต่ที่มีวงเล็บต่อท้าย


1. "Wanna Be Startin' Somethin'" 6:02 2. "Baby Be Mine" (Rod Temperton) 4:20 3. "The Girl Is Mine" (with Paul McCartney) 3:42 4. "Thriller" (Temperton) 5:57 5. "Beat It" 4:17 6. "Billie Jean" 4:54 7. "Human Nature" (John Bettis, Steve Porcaro) 4:05 8. "P.Y.T. (Pretty Young Thing)" (James Ingram, Quincy Jones) 3:58 9. "The Lady in My Life" (Temperton) 4:59


Note-มีซีดีสามเวอร์ชั่นของอัลบั้มนี้ คือเวอร์ชั่นแรกที่ไม่มีเพลงแถม (ตอนนี้อาจจะหายากแล้ว ว่ากันว่าตอนไมเคิลตายใหม่ๆเวอร์ชั่นนี้บางแผ่นมีให้ประมูลในอีเบย์ในราคาเฉียดร้อยเหรียญ) และเวอร์ชั่นครบรอบ 21 ปีที่มีสัมภาษณ์ควินซี่ โจนส์ ,เดโมเพลง Billie Jean และเพลง Someone In The Dark จากหนัง E.T.และเวอร์ชั่นครบรอบ 25 ปีที่มีเพลงรีมิกซ์ใหม่ร้องกับศิลปินรุ่นใหม่ๆ ถ้าเป็นแฟนจริงก็ต้องเก็บให้เรียบ!