Thursday 18 September 2014

Song Reader

เบ็คแต่งแบ่งเพื่อนเล่น
Various Artists : Warby Parker presents Song Reader twenty songs by Beck ***1/2
Released: July 2014
Genre: Pop/Rock


เมื่อเราคิดถึง Beck Hansen หรือที่ใครๆในวงการเรียกเขาเพียงชื่อสั้นๆว่า Beck เรามักไม่คิดถึงเขาในแง่นักประพันธ์เพลงมาก่อน แต่เป็น Beck ที่เก่งกาจในเรื่องสไตล์ดนตรี, การผสมผสานแนวทางต่างๆที่ไม่น่าไปกันได้เข้าด้วยกัน และเป็นศิลปินที่เล่นกับการบันทึกเสียงได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ เป็น Beck ผู้ไม่เคยหยุดนิ่งทางดนตรี เป็นหนุ่มอินดี้ตลอดกาล ที่แทบไม่เคยทำเพลงเชยๆโหลๆ ครานี้, เราคงต้องมองเขาในอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งความจริงเขาก็เป็นมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการ Beck Hansen: The Composer

มองเผินๆอัลบั้มรวมเพลงจากหลากหลายศิลปิน Song Reader นี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า การจับเอาศิลปินหน้าใหม่บ้าง ไม่ใหม่บ้าง และเก่าบ้าง20 คนมาทำเพลงที่ Beck แต่งเอาไว้ลงบันทึกเสียง แล้วก็จับมารวมเป็น collection ไม่น่ามีอะไรตื่นเต้น ก็เหมือนงาน songbook หรือ tribute ที่มีทั่วไปดาษดื่น แต่เบื้องหลังของ Song Reader กลับมีอะไรซับซ้อน ย้อนรอย และน่าสนใจในไอเดียมากกว่าที่เราเห็น มันเป็นแนวคิดที่ทั้งย้อนยุคสุดกู่ และย้อนรอยสวนทางกับโลกดนตรีปัจจุบันชนิดสลับขั้วของชายหนุ่มนักดนตรีคนหนึ่งที่แต่งเพลง-บันทึกเสียง-แล้วก็นำออกมาขายอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่วัยละอ่อน ที่เขาโด่งดังไปกับเพลงตำนานอินดี้อย่าง Loser หรือมหากาพย์ cut and paste 'Odelay' ในปี 1997

Song Reader เป็นแนวคิดที่ย้อนกลับไปในสมัยที่ผู้คนยังมีเวลาว่างพอที่จะซื้อโน้ตเพลงไปหัดร้อง-เล่นเองที่บ้าน ในขณะที่ปัจจุบันแค่จะหาเวลาฟังเพลงที่ดาวน์โหลดมาฟรีๆแฟนเพลงก็ยังถือเป็นเรื่องค่อนข้างจะเหนื่อย Beck ได้ไอเดียนี้มานานมากตั้งแต่ยุคกลาง 90's ที่มี publisher ท่านหนึ่งได้สู้อุตส่าห์ transcript เพลงของเขาเป็นตัวโน้ตลง sheet music ส่งมาให้เขาเป็นของขวัญ Beck มองไปที่มันแล้วคิดว่าการที่ sonic ideas ของเขาถูกถ่ายทอดออกมาลงในแผ่นกระดาษอย่างนี้มันไม่ค่อยจะเข้าทีเท่าไหร่ แต่มันกลับจุดประกายให้เขาทำอะไรที่เหมาะสำหรับมันโดยเฉพาะ นั่นก็คือการตั้งใจเขียนเพลงออกมาขายเป็น sheet music เหมือนในยุคต้นศตวรรษที่ 20 โดยเขาไม่จำเป็นต้องบันทึกเสียงมันก่อน

มันก็เหมือนจะง่ายๆ ก็แค่ตัด process การบันทึกเสียงออกไป เพราะการแต่งเพลงก็เป็นชีวิตประจำวันของเขาอยู่แล้ว แต่คนคิดมากอย่าง Beck ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะเขาไม่ได้ต้องการให้มันเป็น sheet music ดาษๆที่ไม่มีใครสนใจ Beck รู้ดีว่าเขาจะแต่งเพลงอย่างที่เขาเคยแต่งไม่ได้ เพราะในแบบนั้นเขาทราบดีว่าเขาแต่งเพื่อเสียงร้องและการทำดนตรีของเขาเอง แต่ใน project Song Reader Beck ต้องการเพลงที่เป็นสากล,ยืนยง และเหมาะสมในการหลากหลายแห่งการตีความ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เราก็รู้สึกได้ว่านี่เป็นความหาญกล้า ที่จะเขียน American Songbook ชุดใหม่ออกมาในทศวรรษที่ 21

คงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี กว่าที่จะรู้ว่า 20 เพลงนี้จะมีเพลงไหน หรือไม่มีเลย ที่จะกลายไปเป็นเพลงที่ผู้คนกล่าวถึง นำไปร้องเล่นกันเหมือนเพลงของ Gershwin หรือ Cole Porter แต่แม้จะไม่มีสักเพลง แต่ก็ถือว่า Beck ได้ทำอะไรที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ เขาอยากให้คนนำเพลงของเขาไปร้องรำทำเพลงกันที่บ้าน เหมือนสมัยที่คนอเมริกัน 54 ล้านครัวเรือนซื้อ sheet music ของเพลง Sweet Leilani ไปเล่นกันที่บ้านในทศวรรษ 30's (เพลงนี้ Bing Crosby บันทึกเสียงเอาไว้ในปี 1937) อย่างไรก็ตามโปรเจ็ค sheet music ของ Song Reader ก็ออกมาเป็นตัวตนในปี 2012 เป็นรูปเล่มสวยงามพร้อมอาร์ทเวิร์คของแต่ละเพลงในแบบหวนอดีต ทุกเพลงจะมีการเรียบเรียงเปียโนและคอร์ดกีต้าร์ให้ รวมทั้งบางส่วนของพาร์ทเครื่องเป่า และบางเพลงก็มีคอร์ดของ ukulele ให้ด้วย แต่ในนั้นก็จะมีหมายเหตุว่า อย่างไรเสียคุณก็ไม่จำเป็นต้องเล่นตามนี้เป๊ะๆหรืออาจจะไม่สนใจการเรียบเรียงนี้เลยก็ได้ จะใช้เครื่องดนตรีอะไรก็ได้ จะเล่นช้าหรือเร็วก็ไม่ว่ากัน ซึ่งจะว่าไปแล้วถึง Beck ไม่ระบุอย่างนั้น มันก็มีแนวโน้มที่คนจะเล่นเพลงจาก Song Reader ในแต่ละเพลงไปอย่างร้อยพ่อพันแม่ เพราะไม่เคยมีใครได้ยินเพลงเหล่านั้นมาก่อน ย้ำอีกทีว่า Beck หรือใครๆ ไม่เคยบันทึกเสียง 20 เพลงนี้อย่างเป็นทางการออกขายก่อนที่ sheet music นี้จะอยู่ในมือผู้บริโภค

กระแสตอบรับของ Song Reader ไม่ถึงกับเป็นปรากฏการณ์ช็อคโลก แต่ก็เริ่มมีผู้คนซื้อเพลงของเบ็คไปหัดร้องเล่นกัน และอัพขึ้น youtube หลายเพลงดูแล้วสนุกสนานและสร้างสรรค์ราวกับมืออาชีพ บางคลิปอาจจะดูตลกและถึงขั้นว่าจะทำให้งานประพันธ์ของ Beck เสียหาย แม้แต่เหล่าศิลปินเองก็ตอบรับไอเดียนี้ด้วยการนำเพลงต่างๆของ Song Reader มาเล่นกันด้วยความอยากรู้และท้าทายที่ซ่อนเร้นอยู่ในโปรเจ็ค  นี่เป็นความแตกต่างระหว่างการเล่นเพลงจาก sheet music ในยุคของ Beck กับยุคของ Bing Crosby ที่ในยุคนั้นต่างคนต่างเล่นกันไป ไม่มีใครรู้ว่าคนอื่นๆเล่นเพลงนี้กันแบบไหน เว้นแต่คุณอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน แต่ยุคนี้,คุณอาจจะได้ฟังเวอร์ชั่นของเพื่อนบ้านที่ห่างออกไปหลายหมื่นไมล์ที่เพิ่งอัดเสียงกันเมื่อวานนี้ได้ไม่ยาก

Level ต่อไปของ Song Reader คือคอนเสิร์ตรวมดาวในปลายปี 2013 ที่ Beck ขึ้นเวทีกับผองเพื่อนในแอลเอ (โดยมีคุณพ่อของเบ็ค, เดวิด แคมป์เบล ยืนกำกับออเคสตร้าอยู่เบื้องหลัง) เพื่อเล่น 14 เพลงจากคอลเลกชั่นนี้ โดยมีชื่อศิลปินหลายคนที่ต่อมาก็มาอัดเสียงมันจริงๆในซีดีชุดนี้  (และหลายชื่อที่เสียดายที่ไม่ได้มาบันทึกเสียง) เว็บไซต์โรลลิ่งสโตน รีวิวว่า นี่เป็นการพิสูจน์ว่างานแต่งเพลงในซีรีส์นี้ของเบ็คไม่ใช่งานชิ้นเอกของเขา แต่เหมือนจะเป็นการทำแบบฝึกหัดในการเขียนเพลงหลายๆแนวมากกว่า แต่อย่างไรก็เถิด ความล้มเหลวของเบ็คก็ยังดูดีกว่าความสำเร็จของศิลปินหลายคน

ผมออกจะดีใจที่โครงการนี้ครบวงจรด้วยการทำเป็นอัลบั้มออกมา จะได้มีเพลงของ Beck ศิลปินคนโปรดไว้ฟังเป็นเรื่องเป็นราวอีกแผ่น แต่อีกใจหนึ่งก็หวั่นว่านี่ Beck กำลังทำลายโปรเจ็คอันสุดสร้างสรรค์ของเขาลงกับมือหรือเปล่า เพราะการออกอัลบั้มนี้มา ถึงไม่ได้เป็นกฎหมาย แต่มันก็เท่ากับเป็นการตีตราให้แต่ละเพลงมี definitive version และหลังจากนี้ไป ใครๆที่นำเพลงเหล่านี้ไปเล่น ก็จะมีความรู้สึกว่ากำลัง cover เพลงอยู่ ในขณะที่ก่อนหน้านี้..ทุกคนที่เล่นเพลงใดเพลงหนึ่งจาก 20 เพลงใน Song Reader นี้จะรู้สึกว่าตัวฉันเองเป็น original

แต่ใครจะไปรู้ อนาคตอาจจะมี Song Reader Songbook CD โดยศิลปินคนอื่นๆออกตามมาอีกมากมายก็ได้ และผมก็อยากจะเห็นใครซักคน เล่นมันแบบยกชุดดูซักที แต่ใครคนนั้นไม่ควรจะเป็น Beck เอง

ถ้าคุณไม่เคยฟังเพลงใดๆใน Song Reader มาก่อน ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณควรจะอุ่นเครื่องด้วยการลองคลิกฟังการ rendition ของเหล่าศิลปิน youtube กันก่อน หรือว่าจะพุ่งตรงมาฟังงานในซีดีนี้เลย แต่ถ้าจะให้แนะนำแบบอุดมคติ ถ้าคุณพอจะเล่นดนตรีเป็นบ้าง, ก็น่าจะหา sheet music ชุดนี้มาลองหัดร้องเล่นดูก่อนซักพัก ก่อนที่จะมาฟังซีดีชุดนี้กัน

แม้จะเป็นงานหยิบยี่สิบที่มีศิลปินมากมายและมาคนละทิศละทางในแนวทาง แต่ Song Reader CD นี้ก็ฟังดูกลมเกลียวและเป็นการรวมเพลงที่ฟังแล้วน่าตื่นใจและไหลลื่น,รื่นหู มันไม่ใช่อัลบั้มรวมบิ๊กเนมอะไรมากมาย ตรงกันข้าม มันกลับเต็มไปด้วยชื่อที่เราไม่คุ้นเคย แต่ฟังแล้วเห็นอนาคตอันสดใสชองพวกเขา โดยเฉพาะ Moses Sumney หนุ่มโฟล์ค-โซลที่มาจากไหนก็ไม่ทราบ ได้รับเกียรติมาเปิดอัลบั้มด้วยชื่อเพลงเกรียนๆ Title Of This Song การเล่นกับเสียงร้อง multi-layer ของเขาจัดว่าไม่ธรรมดามากๆ ต่อด้วย Fun. ดาวรุ่งของวงการในเพลงที่ผมชอบที่สุดในซีรีส์ Please Leave A Light On When You Go ถึงแม้ควีนและเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่จะมาร้องให้เบ็คไม่ได้ แต่ Fun. ก็ทำหน้าที่นั้นแทนแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ เสียดายที่เพลงสั้นไปหน่อย (ความเสียดายนี้พบในอีกหลายแทร็ค ดูเหมือนศิลปินแต่ละคนจะไม่ค่อยกล้าที่จะ extend เพลงออกไปยาวนักจากที่เบ็คเขียนไว้) Jeff Tweedy (Wilco) ร้อง The Wolf Is On The Hill ในแบบของเขา-alternative country ที่ฟังแล้วก็ไม่คิดว่าเป็นเพลงที่เบ็คแต่ง ที่น่าสนใจก็คือดูเหมือนไม่ว่าใครที่นำเพลงจาก Song Reader มาร้องในซีดีนี้ก็ฟังดูเหมือนเป็นเพลงของพวกเขาเองไปเสียหมด อย่าง Just Noise ที่นอราห์ โจนส์ขับร้องในแนว honky tonk pop นั้นก็แสนจะเป็นเธอ รวมทั้งเนื้อหาน่ารักๆนั้นด้วย

เสียดายที่ Jenny Lewis ที่ร้อง Last Night You Were A Dream ในคอนเสิร์ตไม่ได้ตามมาร้องในอัลบั้มนี้ด้วย แต่เป็น Lord Huron ที่รับหน้าที่แทน, Bob Forrest เล่น Saint Dude ในแบบ straight ballad rock ที่คุณจะไม่เคยคิดว่าเบ็คทำเพลงตรงไปตรงมาแบบนี้เป็นด้วยหรือ Highlight อีกช่วงมาอยู่ที่กลางอัลบั้ม Jack White ศิลปินผู้ที่น่าจะมีบารมีพอกับเบ็ค(หรือมากกว่า) ที่จะทำงานแบบนี้ (หมายถึงทำ Song Reader ของเขาเอง) รับ I'm Down มาเล่น ด้วยสไตล์คันทรี่-บลูส์ในแบบที่เอาไปใส่ในงานเดี่ยวสองชุดของเขาได้สบายๆ เพลงนี้มีเนื้อเพลงที่ผมชอบมากอยู่ท่อนหนึ่ง :"Fix my spelling on the suicide note.." โอ แสนจะเบ็คจริงๆ แจ็คทำเพลงนี้ออกมาไร้ที่ติ เบ็คคงจะเห็นแล้วว่าคนที่จะมา"เล่นต่อ"จากแจ็ค น่าจะลำบากอยู่ในการถูกเปรียบเทียบ เขาจึงรับมือเองด้วย Heaven's Ladder (เป็นอะไรกับ Stairway To Heaven?) พอเบ็คมาร้องเองมันก็เป็นเพลงของเบ็คจริงๆ ทุกอย่างลงตัวไปหมด อารมณ์เพลงนี้มีกลิ่นอายของ Beatles และซาวนด์ที่ชวนให้นึกถึงอัลบั้ม New ของเซอร์ พอล แมคคาร์ทนีย์

Juanes ศิลปินชาวโคลัมเบียนำ Don't Act Like Your Heart Isn't Hard มาร้องในภาษาสเปน เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี เสียอย่างที่มันเป็น performance ที่แสนราบเรียบ (=ง่วง), Laura Marling สาวนีโอโฟล์คคนดังมาในเพลง Sorry ที่สนิทแนบราวแต่งให้เธอโดยเฉพาะเจาะจง, ส่วนแฟนๆ Pulp น่าจะถูกใจกับการที่ได้ท่าน Jarvis Cocker มาขับร้อง Eyes That Say "I Love You" ในแบบสุดดราม่า, มีเพลงบรรเลงสองเพลงที่ทำให้นึกถึงดนตรีในยุคของ George Gershwin เป็นอย่างยิ่ง The Last Polka โดย Marc Ribot และ Mutilation Rag โดย Gabriel Kahane &yMusic

ช่วงท้ายอัลบั้มเบ็ควางเพลงฟังยากไว้หลายเพลง เช่นการร้องแบบ comedy-dramatic ของท่านแจ็ค แบล็คในเพลง We All Wear Cloaks หรือ America, Here's My Boy โดย Swamp Dogg ซึ่งฟังแล้วถึงกับอยากให้เบ็คเขียนโอเปร่าซักเรื่อง และที่โดดเด่นที่สุดอีกแทร็คคือ Why Did You Make Me Care? โดย Sparks มันเป็นเพลงที่ฟังดูเหมือนเดินทางกลับสู่ปัจจุบันที่สุดใน Song Reader หรืออาจจะเลยไปข้างหน้าด้วยซ้ำไป

แฟน Beck คงไม่พลาดนะ แม้เขาจะร้องเองแค่เพลงเดียว แต่ยังไงก็ต้องเก็บเพลงที่เขาแต่งไว้กันล่ะ รวมทั้งนักสะสมประเภท completist ของศิลปินแต่ละคนในนี้ก็คงต้องหามาครอบครอง ส่วนนักฟังที่อยากจะเริ่มฟัง Beck ไม่ควรเริ่มที่อัลบั้มนี้ครับ แฟนเพลงทั่วไปที่อยาก"ลองของ"ดนตรีย้อนยุคที่เล่นแบบไม่ค่อยย้อนนักโดยศิลปินหลากหลาย น่าสัมผัสครับ และเราก็ต้องมาตามดูกัน ว่าโปรเจ็คแบบนี้จะมีศิลปินอื่นเล่นสนุกตามกันไหม? หรือว่าเบ็คต้องทำการ "ท้า" แบบ ice bucket challenge

01. Moses Sumney – “Title of This Song”
02. Fun. – “Please Leave A Light On When You Go”
03. Tweedy – “The Wolf Is On The Hill”
04. Norah Jones – “Just Noise”
05. Lord Huron – “Last Night You Were A Dream”
06. Bob Forrest – “Saint Dude”
07. Jack White – “I’m Down”
08. Beck – “Heaven’s Ladder”
09. Juanes – “Don’t Act Like Your Heart Isn’t Hard”
10. Laura Marling – “Sorry”
11. Jarvis Cocker – “Eyes That Say ’I Love You’”
12. David Johansen – “Rough On Rats”
13. Jason Isbell – “Now That Your Dollar Bills Have Sprouted Wings”
14. The Last Polka – “Marc Ribot”
15. Eleanor Friedberger – “Old Shanghai”
16. Sparks – “Why Did You Make Me Care?”
17. Swamp Dogg – “America, Here’s My Boy”
18. Jack Black – “We All Wear Cloaks”
19. Loudon Wainwright III – “Do We? We Do”
20. Gabriel Kahane with Ymusic – “Mutilation Rag”