Thursday, 17 July 2014

รุนแรงจังเลย Lana Del Rey-Ultraviolence



รุนแรงจังเลย Lana Del Rey-Ultraviolence

Lana Del Rey-Ultraviolence ****

Released: June 2014
Genre: Dream Pop
Producers:  Dan Auerbach, Lana Del Rey, Paul Epworth , Lee Foster,  Daniel Heath, Greg Kurstin, Rick Nowels,  Blake Stranathan






   แม้จะไม่ค่อยเชื่อเธอนักเมื่อลาน่า เดล เรย์ บอกว่า Born To Die (2012) อาจจะเป็นอัลบั้มสุดท้ายของเธอ เพราะเธอคิดว่าอะไรที่เธออยากจะสื่อออกไปเธอก็ได้พูดไปหมดสิ้นแล้วในอัลบั้มนั้น (นักวิจารณ์บางคนบอกว่าเธอพูดไปหมดก่อนจะจบอัลบั้มด้วยซ้ำ) เพราะเธอเหมือนจะเป็นพวกสร้างภาพและเปิดประเด็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความจงใจหรือไม่ก็ตาม--ผมก็ยังดีใจที่ได้ข่าวว่าเธอคลอดอัลบั้มที่สอง Ultraviolence นี้ออกมา ว่ากันว่าคำๆนี้มีจุดเริ่มต้นมากจากภาพยนตร์ระดับคลาสสิกของ Stanley Kubrick - A Clockwork Orange ที่เกี่ยวกับคดีข่มขืนของตัวเอกในเรื่อง ขณะที่เขียนอยู่นี้ประเด็นเรื่องความรุนแรงต่อเพศตรงข้ามกำลังเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมบ้านเราพอดี ทั้งคดีข่มขืนในรถไฟและการ"ลงโทษ"ด้วยการทำร้ายร่างกายนักกีฬาของโค้ช

   กลับมาเข้าเรื่อง Ultraviolence ของลาน่า ในภาพปก คุณจะเห็นนางเอกวัย 29 ของเราอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวคอวีเบาบางจนเห็นบราไร้สายสีขาวด้านในกำลังเปิดประตูลงมาจากรถ มันเป็นภาพขาว-ดำ ที่น่าจะเป็นโทนสีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับดนตรีใน Ultraviolence ที่คุณอาจเรียกมันว่าเป็น Pop-Noir และนี่เป็นปกอัลบั้มที่ไม่มีชื่อศิลปิน

   คุณๆที่ชอบเพลงสนุกๆและเต็มไปด้วยบีทที่รู้สึกได้อย่าง Off to the Races, Diet Mountain Dew หรือ Summertime Sadness จากอัลบั้มชุดที่แล้ว น่าจะต้องผิดหวังกับ Ultraviolence เพราะนาทีนี้ลาน่าเลือกเดินสายเพลงช้าอืดและล่องลอยในแบบ Million Dollar Man และ/หรือเพลงสุดดังของเธอ Video Games เกือบทั้งอัลบั้ม

   Dan Auerbach แห่ง The Black Keys รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หลัก และเขาก็ใส่สุ้มเสียงของ Black Keys เข้าไปไม่น้อย มันเหมาะเจาะกับสไตล์ของลาน่ายิ่งนัก ทั้งความหม่นมืด,เสียงรีเวิร์บมหาศาลและฝีมือกีต้าร์ที่แดนฝากไว้ประปรายทำให้ Ultraviolence เป็นก้าวกระโดดในความเป็นศิลปินของลาน่าอย่างชัดเจน แฟนๆของ Black Keys ที่ไม่เคยฟังลาน่ามาก่อนก็น่าจะประทับใจกับ Ultraviolence นะ คงมีคนไม่มากนักที่จะคิดว่าทั้งสองคนจะร่วมงานกันแล้วออกมาลงตัวขนาดนี้ ต้องขอบคุณเจ้าของไอเดียที่นำเธอและเขามาเจอกัน

ลีลาการเขียนเนื้อร้องของเธอก็เต็มไปด้วยชั้นเชิงมากขึ้นรวมทั้งการร้องเพลงที่หลุดพ้นไปอีกขั้น (อ๊าก จะชมมากเกินไปมากหรือเปล่า)

   แต่ต้องเตือนอีกครั้งว่า Ultraviolence เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีภูมิแพ้ต่อเพลงช้าหม่นหมอง ที่ดาร์คตั้งแต่ดนตรียันมุมมองของเนื้อหา แต่จุดเด่นของมันคือเมโลดี้สวยงามซึ่งลาน่าทำได้ดีเสมอที่ทำให้มันไม่เป็นความมืดมนที่น่าเบื่อ แต่กลับเป็นการเดินทางในราตรีที่แสนหวานชวนฝัน

   เจ้าแม่แห่งสไตล์อย่างลาน่าเปิดตัวแปลกๆด้วยมิวสิกวิดีโอแบบยังทำไม่เสร็จของเพลง West Coast ที่ประกอบไปด้วยซีนสั้นๆที่ชายหาดของเธอกับหนุ่มผมยาววนไปวนมา ก่อนที่จะออกฉบับจริงในเวลาต่อมา (น่าแปลกที่หลายคนกลับชอบไอ้ฉบับที่เป็นลูปวนมากกว่า) มันเป็นเพลงที่ตัดไปตัดมาระหว่าง time signatures สองแบบเหมือนกับเหตุการณ์ในวิดีโอ ซาวนด์ของแดนเด่นชัดมาแต่ไกล และเป็นเพลงที่มีจังหวะจะโคนมากที่สุดในอัลบั้ม เอ็มวีเพลงนี้เหมือนจะต่อเนื่องไปกับ Shades of Cool ที่ลาน่าเริงร่า(เกือบจะเป็นระริกระรี้) ไปกับหนุ่มใหญ่ที่มีรูปลักษณ์คล้ายศิลปินแจ๊ซ Chet Baker ในปัจฉิมวัย นี่เป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้มในทุกๆด้าน ท่อนคอรัสเกือบๆจะเป็นโอเปร่า ออเคสตร้าโอบอุ้มมวลดนตรีมืดหม่นและจังหวะที่รวดเร็วเทียบเท่าขบวนแห่ศพ ยังไม่พอหรือ? งั้นจัดท่อนโซโล่กีต้าร์เชือดวิญญาณจากแดนลงไปอีกดอก นิตยสารโรลลิ่งสโตนบรรยายถึงเพลงนี้ไว้ว่ามันเหมือนกับ "หนังเจมส์บอนด์ที่กำกับโดยเควนติน ตารันติโน่" และผมก็แทบจะอยากบินไปจับมือเห็นด้วยกับเขา จะว่าไปคงไม่มีใครแปลกใจถ้าลาน่า เดล เรย์ จะไปร้องเพลงธีมให้หนังเจมส์ บอนด์เรื่องต่อไป (อ้อ แต่ถ้าตารันติโน่จะมากำกับเจมส์ บอนด์จริงๆก็คงต้องเลือกสาวบอนด์จากเท้าของเธอและเตรียมโลหิตเทียมให้เพียงพอนะ)

   ไหนๆก็จะทำแนวนี้แล้ว ลาน่าจึงไม่มีความหวั่นไหวอะไรที่จะเปิดหัวอัลบั้มด้วยเพลงช้ายาวเกือบเจ็ดนาทีอย่าง Cruel World ขึ้นต้นมาก็เป็นความสิ้นสุดของความรัก แต่คุณจะไม่เห็นน้ำตาจากเธอ '...that's all over now, I did what I had to do, I could see you leaving now....' เพลงนี้เหมือนเป็นแบบทดสอบว่าคุณจะรับ Ultraviolence ได้ไหม เพราะมันมี elements ทุกอย่างในอัลบั้มอยู่ในบทเพลงนี้

   ไทเทิลแทร็คที่ฮือฮากันในความมาโซคิสม์ของเนื้อหา '....He hit me and it felt like a kiss...' ที่ลาน่าหยิบยืมมาจากเพลงดังในอดีตของ The Crystals ท่วงทำนองล่องลอยไม่มีร่องรอยของความรุนแรงประหนึ่งสื่อให้รู้สึกถึงความสุขที่มาถึงพร้อมๆกับความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามความหมายที่แท้จริงของเพลงอาจจะลึกซึ้งและต้องตีความมากไปกว่า S&M ธรรมดาๆ

   ลาน่าเล่าว่าเธอบินไปหาลูรีดในนิวยอร์คเพื่อจะบันทึกเสียงเพลง Brooklyn Baby ร่วมกับเขา เพื่อที่จะพบว่าเขาเสียชีวิตลงในวันนั้นเอง (ไม่ทัน) สิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงการเอ่ยถึงชื่อของเขาในเนื้อเพลง '...And my boyfriend's in the band / he plays guitar while I sing Lou Reed...' แม้จะหลอนไม่แพ้เพลงอื่น แต่นี่น่าจะเป็นเพลงที่ติดหูและอ่อนหวานที่สุดในอัลบั้ม ลาน่าเลือกเล่าเรื่องด้วยประโยคสั้นๆได้ทรงพลัง '....and my jazz collection's rare...' ที่บอกได้ว่าเธอในเพลงนี้นั้นคูลแค่ไหน

   ครึ่งหลังของอัลบั้มก็ยังเต็มไปด้วยเพลงคุณภาพแม้จะไม่หลากหลายนัก Sad Girl (บัลลาดที่แสดงความเป็นเธอออกมาในเนื้อหา), Pretty When You Cry (มุมมองที่น่าสนใจในความอาดูร), Fucked My Way Up To The Top (เธอเหมือนจะจิกกัดศิลปินหญิงบางคนที่ลอกเลียนสไตล์ของเธอ--เลดี้ กาก้า?), Old Money ทำนองคุ้นๆเหมือนเพลงโอลดี้ส์เก่าแก่ A Time For Us เล่าเรื่องของพ่อ-แม่ของเธอ และปิดอัลบั้มอย่างเป็นทางการด้วยเพลงน้ำใต้ศอก,เพลงเก่าของ Nina Simone เมื่อปี 1959 The Other Woman ที่ลาน่านำมาร้องและทำได้ดีจนอยากจะให้เธอออกอัลบั้มแสตนดาร์ดสักชุด (แต่เธอก็ยังทำได้ไม่"ถึง"เท่าออริจินัลของซิโมนหรอกนะครับ)

   deluxe edition ฉบับบ้านเรามีแถมสามเพลง : Black Beauty ที่ไม่รู้ว่าคิดยังไงถึงไม่นำไปใส่เป็นตัวจริง เพราะมันดีพอและเหมาะสมที่จะเป็นชื่ออัลบั้มได้ด้วยซ้ำ, Guns and Roses คุณเดาถูกแล้ว, มันเป็นเพลงที่เล่าถึงความสัมพันธ์แปลกๆของเธอกับ แอ็กเซิล โรส ที่หลายคนลุ้นให้เป็นแฟนกัน และ Florida Kilos ที่น่าจะสนุกเกินไปสำหรับการเป็นตัวจริงใน Ultraviolence

   ถึงเวลานี้ชัดเจนแล้วว่าลาน่า เดล เรย์ ทำดนตรีได้ไม่เหมือนใคร นักข่าวเคยถามว่าเธออยากให้คนฟังคิดถึงเพลงๆหนึ่งของเธออย่างไร เธอตอบว่า ไม่อยากเลย อันที่จริงเธอไม่อยากให้ใครได้ฟังเพลงและอ่านเนื้อหาที่เธอเขียนด้วยซ้ำ เธอหวงแหนมัน อืมม์?


tracklist:

01 Cruel World
02 Ultraviolence
03 Shades of Cool
04 Brooklyn Baby
05 West Coast
06 Sad Girl
07 Pretty When You Cry
08 Money Power Glory
09 Fucked My Way Up to the Top
10 Old Money
11 The Other Woman
12 Black Beauty *
13 Guns and Roses *
14 Florida Kilos *
* bonus tracks