Showing posts with label jazz. Show all posts
Showing posts with label jazz. Show all posts

Friday, 27 February 2009

Snoppy & Jazzy DAVID BENOIT Jazz For Peanuts






Jazz เป็นดนตรีที่น่าอัศจรรย์ วันหนึ่งมันอาจเป็นซาวนด์แทร็คประกอบหนังฟิล์มนัวร์อันแสนดำมืด แต่วันรุ่งขึ้นคุณก็อาจจะได้ยินมันโลดแล่นเป็นแบคกราวน์ให้การ์ตูนน่ารักๆอย่าง Peanuts ที่มีตัวเอกคือ Snoopy ที่ชาวไทยรู้จักกันดี

Jazz For Peanuts เป็นงาน retrospective ของดนตรีแจ๊สที่เป็นส่วนหนึ่งของการ์ตูนอมตะเรื่องนี้ ตั้งแต่ยุคของ Vince Guaraldi ที่รับหน้าที่ทำเพลงประกอบให้ในตอนแรกๆ และ 20 ปีหลังที่ David Benoit รับไม้ต่อ

ในเมื่อมันเป็นแจ๊ซประกอบการ์ตูนใสๆอย่าง Peanuts คุณจึงไม่ต้องหวังว่าจะได้ฟังการ improvise อย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง หรือจังหวะและตัวโน๊ตที่ซับซ้อนเกินวัย Jazz For Peanuts คือแจ๊ซที่เหมาะสำหรับเด็กๆและผู้คิดจะเริ่มลองของกับดนตรีแนวนี้อย่างแท้จริง เพราะมันเต็มไปด้วยบทเพลงที่น่ารัก สดใส ฟังไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้หวานแหววเรื่อยเจื้อยจนหาความเป็นแจ๊ซไม่เจออย่างดนตรีของ Kenny G แต่จะว่าไปตาหัวฟูตลอดกาลก็ยังมาฝากฝีมือไว้ในอัลบั้มกะเค้าด้วยหนึ่งเพลง ซึ่งก็เป็นเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมาที่พอ G ไปทำงานนอกเค้ามักจะผ่อนคลายและเล่นได้เยี่ยมกว่าในอัลบั้มของตัวเองเสมอ

น่าเสียดายที่มีแค่ 10 เพลง แต่ก็เป็น 10 เพลงที่เยี่ยมยอดน่าฟังทุกเพลง Benoit ไม่ได้ขายของเก่าอย่างเดียว เขานำเพลงเก่ามาบรรเลงใหม่หลายเพลงตั้งแต่เพลงแรก You’re In Love, Charlie Brown ที่แต่งโดย Guaraldi เดวิดปล่อยให้เสียงเครื่องเป่าของ Christian Scott (Trumpet) และ And Suzuki (Tenor Sax) โดดเด่น ก่อนที่เขาจะมาเก็บตกบน Steinway Piano อย่างเพราะพริ้ง อีกสองเพลงที่เป็นเพลงเก่าของ Guaraldi ที่ Benoit นำมาบรรเลงใหม่คือ The Great Pumpkin Waltz และ Be My Valentine เพลงแรกให้ข้อมูลไว้ในซีดีว่าเป็นการบรรเลงของทริโอ เปียโน เบส กลอง แต่กลับมีกีต้าร์ออกมาอิมโพรไวส์หน้าตาเฉย (ผมว่าน่าจะสลับข้อมูลกับ Wild Kids เพลงถัดมาที่ไม่ได้ยินเสียงกีต้าร์แต่มีลิสต์ว่าเล่นโดย Pat Kelley) เพลงที่ Benoit แต่งเองอย่าง Rollerblading, Re-Run’s Theme และ Wild Kids ที่แต่งร่วมกับ Dave Grusin ดูจะมีรายละเอียดทางดนตรีมากกว่าที่ Guaraldi แต่ง แต่ก็ไม่มีเสน่ห์กระจุ๋มกระจิ๋มเท่า โดยเฉพาะเมื่อปิดอัลบั้มด้วยแทร็คอมตะ Linus And Lucy ที่ Benoit ตัดสินใจใช้เวอร์ชั่นเก่าของ Vince Guaraldi Trio เสียเลย (จากตอน A Charlie Brown Christmas ที่ผมแนะนำให้หาซีดีชุดนี้มาฟังด้วยครับ แต่ต้องเป็นเวอร์ชั่นก่อน remaster นะครับ เพราะรีได้เน่ามาก)

นอกจากงานของ Benoit และ VGT แล้วยังมีแทร็คจากแขกอย่าง Wynton Marsalis ใน The Buggy Ride (วินตันเคยมีงานทริบิวต์ให้การ์ตูนเรื่องนี้ในปี 1995-Joe Cool’s Blues) และ Dave Brubeck ในเพลง Benjamin ที่บรูเบ็คโชว์ฝีมือชั้นครู (มาจากตอน NASA Space Station) เพลงที่ตา Kenny G มาวาดลวดลายโซปราโนฉ่ำๆชื่อ Breadline Blues แต่งโดยเจ้าพ่อ GRP Dave Grusin

หาซื้อได้ในเมืองไทยในราคาไม่แพงครับ

Sunday, 22 February 2009

ลมหายใจสุดท้ายของยอดนักแซ็กแห่งยุคสมัย "ไมเคิล เบร็คเกอร์"



MICHAEL BRECKER 1949-2007




ไมเคิล เบร็กเกอร์ นักเทเนอร์แซ็กคนสำคัญของยุคสมัย (บางคนยกย่องว่าเขาเป็นนักแซ็กคนสำคัญที่สุดหลังจากยุคของโคลเทรน-บ้างก็ว่าหลังจากเวน ชอร์ตเตอร์ก็พอ....แต่บางคนก็ว่าเขาดีแต่เทคนิคแต่เล่นไม่ค่อยมีอารมณ์)ได้จากเราไปด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่เป็นผลจากโรค myelodysplastic syndrome (โรคนี้ทำให้ไขกระดูกไม่ยอมผลิตเม็ดเลือดที่มีสุขภาพดีออกมา) ตั้งแต่ต้นปีแล้ว เขามีอายุแค่ 57 ผมตามงานของไมเคิลมาแทบไม่ขาดตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกที่เขาออกกับ GRP (ถ้าจำไม่ผิดสมัยม.4) แต่อัลบั้้มสุดท้าย...Pilgrimage ที่ออกมาหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว...ผมไม่ได้รีบร้อนที่จะหามาฟังเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะผมยังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่าเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว

แต่ในที่สุด...มันก็มาอยู่ในมือผมแล้ว ถึงแม้จะหาดาวน์โหลดได้ไม่ยาก แต่ผมคงไม่ทำร้ายจิตใจไมค์แบบนั้นและมันก็เป็นงานที่ยอดเยี่ยมเกินคาด เป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดของเบร็กเกอร์ที่ผมฟังมา และเข้าข่ายจะเป็น "อัลบั้มแห่งปี" โดยส่วนตัวของผมด้วย ไมเคิลออกอัลบั้มใหม่ทีไร ผมก็มักจะอดให้เขาติดโผยอดเยี่ยมไม่ได้เสียที

Pilgrimage มี 9 แทร็คที่เป็นผลงานการประพันธ์ของเบร็กเกอร์ล้วนๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาตั้งแต่บันทึกเสียงมา เหตุผลคือ ช่วงก่อนหน้านี้ เขาป่วยหนัก จนไม่อาจซ้อมเป่าแซ็กได้เกินห้านาที ไมเคิลเลยใช้เวลาที่นอนเจ็บไปแต่งเพลงซะไมเคิลชวนเพื่อนห้าคนในสี่ตำแหน่งดนตรีที่เคยร่วมเล่นกับเขามาก่อน ที่่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นทีม all star jazz ในยุคนี้เริ่มจาก Pat Metheny-Guitars, Herbie Hancock, Brad Mehldau-Pianos, John Patitucci-Bass, และ Jack DeJohnetteแต่ละคนถ้าเป็นนักการเมืองก็ดีกรีระดับห้วหน้าพรรคทั้งสิ้น

ข่าวรายงานว่า ไมเคิลเล่นแซ็กบันทึกเสียงอัลบั้มนี้ด้วยความเจ็บปวดจากโรคมะเร็ง แต่สาบานได้ว่าคุณไม่มีทางจับได้จากผลงานที่เขาเล่นใน9แทร็คทั้งหมด ตรงข้าม ไมเคิลเล่นด้วยความคล่องแคล่ว ทรงพลัง และเต็มไปด้วยเทคนิค สร้างสรรค์ดูเหมือนจะเป็นฟอร์มที่สดกว่าที่เขาเคยทำมาด้วยซ้ำ (วันแรกที่ซ้อมกันเฮอร์บีถึงกับตะโกนถามว่า นายแน่ใจหรือว่านายยังป่วยอยู่?) ใครที่เคยดูแคลนฝีมือของเขาไว้ว่าไม่ใช่ของจริงคงต้องถอนคำพูดซะดีๆ ส่วนเทพทั้้งห้าก็เล่นกันสมราคา โดยเฉพาะแพ็ท เมธินีที่ปล่อยสุดฝีมือบนกีต้าร์หลายๆตัวที่เขาขนเข้ามาโชว์ ส่วนแจ็คกับจอห์นก็เข้าขากันดีเหลือเกิน เฮอร์บีและแบรดผลัดกันที่ตำแหน่งเปียโน ด้วยสไตล์ที่ต่างกันตามอารมณ์ของเพลง

เพลงที่ฟังแล้วอึ้งที่สุดคงจะเป็นบัลลาด When Can I Kiss You Again? ที่ไมเคิลเอามาจากคำถามของลูกชายของเขาเองที่พูดกับเขาตอนที่ไมเคิลรับการรักษาและต้องระวังการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด มันเป็นเพลงช้า (แต่ก็จะว่าไปมันก็ออกจะซํบซ้อนกว่าที่จะเรียกได้ว่าบัลลาด) เพลงเดียวในอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงจังหวะปานกลางถึงเร็วตลอดแผ่น

ไมเคิลอยู่ไม่ถึงขั้นตอนการมิกซ์อัลบั้มนี้ เขาเสียชีวิตหลังจากบันทึกเสียงเสร็จไม่กี่วัน ซูซานภรรยาของไมเคิลบอกว่าที่เขาบันทึกเสียงนี้ได้จนเสร็จถือเป็นสปิริตของไมเคิลโดยแท้ เพราะโดยเนื้อแท้ของสุขภาพของเขานั้นมันไม่ไหวแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะอัดเสียงให้เสร็จทำให้ไมเคิลยืนหยัดอยู่ได้

ถ้าคุณอยากฟังอัลบั้ม Jazz ยุคใหม่ที่มีแต่เพลงออริจินัล บรรเลงโดยยอดคนของแต่ละตำแหน่งดนตรีด้วยปฏฺิภาณและปฏิสัมพันธ์ชั้นอ๋อง และบันทึกเสียงอย่างเฉียบขาด แนะนำอัลบั้มสุดท้ายของไมเคิลนี้ครับ ส่วนเรื่องความสะเทือนใจอาลัยอาวรณ์ในตัวศิลปินแทบไม่มีผล ผมหมายถึงอัลบั้มนี้มันดีเด่นในตัวอยู่แล้วโดยไม่ต้องการอะไรมาเป็นแรงเสริม

Saturday, 21 February 2009

Bill Evans Trio | Sunday At The Village Vanguard


1. Gloria's Step - (take 2)2. Gloria's Step - (take 3, bonus track)3. My Man's Gone Now 4. Solar5. Alice In Wonderland - (take 2)6. Alice In Wonderland - (take 1, bonus track)7. All Of You - (take 2)8. All Of You - (take 3, bonus track)9. Jade Visions - (take 2)10. Jade Visions - (take 1, bonus track)



บิล อีแวนส์ (เปียโน) สก็อต ลาฟาโร (เบส) และ พอล โมเชี่ยน (กลอง)
ได้ร่วมสร้างผลงานกันในนามของ Bill Evans Trio ไว้ไม่กี่ชุด

พวกเขาเล่นร่วมก้นมาได้ประมาณ2ปีก่อนที่อีแวนส์จะตัดสินใจบันทึกเสียงวงในการแสดงยาวเหยียดที่วิลเลจ
แวนการ์ดในเดือนมิ.ย. 1961
ฝีมือและการสอดรับอิมโพรไวส์กันระหว่างทั้งสามนั้นเข้าขากันราวกับมีพลังจิตสื่อกันได้

ถ้าท่านคุ้นกับการเล่นของอีแวนส์คงจะทราบดีว่าเขาเน้นฮาร์โมนี และใส่ space เข้าไประหว่างตัวโน้ตมากมาย ต่างจากมือเปียโนแจ๊สคนอื่นๆในยุคเดียวกัน บิลจะมีซาวนด์เฉพาะตัวที่ก้องหวานเหมือนระฆัง-สุกสว่างอ้อยอิ่งดั่งแสงไฟนีออนสีฟ้าในคืนพร่ำฝน ขณะที่ฝีมือของสก็อต ลาฟาโรนั้นยอดเยี่ยมเกินบรรยาย น้ำเสียงเบสจากพลังนิ้วของเขานั้นนุ่มนวลแต่ชัดเจนแกร่งกร้าวฉุดลากตัวโน้ตไปในทิศทางซ่านกระเซ็นสุดคาดเดาพร่างพรมไปทั่ว ขณะที่พอล โมเชี่ยนร่ายแส้ไปบนฉาบแฉและแผ่นหนังราวกับศิลปินปาดพู่กันไปบนผืนผ้าใบ พวกเขาทั้งสามได้สร้างมาตรฐานใหม่ของการเล่นเปียโนทริโอแจ๊สขึ้นมาให้กับวงการ

แต่แค่ 10 วันหลังจากการบันทึกเสียงที่วิลเลจฯ ลาฟาโรเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์อย่างไม่มีใครคาดฝัน เทคที่สองของเพลง Jade Visions ที่สก็อตแต่งเอง เป็นเพลงสุดท้ายที่คลาสสิกทริโอวงนี้ได้เล่นด้วยกัน

บิลเป็นคนเลือกเพลงลงอัลบั้ม Sunday At Village Vanguard นี้เพื่ออุทิศให้ลาฟาโร มีชื่อของเขาบนปก อัลบั้มเปิดและปิดด้วยผลงานการประพันธ์ของมือเบสหนุ่ม และตลอดอัลบั้มท่านจะได้ฟังการโซโลเบสที่เกือบจะเรียกได้ว่าเหนือมนุษย์อย่างจุใจจากสก็อต (เซียนแจ๊สวิเคราะห์การเล่นเบสของสก็อตไว้ว่ามีลักษณะเฉพาะตัวที่มีความเป็นตรรกะในตัวเองและความสมมาตรของสุ้มเสียง....internal logic and symmetry)

คุณภาพในการบันทึกเสียงก็เป็นอีกหนึ่งในความน่าอัศจรรย์จากงานแสดงสดชุดนี้ บิลและสก็อตปักหลักอยู่คนละฟากฝั่งของสเตอริโอโดยมีเสียงกลองและฉาบของโมเชี่ยนคอยโยงเป็นสายใยเชื่อมต่อระหว่างสองแชนเนล แผ่น Sunday... และ Waltz For Debby (ที่เป็นอีกชุดคู่แฝดของมัน โดยเพลงไม่ซ้ำกับชุดนี้แต่มาจากงานเดียวกัน) กลายเป็นงานแจ๊สออดิโอไฟล์ที่นักฟังหูทองแนะนำให้ฟังมาตลอดสี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีการนำมารีมาสเตอร์ครั้งแล้วครั้งเล่าจากสังกัดออดิโอไฟล์ชื่อดัง

เวอร์ชั่นหลังๆของแผ่นนี้จะมีการใส่โบนัสแทร็คที่เป็นเทคที่ไม่ถูกเลือกในตอนแรกเข้ามาด้วย แต่การนำมาแทรกๆระหว่างแทรคออริจินัลก็อาจจะทำให้ผู้ที่ต้องการฟังในแบบดั้งเดิมเกิดความรำคาญนิดหน่อย

ผมมักจะตกหลุมรักจากงานแจ๊สที่บันทึกเสียงจากแจ๊สสถานแห่งนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานของ เทรน ซันนี่ โจ เฮนเดอร์สัน หรือ วินตัน มาร์ซาลิส ซักวันคงได้ไปฟังที่นั่นจริงๆ...อยู่รอด้วยนะ

Saturday, 23 August 2008

Miles Davis Kind Of Blue





















โดนัลด์ ฟาเกน (สตีลลี่ แดน)...."มันคือ sex wallpaper"
คลินท์ อีสต์วู้ด "เอานิวเอจไปไกลๆ ผมขอแค่ Kind Of Blue"
ควินซี่ โจนส์ "มันคือน้ำส้มยามเช้าของผมที่ต้องดื่มทุกวัน"
ดวน ออลแมน "ไอเดียจากการโซโลยาวเหยียดของผม มาจาก Kind Of
Blue"







ใครๆก็ชื่นชม Kind Of Blue หลายคนบอกว่า ถ้าคุณจะมีซีดีแจ๊สแค่แผ่นเดียว ก็ต้องเป็นแผ่นนี้ (แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ดนตรีแจ๊สหลากหลายเกินกว่าที่จะอ้างอิงด้วยอัลบั้มนี้อัลบั้มเดียว) และเมื่อไหร่ที่มีการจัดโพลล์อัลบั้มแจ๊สยอดเยี่ยมตลอดกาล ผมยังไม่เคยเห็นอัลบั้มนี้พลาดอันดับ 1 ไปได้เสียที
แต่อาจจะไม่ทุกคนที่คลั่งไคล้มัน....



อ่านใน JazzLife เล่มสองปกป้าเอลล่า ที่คุณอนันต์เขียนถึงอัลบั้มนี้ไว้อย่างลึกซึ้งในเชิงโครงสร้างดนตรีแล้วก็นึกทึ่ง Flamenco Sketches เล่นกับโครงสร้างของ mode อย่างเมามัน โดยมีการเปลี่ยนโมดถึงห้าโหมดต่อเนื่องกันให้นักดนตรีแต่ละคนโซโลกันเพลินๆ



แต่ในคอลัมน์เดียวกันก่อนหน้านั้น คุณอนันต์ได้ไปสัมภาษณ์อาจารย์ดนตรีสองท่านเกี่ยวกับ Kind Of Blue นี้ และมีความเห็นที่น่าสนใจหลายประเด็น



เมื่อคุณอนันต์ถามถึง Flamenco Sketches ที่เป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม อาจารย์ท่านแรกสารภาพว่าเขามักจะไปไม่ถึงเพลงนี้ หลับไปก่อน ส่วนอีกท่านกล่าวสั้นๆว่า เขาก็ชักเริ่มง่วง และให้ข้อมูลเพียงว่ามันเป็นการ"ใช้โหมดเขียน"



ยังมีอีกความเห็นเกี่ยวกับ So What ที่อาจารย์ท่านหนึ่งแสดงความสงสัยว่าทำไมการโซโลในเพลงนี้จึงดูอั้นๆ ขณะที่เวอร์ชั่นอื่นของ So What ที่ออกมาทีหลังมีการ "สอย" (เขาใช้คำนี้) กันยับมากกว่านี้ ทั้งที่เพลงก็เปิดช่องให้มากมาย อีกความเห็นของอาจารย์บอกว่า คนเล่นแซ็กในอัลบั้มนี้ดูเกร็งๆเหมือนโดนโปรแกรม อาจเป็นเพราะต้องมาเล่นอะไรที่ไม่คุ้นเคย



อาจารย์ทั้งสองท่านมีความเห็นตรงกันว่าชอบ Blue In Green ที่สุดในอัลบั้ม และท่านหนึ่งไม่เห็นด้วยว่าอัลบั้มนี้เป็นงานที่ฟังง่ายเหมาะสำหรับเยาวชน



และที่คนอ่านสามารถรู้สึกได้แม้ว่าอาจารย์ทั้งสองท่านจะไม่กล่าวออกมาตรงๆคือ Kind Of Blue ไม่ใช่งานโปรดของท่านแหงๆ



ไมลส์นำทีมนักดนตรีของเขาในยุคนั้นรวมกับเขาแล้วก็เจ็ดคนเข้าห้องอัดที่ Columbia Studios สองรอบในเดือนมีนาคมและเมษายน 1959 โดยไม่มีการซ้อมเพลงเหล่านี้มาก่อน ทุกคนได้รับทราบแต่โหมดและโครงสร้างหลวมๆ ที่เหลือเป็นการมั่วเอ๊ยอิมโพรไวส์หน้างานล้วนๆ ไมลส์เล่นทรัมเป็ต จอห์น โคลเทรน เทเนอร์แซ็ก แคนนอนบอล แอดเดอร์ลีย์ อัลโตแซ็ก บิล อีแวนส์ เปียโน วินตัน เคลลี่ เปียโน (เฉพาะแทร็ค Freddie Freeloader) พอล แชมเบอร์ส เบส และ จิมมี่ คอบบ์ กลอง ทุกคนได้รับการยอมรับว่าเป็นจอมยุทธผู้เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธประจำกายในระดับสูงสุดของแจ๊สบู๊ลิ้ม



โดยส่วนตัวผมใช้เวลากับอัลบั้มนี้อยู่หลายปีถึงจะเข้าถึงอารมณ์ของมันได้ ผมเห็นด้วยว่ามันไม่ใช่อัลบั้มสำหรับมือใหม่ฟังแจ๊สที่อาจจะหลับคาเครื่องได้อย่างง่ายดาย และมันไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบอะไรเร่าร้อนเผ็ดมันไม่ว่าจะรูปแบบไหนอย่างแน่นอน ตรงข้าม...แน่นอน...มันเหมาะสำหรับคนที่ชอบเหม่อลอยปล่อยอารมณ์ลอยโลด ทำอะไรทอดหุ่ยซึมเซา.... ในบางเวลา....(อย่างผม)



ความเห็นของอาจารย์สองท่าน อาจจะสร้างการถกเถียงในหมู่คนรัก Kind Of Blue กันวุ่นวาย แต่เมื่อไตร่ตรองดู นั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ Kind Of Blue เป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นการไม่"สอย"กันยับใน So What การเล่นแซ็กโซโฟนที่เรียบง่ายเหมือนผ้าพับไว้ของทั้งสองตำนานแซ็ก หรือความง่วงเหงาหาวนอนของโทนโดยรวมของอัลบั้ม ทั้งหมดนั้นคือเสน่ห์ของ Kind Of Blue



รีวิวในอะเมซอนอันนึงเขียนได้ถูกใจผมมาก
"วันฝนตก...ผมเปิด Kind of Blue....ทะเลาะกับแฟน....เปิด Kind of Blue....รู้สึกสบายๆ....เปิด Kind Of Blue....."



ใช่เลย! ความอัศจรรย์ของมันคือดูมันจะเป็นซาวน์แทร็คหรือแบคกราวนด์มิวสิกให้กับอารมณ์และสถานการณ์ต่างๆได้หลากหลายอย่างน่าประหลาด มันเป็นอัลบั้มโปรด"หลังวิ่ง"ของผมตลอดกาล และท่อนโซโลอันเพราะพริ้งสวยงามนั่น ไม่ว่าจะใน So What หรือ All Blues ไม่ว่าผมจะฟังกี่ร้อยหน ก็ยังไม่เคยจำมันได้เสียที มันคือความคุ้นเคยที่ยังเคลือบแคลงด้วยความคาดไม่ถึงอยู่ร่ำไป
Kind Of Blue ในความเห็นของผม มันไม่ใช่ซีดีแจ๊สแผ่นเดียวที่คุณต้องมี แต่ถ้าคุณมีมัน มันจะทำให้คุณต้องเสียเงินกับดนตรีแนวนี้ตามมาอีกสุดประมาณ แต่ถึงคุณจะตะบันซื้อไปอีกกี่แผ่น คุณก็จะพบว่า โลกนี้ยังไม่มีภาคสองของ Kind Of Blue....








บทความนี้เคยลงไว้ใน oknation.net /blog/adayinthelife

Note: อีกไม่นานนี้ ทาง Sony จะออก Kind Of Blue boxset มาให้เสียเงินกันอีก ข่าวว่าจะมี outtake แปลกๆนิดหน่อย อาทิ false start take ของ Freddie Freeloader (จะยาวกี่วินาทีหนอ) รวมทั้งดีวีดีเบื้องหลังและสารคดี