ออกจำหน่าย-มีนาคม 2010
แนวดนตรี- Rock, Classical, New Age
โปรดิวเซอร์- Steve Lipson, Trevor Horn
จิมี่ เฮนดริกซ์ราตรีสวัสดิ์ครั้งสุดท้ายไปหลายทศวรรษแล้ว เอริก แคลปตันก็วุ่นวายกับการทำเพลงป๊อบและการเดินตามหาอดีต ส่วน จิมมี่ เพจก็ยังไม่อาจสลัดคำว่า Led Zeppelin ออกจากหัวใจ และแทบจะไม่มีผลงานใหม่ๆออกมาเลย แต่เทพกีต้าร์องค์สุดท้ายจากยุค 60's Jeff Beck ก็ยังคงรักษาสถานะของการเป็น "นักกีต้าร์ขวัญใจนักกีต้าร์" อยู่ไม่เสื่อมคลาย เขาอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงป๊อบปูลาร์เท่าเทพองค์อื่น (ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการที่เขาไม่ร้องเพลง และการทำเพลงตามใจตัวเองเป็นหลัก) แต่ถ้าวัดกันโน้ตต่อโน้ตแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครอยากดวลกับเขาตัวต่อตัวบนสังเวียน...!!! (ความจริงแล้วนักดนตรีระดับนี้เวลาเล่นด้วยกันบนเวทีเขาไม่มาเข่นฆ่ากันหรอกครับ แต่มักจะออกมาในแนวผลัดกันแลกภูมิปัญญาและฝีมืออย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยเสียมากกว่า)
Emotion & Commotion คืออัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวชุดที่ ๑๐ ของเขา และเป็นงานสตูดิโอชุดแรกในรอบ 7 ปี เจฟฟ์หันเหจากแนวทางกีต้าร์อีเล็กโทรนิกาในสองอัลบั้มก่อน มาเล่นกับดนตรีเน้น soundscape กับออเคสตร้า 64 ชิ้น และลีลากีต้าร์ที่สุขุมอลังการ พร้อมแขกรับเชิญสาวๆสามท่านเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดไปในความเป็นเจฟฟ์ (ใครที่เคยได้ยินเจฟฟ์พยายามร้องเพลงบอกเสียงเดียวกันว่าให้เขาเล่นกีต้าร์อย่างเดียวต่อไปน่ะดีแล้ว!)
น่าเสียดายที่สองเพลงจากการขับร้องของ Joss Stone "I Put A Spell On You" และ "There's No Other Me" แม้จะเป็นโซล-ฟังค์กรู๊ฟที่น่าสนใจ แต่มันเป็นอะไรที่มาขัดจังหวะความต่อเนื่องทางอารมณ์ของอัลบั้ม ผิดที่ผิดทาง ทำให้ Emotion & Commotion ดูด้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย เพลงแรกเป็นการ cover เพลงของ Screamin’ Jay Hawkins ที่ไร้ที่ติ ส่วนอีกเพลงเป็นเพลงใหม่ที่จอสส์ร้องได้สุดคอหอยและ band performance ที่น่าตื่นหูตื่นใจ แต่เพลงกลับจบลงอย่างค้างคาเหมือนทำไม่เสร็จ คาดว่าเจฟฟ์ใส่สองเพลงนี้มาเพื่อขยายฐานแฟนเพลง ก็อาจจะได้ในแง่นั้น แต่ภาพรวมกลับเป็นการทำลายเอกภาพของอัลบั้มไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับตัว Joss Stone นี่เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ว่าตัวเธอคือนักร้องโซล-บลูส์รุ่นใหม่ชั้นยอดที่ยังมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่ความล้มเหลวในงานส่วนตัวของเธอเองที่ยิ่งออกมาก็ยิ่งดำดิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ทีมงานและตัวเธอเองจะต้องหาคำตอบให้ได้
กลับมาที่อีก 8เพลงที่เหลือใน Emotion & Commotion โปรดิวเซอร์ Steve Lipson และ Executive Producer Trevor Horn ทำสุ้มเสียงออกมาได้ยิ่งใหญ่กึกก้องในแบบที่แฟนของฮอร์นเข้าใจได้ดี เปิดอัลบั้มอย่างโอฬารด้วย Corpus Christi Carol เพลงโบราณจากการประพันธ์ของ Benjamin Britten หนึ่งในสองเพลงจากอัลบั้ม Grace ของ Jeff Buckley ที่เจฟฟ์ เบ็ค นำมาเล่นในอัลบั้มนี้ (เบ็คเพิ่งได้ฟังอัลบั้มนี้เมื่อเร็วๆนี้) ดนตรีนุ่มนวลเปิดกว้างด้วยคีย์บอร์ดและออเคสตร้าปูพรมให้เสียงกีต้าร์ไฟฟ้าอ่อนหวานแช่มช้อยของเจฟฟ์กรีดยาวไปทั่วนภากาศ จะเรียกว่าเป็นเพลงแบบนิว-เอจก็ไม่น่าจะผิดอะไร แต่เจฟฟ์เหมือนจะรู้ว่าแฟนๆคิดถึงการโซโล่แบบถึงพริกถึงขิง (แก่) ของเขา เพลงต่อไป Hammerhead ที่เจฟฟ์แต่งร่วมกับมือคีย์บอร์ด Jason Rebello จึงดุดันขึ้นด้วยริฟฟ์มันส์ๆ เสียงเอ็ฟเฟ็ควาห์-วาห์สุดเก๋าและการบดขยี้สายกีต้าร์อันดุเดือดแม่นยำในแบบของเจฟฟ์ ชื่อเพลงชวนให้คิดถึงฉลามหัวฆ้อนแต่นัยหนึ่งเป็นการให้เกียรติแก่ Jan Hammer อดีตมือคีย์บอร์ดคู่บุญของเจฟฟ์ นี่คือเพลงที่มีความเป็น "กีต้าร์ฮีโร่"ที่สุดในอัลบั้ม Never Alone เพลงถัดมายังคงความต่อเนื่องในแบบไร้ช่องว่างระหว่างเพลง เสียงกลองและเพอร์คัสชั่นโดดเด่นฝีมือ Vinnie Colaiuta และ Luis Jardim เจฟฟ์เล่าให้ฟังว่าพาร์ทคีย์บอร์ดในเพลงนี้เป็นการพยายามเล่นเสียงประสานมนุษย์ในแบบของวง The Swingle Singers แต่คงไม่มีใครสนใจนักในเมื่อเสียงกีต้าร์ของเจฟฟ์ที่เล่นเสียงอ้วนท้วนเน้นอักขระแบบเดวิด กิลมอร์ (Pink Floyd) ดูจะกลบบทบาทของดนตรีชิ้นอื่นหมด บรรยากาศของเพลงเหมือนนั่งรถไฟเดินทางไกลไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง
เจฟฟ์นำเพลงอมตะจากภาพยนตร์ Wizard Of Oz 'Over The Rainbow' มาเล่นกับคีย์บอร์ดและออเคสตร้า เขาเล่าไว้ใน liner notes ว่าเขาเพิ่งค้นพบว่าทำไมเวอร์ชั่นดั้งเดิมของ Judy Garland ถึงได้เข้าถึงจิตใจผู้คนมากกว่าที่ใครจะนำไปร้อง...เพราะเสียงของ Judy มีการเล่นลูกคอที่ไม่สม่ำเสมอ (unsteady vibrato)ผมคิดว่าเจฟฟ์พยายามจะให้กีต้าร์ของเขาทำเสียงแบบนั้นในเพลงนี้ นี่คือเพลงที่ไม่ว่าใครจะนำไปร้อง-เล่นก็มักจะน่าฟังเสมอ และเวอร์ชั่นของเจฟฟ์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เสียงกีต้าร์ของเขาลอยสูงและอยู่ไกลเกินเอื้อมอยู่ในที่ไหนสักแห่งเหนือสายรุ้งขึ้นไป
Olivia Safe นักร้องโอเปร่ามาให้เสียงในอัลบั้มนี้สองเพลง ใน Serene เสียงเธอเป็นแบ็คกราวนด์เบาบาง ในเพลงที่มือเบสดาวรุ่ง Tal Wikenfeld ย่ำสายอย่างโดดเด่น ส่วน Jeff เล่นไปกับ effect time blender อย่างเพลิน Olivia มาเด่นมากๆในเพลงสุดท้าย Elegy For Dunrik ที่ยิ่งใหญ่สุดพรรณนา ในขณะที่เจฟฟ์เล่นกับสำเนียงในแบบที่ชวนให้คิดถึงนักกีต้าร์แจ๊ซอย่าง Pat Metheny, Bill Frisell หรือ John Scofieldสาวรับเชิญอีกคนคือ Imelda May ในเพลง Lilac Wine ที่ Jeff Buckley ร้องไว้ใน Grace อีกเพลง เป็นแทร็คที่เด่นมากๆอีกแทร็ค เสียงร้องเธอนุ่มนวลสง่างาม ขณะที่โซโล่ท่อนสุดท้ายของเบ็คนั้นทำให้คนฟังคนนี้แทบลืมหายใจไปหลายวินาที อีกแทร็คที่น่าประทับใจคือ Nessun Dorma ผลงานของ Puccini จากอุปรากร Turandot ที่เบ็คดัดแปลงท่อนเชลโลมาเป็นกีต้าร์ไฟฟ้าได้อย่างเนียนแนบ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสักวันเขาน่าจะมี Guitar Concerto Album ออกมา
อยากจะขมวดบทแนะนำอัลบั้มนี้ด้วยคำเปรียบเปรยเว่อร์ๆว่าเจฟฟ์นั้นถึงขั้นน่าจะเป็นรัฐบุรุษของวงการกีต้าร์ได้แล้ว แต่เกรงว่าไม่เหมาะสมและไม่จำเป็น เขาอาจจะเป็นแค่ผู้ชายอายุ 65 ปี ที่เป็นหนึ่งในหลายล้านคนบนโลกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกีต้าร์อย่างแท้จริง เจฟฟ์ผ่านมาแล้วแทบทุกแนวดนตรีและดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้เขาต้องค้นหาหรือพิสูจน์อีก แต่ Emotion & Commotion กลับแสดงทิศทางใหม่ของการใช้กีต้าร์ไฟฟ้าประกอบกับเครื่องดนตรีคลาสสิกวงใหญ่ แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนแรก แต่แนวทางของเจฟฟ์นั้นน่าสนใจและมีแนวโน้มว่าจะทำได้สมบูรณ์กว่านี้ในอนาคต พวกเราโชคดีที่ได้เกิดมาร่วมสมัยของนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ครับ
Track listing
"
"Hammerhead" (Jeff Beck, Jason Rebello)
"Never Alone" (Jason Rebello)
"Over the Rainbow" (Harold Arlen, E. Y. Harburg)
"I Put a Spell on You" (featuring Joss Stone) (Screamin' Jay Hawkins)
"Serene" (featuring Olivia Safe) (Jeff Beck, Jason Rebello)
"Lilac Wine" (featuring Imelda May) (James Shelton)
"Nessun Dorma" (Giacomo Puccini)
"There's No Other Me" (featuring Joss Stone) (Jason Rebello, Joss Stone)
"Elegy for