ผู้หญิงที่อื้อฉาวและโด่งดังที่สุดในวงการดนตรีในรอบปีที่ผ่านมา? หลีกทางไปหน่อยนะ บริทนีย์ ปารีส หรือลินด์เซย์ โลฮาน เส้นทางนี้เป็นของเธอคนเดียวเท่านั้น Amy Winehouse ปี 2007 สำหรับเธอชีวิตเต็มไปด้วยสีสันสุดขั้ว ทั้งบวกสุดๆและดิ่งสุดเหวี่ยง ด้านดนตรีเธอได้ทั้งเงินและกล่อง Back To Black เป็นซีดีที่ขายดีที่สุดแห่งปี และเสียงวิจารณ์ก็เป็นในแง่บวกทั้งสิ้น ไม่นับรางวัลที่เธอแทบจะตามรับกันไม่ไหว แต่ชีวิตส่วนตัวเต็มไปด้วยปัญหามากมายทั้งปัญหากับสามีและเรื่องการใช้ยาและการดื่ม หนักหนาจนน่าเป็นห่วง ว่ากันว่าคนที่จะร้องดนตรีโซลได้ถึงอารมณ์จริงๆนั้นต้องใช้ชีวิตเยี่ยงบทเพลงนั้นด้วย นี่อาจเป็นสิ่งที่เธอโดดเด่นออกมาเหนือชั้นกว่านักร้องโซลรุ่นเดียวกันอย่าง Joss Stone
Amy เป็นลูกสาวของคนขับแท็กซี่และเภสัชกรชาวยิวในลอนดอน ซึมซาบดนตรีจากแผ่นเสียงของแม่ เริ่มแต่งเพลงเองตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจากได้กีต้าร์ตัวแรกไม่นาน ตามมาด้วยการออกจากโรงเรียนและเริ่มยุ่งกับการใช้ยาตั้งแต่วัยนั้น แฟนหนุ่มของเธอเป็นคนส่งเดโมของเอมี่ไปให้บริษัทแผ่นเสียง ส่งผลให้ในปี 2003 เอมี่ก็ได้เซ็นสัญญากับ Island Records Frank เป็นอัลบั้มแรกของเธอในปี 2003 โปรดิวซ์โดย Salaam Remi ออกในแนวแจ๊ส-บลูส์ที่มีคนเปรียบเทียบเธอกับ Macy Gray และ Sarah Vaughan อัลบั้มได้เข้าชิงรางวัล Mercury Music Prize ในปีนั้น
เอมี่หายไปสามปี เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรอยสักและร่างกายที่ซูบแห้งในปี 2006 ด้วย Back To Black ที่เธอทำงานกับ Remi โปรดิวเซอร์คนเดิม และ Mark Ronson โปรดิวเซอร์หนุ่มที่กำลังมาแรง อัลบั้มนี้เธอลดโทนความเป็นแจ๊สลง แต่ใส่อิทธิพลสำเนียงโซลแบบโมทาวน์ไปเต็มๆ บวกกับเครื่องเป่าหนักหน่วงแบบที่ Ronson ถนัด (มรดกจากโซลแบบของ Stax/Atlantic ที่ Aretha Franklin และ Otis Redding สร้างชื่อเอาไว้ในยุคกลางซิกซ์ตี้ส์) คุณยังจะได้ยินการเรียบเรียงเสียงประสานแบบ Girl Groups และการมิกซ์เสียงหนาแน่นที่ Phil Spector สร้างชื่อเอาไว้ในนามว่า Wall Of Sound อ่านดูแล้ว Back To Black น่าจะเป็นงานที่ฟังแล้วโบราณย้อนยุค แต่ด้วยเสียงที่ไม่เหมือนใครของเอมี่ และความคึกคักในสำเนียงการโปรดิวซ์ของ Ronson ทำให้ Back To Black กลายเป็นความลงตัวของการผสมผสานเสียงของดนตรีโซลต่างทศวรรษ มันคือ Neo-Retro Soul ถ้าอยากจะเรียก...Amy มีเสียงที่ห้าวค่อนข้างใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความคมกริบในเนื้อเสียง ทุกโน้ตและทุกการเว้นวลีเต็มไปด้วยลีลาเฉพาะตัว ราวกับเป็นนักร้องที่ผ่านประสบการณ์การร้องหลายสิบปี ทั้งๆที่เธอเพิ่งอายุแค่ 24 ปีเท่านั้น
Rehab เพลงเปิดอัลบั้มและกลายเป็นเพลงคลาสสิกแห่งยุคสมัยไปแล้ว เนื้อหาเกี่ยวกับการปฎิเสธเข้าสถานบำบัดการติดยาติดเหล้าของเธอเอง มันเป็นกอสเพลโซลที่สมบูรณ์แบบ การพบกันของเพลงและเสียงของ Amy กับการโปรดิวซ์ของ Mark Ronson (เครื่องเป่าจี๊ด เสียงกลองคอมเพรสส์แน่น บวกเอ็คโค่แบบ 50's) นั้นเรียกว่าถูกคู่บุพเพสันนิวาสจริงๆ เพลงอื่นๆอาจจะไม่ติดหูทันทีอย่าง Rehab แต่มันเป็นงานที่ยิ่งฟังยิ่งไพเราะ Love Is A Losing Game ให้อารมณ์แจ๊สพริ้วเหงาเหมือนกับอัลบั้มแรกของเธอ Tears Dry On Their Own ใช้โครงสร้างจากเพลงคลาสสิกโมทาวน์ Ain’t No Mountain High Enough ถ้าชอบสไตล์ดูว็อปเศร้าๆต้องฟัง Wake Up Alone และปิดท้ายด้วย Addicted ที่กลับมาเรื่องยาๆอีกครั้งสมเป็นลูกสาวเภสัชกร
Deluxe Edition ออกมาเมื่อปลายปีก่อน มี Bonus Disc อีกแผ่นที่คุณจะได้ฟังเอมี่ร้องเพลง Valerie ของ The Zutons ได้อย่างสุดไพเราะ (คนละเวอร์ชั่นกับในอัลบั้มของ Mark Ronson ที่เธอไปเป็นแขกรับเชิญ) และ Cupid ของ Sam Cooke ที่เธอเอามาตีความในแบบเร็กเก้น่าฟังมากทีเดียว
ความสำเร็จของ Amy กับ Back To Black ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้ฟังเริ่มเอียนเต็มกลืนกับศิลปินที่ถูก”สร้าง”ขึ้นมาจากเบ้าหลอมสูตรสำเร็จเดียวกัน เธอทำให้ดนตรีโซลจากสี่ทศวรรษที่แล้วกลับมากลายเป็นของ cool ได้ในบัดดล...!!!
Amy เป็นลูกสาวของคนขับแท็กซี่และเภสัชกรชาวยิวในลอนดอน ซึมซาบดนตรีจากแผ่นเสียงของแม่ เริ่มแต่งเพลงเองตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจากได้กีต้าร์ตัวแรกไม่นาน ตามมาด้วยการออกจากโรงเรียนและเริ่มยุ่งกับการใช้ยาตั้งแต่วัยนั้น แฟนหนุ่มของเธอเป็นคนส่งเดโมของเอมี่ไปให้บริษัทแผ่นเสียง ส่งผลให้ในปี 2003 เอมี่ก็ได้เซ็นสัญญากับ Island Records Frank เป็นอัลบั้มแรกของเธอในปี 2003 โปรดิวซ์โดย Salaam Remi ออกในแนวแจ๊ส-บลูส์ที่มีคนเปรียบเทียบเธอกับ Macy Gray และ Sarah Vaughan อัลบั้มได้เข้าชิงรางวัล Mercury Music Prize ในปีนั้น
เอมี่หายไปสามปี เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรอยสักและร่างกายที่ซูบแห้งในปี 2006 ด้วย Back To Black ที่เธอทำงานกับ Remi โปรดิวเซอร์คนเดิม และ Mark Ronson โปรดิวเซอร์หนุ่มที่กำลังมาแรง อัลบั้มนี้เธอลดโทนความเป็นแจ๊สลง แต่ใส่อิทธิพลสำเนียงโซลแบบโมทาวน์ไปเต็มๆ บวกกับเครื่องเป่าหนักหน่วงแบบที่ Ronson ถนัด (มรดกจากโซลแบบของ Stax/Atlantic ที่ Aretha Franklin และ Otis Redding สร้างชื่อเอาไว้ในยุคกลางซิกซ์ตี้ส์) คุณยังจะได้ยินการเรียบเรียงเสียงประสานแบบ Girl Groups และการมิกซ์เสียงหนาแน่นที่ Phil Spector สร้างชื่อเอาไว้ในนามว่า Wall Of Sound อ่านดูแล้ว Back To Black น่าจะเป็นงานที่ฟังแล้วโบราณย้อนยุค แต่ด้วยเสียงที่ไม่เหมือนใครของเอมี่ และความคึกคักในสำเนียงการโปรดิวซ์ของ Ronson ทำให้ Back To Black กลายเป็นความลงตัวของการผสมผสานเสียงของดนตรีโซลต่างทศวรรษ มันคือ Neo-Retro Soul ถ้าอยากจะเรียก...Amy มีเสียงที่ห้าวค่อนข้างใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความคมกริบในเนื้อเสียง ทุกโน้ตและทุกการเว้นวลีเต็มไปด้วยลีลาเฉพาะตัว ราวกับเป็นนักร้องที่ผ่านประสบการณ์การร้องหลายสิบปี ทั้งๆที่เธอเพิ่งอายุแค่ 24 ปีเท่านั้น
Rehab เพลงเปิดอัลบั้มและกลายเป็นเพลงคลาสสิกแห่งยุคสมัยไปแล้ว เนื้อหาเกี่ยวกับการปฎิเสธเข้าสถานบำบัดการติดยาติดเหล้าของเธอเอง มันเป็นกอสเพลโซลที่สมบูรณ์แบบ การพบกันของเพลงและเสียงของ Amy กับการโปรดิวซ์ของ Mark Ronson (เครื่องเป่าจี๊ด เสียงกลองคอมเพรสส์แน่น บวกเอ็คโค่แบบ 50's) นั้นเรียกว่าถูกคู่บุพเพสันนิวาสจริงๆ เพลงอื่นๆอาจจะไม่ติดหูทันทีอย่าง Rehab แต่มันเป็นงานที่ยิ่งฟังยิ่งไพเราะ Love Is A Losing Game ให้อารมณ์แจ๊สพริ้วเหงาเหมือนกับอัลบั้มแรกของเธอ Tears Dry On Their Own ใช้โครงสร้างจากเพลงคลาสสิกโมทาวน์ Ain’t No Mountain High Enough ถ้าชอบสไตล์ดูว็อปเศร้าๆต้องฟัง Wake Up Alone และปิดท้ายด้วย Addicted ที่กลับมาเรื่องยาๆอีกครั้งสมเป็นลูกสาวเภสัชกร
Deluxe Edition ออกมาเมื่อปลายปีก่อน มี Bonus Disc อีกแผ่นที่คุณจะได้ฟังเอมี่ร้องเพลง Valerie ของ The Zutons ได้อย่างสุดไพเราะ (คนละเวอร์ชั่นกับในอัลบั้มของ Mark Ronson ที่เธอไปเป็นแขกรับเชิญ) และ Cupid ของ Sam Cooke ที่เธอเอามาตีความในแบบเร็กเก้น่าฟังมากทีเดียว
ความสำเร็จของ Amy กับ Back To Black ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้ฟังเริ่มเอียนเต็มกลืนกับศิลปินที่ถูก”สร้าง”ขึ้นมาจากเบ้าหลอมสูตรสำเร็จเดียวกัน เธอทำให้ดนตรีโซลจากสี่ทศวรรษที่แล้วกลับมากลายเป็นของ cool ได้ในบัดดล...!!!
No comments:
Post a Comment