Saturday 23 August 2008

She & Him Volume One



She & Him : Volume One ****
หวานใสแบบ60’s






Zooey Deschanel และ M. Ward โตมากับเพลงของ The Ronettes, Nina Simone และ The Carter Familyเหมือนกัน สาว Zooey เองยังเล่าว่าความทรงจำที่เก่าแก่ที่สุดของเธอก็คือการนั่งดูหนัง The Wizard Of Oz และพยายามร้องเพลง Over the Rainbow ตามไปด้วยตอนเธออายุสองขวบ จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่อัลบั้ม Volume One ของคนหนุ่มสาวอย่าง She & Him จะอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของดนตรีป๊อบของยุคซิกซ์ตี้ส์ เมื่อโลกยังอ่อนเยาว์และบทเพลงยังใสซื่อบริสุทธิ์ การได้ฟังอัลบั้มนี้ในปี 2008 จึงเหมือนเป็นสายลมเย็นที่พัดผ่านมาให้ชื่นใจยามโลกดนตรีอบอ้าวไปด้วยดนตรีที่หนักอึ้งขมึงเกลียว(ซะเป็นส่วนใหญ่)

ความเป็นดาราฮอลลีวู้ดของ Zooey (Almost Famous, ELF) อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ She & Him แต่เชื่อเถิดว่าเธอไม่ได้ใช้ความเป็นดาราเป็นจุดขายใน Volume One นี้อย่างแน่นอน ผู้กำกับ Martin Hynes เสนอให้ Zooey จับคู่กับ M. Ward นักร้องนักแต่งเพลงและนักกีต้าร์เพื่อบันทึกเสียงเพลง When I Get To The Border เพลงเก่าของ Richard Thompson เพื่อประกอบภาพยนตร์ The Go-Getter ให้เขา ทั้งคู่ปิ๊งกันในทางดนตรีโดยทันที Zooey ชื่นชมในความเป็นอัจฉริยะของ Ward และเมื่อ Ward ได้ฟัง demo ของ Zooey เขาก็รู้โดยทันทีว่านี่คือบทเพลงที่เหลือเชื่อ ทั้งคำว่า “เหลือเชื่อ” และ “อัจฉริยะ” นั่นเป็นคำที่ทั้งสองเยินยอกันเองนะครับ “เธอและเขา” เริ่มเข้าห้องอัดบันทึกเสียงอัลบั้ม Volume One นี้กันในปี 2006-7

ความสามารถทางดนตรีของ Ward อาจจะไม่ถึงกับอัจฉริยะ และเพลงที่ Zooey แต่งเกือบทั้งหมดในอัลบั้มนี้ก็ออกจะห่างไกลกับคำว่าเหลือเชื่อ แต่ She & Him เป็นองค์ประกอบทางเคมีที่ให้ผลลัพธ์แสนสุนทรีย์หรับคนที่รักดนตรีแนวนี้ Ward เคยเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมให้ Jenny Lewis ในอัลบั้ม Rabbit Fur Coat มาก่อน ถ้าท่านเคยฟังอัลบั้มนั้นมันก็มีสุ้มเสียงที่คล้ายกับ Volume One พอสมควร อย่างไรก็ตามสตาร์ของอัลบั้มย่อมเป็น She

เสียงร้องของ Zooey อาจจะทำให้ระบบความทรงจำในสมองของคุณวิ่งพล่านเพื่อหาข้อมูลที่ฝังลึกอยู่ว่าเสียงเธอเหมือนใครหนอ เสียงเธอหวานแหลมเล็กคล้าย Carly Simon มีจังหวะการแบ่งวรรคตอนเหมือน Karen Carpenter แต่ฟังทั้งหมดอีกทีก็เหมือนๆจะน่าจะใช่ Carole King ในวัยเยาว์ที่สุด อย่างไรก็ตามเราไม่มีนักร้องสาวเสียงร้องและวิธีการร้องแบบนี้ให้ฟังมานานแล้ว บทเพลงใน Volume One เต็มไปด้วยเนื้อหาใสๆเข้ากับแนวเพลง แต่ต้องชมการเลือกฉากหรือประโยคสั้นๆในเนื้อเพลงที่ใส่เข้ามาอย่างเหมาะเจาะ อาทิ การขี่จักรยานแบบสองคนอยู่คนเดียวเหงาๆใน Black Hole หรือการนั่งคอยอยู่บนหิ้งเหมือนตุ๊กตาใน Why Do You Let Me Stay Here?




อิทธิพลในการทำเพลงแบบ Phil Spector มีให้เห็นตั้งแต่แทร็คแรก Sentimental Heart เปียโนตอกย้ำในจังหวะบัลลาดช้าหวาน เสียงประสาน Ahhhh ให้อารมณ์ซิกซ์ตี้ส์สุดๆ เสียดายที่สั้นไปนิด Why Do You Let Me Stay Here? ซูอี้ร้องด้วยเสียงแบบ ‘flirt’ ที่นิยมกันในยุคนั้นได้อย่างน่ารักน่าชัง This Is Not A Test พักจากเรื่องรักมาเป็นเพลงให้กำลังใจผู้ฟัง ชีวิตไม่ใช่การทดสอบ จะดีจะร้ายจะสูงเสียดฟ้าหรือต่ำลงเหวสุดท้ายก็ผ่านไป “The summit doesn't differ from the deep, dark valley, And the valley doesn't differ from the kitchen sink. “ Ward พรมคอร์ดกีต้าร์โปร่งไปตามจังหวะปานกลาง เสียงคอรัสซ้อนทับหลายชั้นรองรับเสียงร้องไร้ที่ติของ Zooey นอกจากซิกซ์ตี้ส์ป๊อบแล้วดนตรีค้นทรี่แนชวิลล์ก็ยังเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่ออกหน้าออกตาหลายเพลง Change Is Hard โดดเด่นด้วยเสียงสไลด์และสตีล ส่วน Got Me นั้นยิ่งดิ่งลึกลงไปในความเป็นคลาสสิกคันทรี่ยิ่งกว่า

แต่ที่ถูกใจผมที่สุดน่าจะเป็น I Was Made For You ที่ She & Him สวมวิญญาณ Girl Group กันสุดฤทธิ์ เสียงร้องของ Zooey ก๋ากั่นล้อไปกับเสียงประสาน doo dub-dee-dubb ของเหล่าลูกคู่ เนื้อร้องก็ต้องประมาณ....” I was takin' a walk When I saw you pass by I thought I saw you lookin' my way So I thought I'd give you a try /When I saw you smile I saw a dream come true So I asked you, maybe Baby whatcha gonna do?” พฤติกรรมแบบนี้ ถ้าเป็นยุค 60’s ต้องถือว่าเป็นสาวมั่นสุดๆแล้ว

Volume One มีเพลง cover สามเพลงคือ You Really Got A Hold On Me ของ Smokey Robinson, I Should Have Known Better ของ John Lennon & Paul McCartney และเพลง tradition Swing Low, Sweet Chariot สองเพลงแรกเล่นกันสบายๆเหมือนนักศึกษาล้อมวงเล่นกันยามหัวค่ำ ส่วนเพลงสุดท้ายที่เป็นโบนัสแทร็คเหมือนเดโมที่บันทึกเสียงกันริมน้ำที่ไหนสักแห่ง (ได้ยินเสียงเหมือนน้ำซัดเข้าฝั่งเบาๆตลอดเพลง)

Zooey ยืนยันว่านี่ไม่ใช่ side project ดูจากชื่ออัลบั้มก็คงจะหวังได้ว่าจะได้ฟังงานชื่นมื่นจากสองหนุ่มสาวคู่นี้กันอีก

หมายเหตุ-ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียงเปียโนอัลบั้มนี้มันเพี้ยนๆชอบกล จงปรบมือให้ตัวเอง เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เป็นความจงใจของศิลปินเพื่อให้ได้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์-เขาว่าอย่างนั้นนะ

1 comment:

nut said...

ชอบ วงนี้เหมือนกัน

ซูอี้น่ารักมากก เสียงเพราะสุด