Wednesday, 4 March 2009

ยังไม่เห็นเส้นขอบฟ้าสำหรับวงดนตรีชื่อ "ยูทู"


U2 No Line On The Horizon (four and a half stars)



ผมก็เหมือนแฟนๆยูทูนับล้านๆทั่วโลกที่รู้สึกหงอย ใจหาย และอาจถึงขั้นสยดสยองกับซิงเกิ้ลแรกจาก No Line On The Horizon 'Get On Your Boots' ยิ่งจินตนาการเห็นผู้ชายวัยร่วม50มาดีดดิ้นกับเพลงเต้นรำแปลกๆอย่างนี้ยิ่งทำให้ฝันร้ายชัดเจนเข้าไปใหญ่ มันทำให้ผมแทบจะ ไม่หวังอะไรกับตัวอัลบั้มเลย ก็ธรรมดาซิงเกิ้ลมักจะเป็นเพลงที่ดีที่สุดของอัลบั้มไม่ใช่หรือ

แต่เมื่อได้ฟัง No Line... เต็มๆแล้ว ความวิตกเหล่านั้นก็อันตรธาน เพราะไม่มีเพลงใดออกไปในแนวทางเดียวกับ 'Boots' เลย และที่น่า ประหลาดคือเพลงนี้เมื่อมาแทรกอยู่กลางอัลบั้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์แบบ ambient กลับโดดเด่นขึ้นกว่าลอยอยู่เพลงเดียวกลางอากาศ

ผมหาเหตุผลได้สองอย่างว่าทำไมยูทูถึงเลือก Boots เป็นซิงเกิ้ลทั้งๆที่มันน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นในหลายๆแทร็ค หนึ่งก็คือ พวกเขาใกล้ชิดกับ มันมากเกินไปจนไม่อาจเดาใจผู้ฟังได้ว่าถ้าฟังมันในฐานะซิงเกิ้ลแล้วมันไม่น่าจะเวิร์ค มันเป็นเพลงเต้นแร้งเต้นกาก็จริง แต่แฝงคุณค่าทางดนตรี และเนื้อหาที่ซับซ้อนแดกดันและอารมณ์ขันเต็มไปหมด...แน่นอนว่าแฟนๆอาจจะไม่ get เหตุผลที่สองที่ออกจะเป็นไปได้ยากก็คือ...พวกเขาต้องการลดความคาดหวังในตัวอัลบั้มลงด้วยการนำเพลงที่กระจอกที่สุดออกมานำร่อง ถ้าพวกเขาคิดอย่างนี้จริงๆก็ต้องยกให้เป็นอัจฉริยะทางการตลาดล่ะครับ

No Line On The Horizon คือทิศทางใหม่อีกครั้งสำหรับพวกเขา หลังจากหลงทางลงห้วยตกเขาไปกับอัลบั้ม Pop ช่วงทศวรรษ 90's จนหลาย คนคิดว่าพวกเขาจะหาทางกลับมาบนท้องถนนแห่งดนตรีป๊อบไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ตั้งหลักใหม่และยื่นใบสมัครเพื่อเป็นวงร็อคที่ดีที่สุดในโลกอีก ครั้ง(คำพูดเว่อร์ๆของโบโน)ใน All That You Can't Leave Behind (2001) ที่จงใจจะให้เป็นยูทูแบบคลาสสิกเน้นความเรียบง่ายและจับใจ โลกตอบรับและโอบกอดสี่หนุ่มไอริชอย่างอบอุ่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความโหยหาอารมณ์เดิมๆและบทเพลงในชุดนั้นมันเฉียบแทบทุกแทร็ค อัลบั้มต่อมา How To Dismantle An Atomic Bomb (2004) พบว่ายูทูยังเดินตามแนวทางเดิมเพียงแต่เพิ่มสีสันที่ดุเดือดขึ้นระดับหนึ่ง

...Atomic Bomb เป็นอัลบั้มที่เยี่ยม แต่สำหรับวงดนตรีที่อยากจะอ้างว่าเป็นวงที่ดีที่สุดในโลก งานแบบนั้นมันยังไม่สมศักดิ์ศรีเพียงพอ ผมบอก พวกเขาผ่านทางกระแสจิตตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้วว่า อัลบั้มต่อไปของพวกพี่ๆจะมาเดินตามทางเดิมอย่านี้ไม่ได้แล้วนะ พวกเขาต้องมีอะไรใหม่ๆมาฝากแฟนๆ ถ้ายังอยากประชันกับรุ่นน้องอย่าง Radiohead หรือรุ่นหลานอย่าง Coldplay และอะไรใหม่ๆนั้นก็ไม่จำ เป็นต้องใหม่เอี่ยมนักก็ได้

การจับคู่ระหว่างยูทูกับโปรดิวเซอร์ผู้เชี่ยวชาญในการชุบชีวิตศิลปิน Rick Rubin เป็นความล้มเหลวอย่างน่าเสียดาย พวกเขาอาจจะยังไม่ตกต่ำ เพียงพอที่จะเรียกใช้งานของกูรูเครางาม และแนวทางการทำเพลงของรูบินก็ต่างจากวิธีของยูทู รูบินชอบทำเพลงเสร็จมากจากบ้านแล้วมาแต่งเติม ในห้องอัด แต่ยูทูนั้นทำงานแบบ "พวกกึ่งสมัครเล่น ไร้รูปแบบ" ตามคำบอกเล่าของ ลารี่ มัลเลน จูเนียร์ มือกลองคนหนุ่มตลอดกาลของวงเอง

รูบินจึงต้องไป และพวกเขาก็หันกลับไปหาซี้เก่า Brian Eno, Daniel Lanois และ Steve Lillywhite ที่เคยสร้างผลงานเกริกไกรกันมาแล้วใน อดีต แต่บุคคลที่น่าจะมีอิทธิพลกับเสียงของ No Line มากที่สุดก็คือ Eno

No Line ไม่มีเพลงที่เด่นมากๆออกมา แต่มันคืออัลบั้มที่ต้องฟังอย่างดูดดื่มต่อเนื่องตลอดเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง มันยังเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลาและ สมาธิในการซึมซับอรรถรสทางดนตรีที่ถูกระบายลงไปเป็นชั้นๆอย่างซับซ้อน ฟังยังไงนี่ก็คือ sound ของ Eno ชัดๆ ถ้าจะเทียบกับ Viva La Vida ของ Coldplay ที่ Eno ก็เป็นโปรดิวเซอร์เหมือนกัน ก็ราวกับหนังสองเรื่องที่มีผู้กำกับคนเดียวกัน แต่มีดารานำคนละคน

และพลังในการแสดงของดารามือเก่าจากไอริชคนนี้ก็ยังมีอยู่อย่างเหลือล้น!

นี่ไม่ใช่งานที่ฟังยากหรือซับซ้อนเกินไป พวกเขาฉลาดเกินไปกว่าที่จะฆ่าตัวเองด้วยการทำเพลงหลุดกรอบออกมาทั้งชุด Magnificent คือ คลาสสิกยูทูที่แฟนตัวจริงโหยหา อดัมย้ำเบสในแบบที่เขาเชี่ยวชาญ ขณะที่ The Edge พุ่งพล่านไปทั่วเพลง มันคือเพลงที่ให้คำตอบว่าพวกเขายังมีพลังในการทำเพลงแบบยี่สิบปีก่อนได้สบายๆแต่พวกเขาก็ทำให้ดูกันแค่เพลงเดียวพอ Moment Of Surrender***** ต่อยอดและพัฒนาจากเพลงบัลลาด-กอสเพลอย่าง Stuck In A Moment You Can't Get Out Of ใน All That You Can't Leave Behind ยาวกว่าเจ็ดนาที เสียงร้องของโบโนเข้มข้นและเร้าอารมณ์สุดยอด จะว่าไปเขาก็แทบไม่ เคยร้องแบบอื่น และที่เซอร์ไพรซ์คือโซโลหวานๆและล่องลอยจากคนใส่หมวกไหมพรมคนนั้น (อัลบั้มนี้ Edge ปล่อยของ--โซโลเพียบ!)

No Line On The Horizon**** ไทเทิลแทร็ค เสียงร้องและอารมณ์แบบพังค์ๆ การเดินทางของตัวโน้ตในท่อนเวิร์สน่าสนใจและไม่เหมือน เพลงใดๆก่อนหน้านี้ของยูทู Stand Up Comedy**** เล่นกับริฟฟ์แบบ Led Zeppelin และ I'll Go Crazy If I Don't Go Crazy Tonight ****ที่มีวิลไอแอมมาช่วยโปรดิวซ์ก็สนุกสนานในแบบที่ไม่นึกถึง The Black Eyed Peas แต่อย่างใด (ไม่ต้องห่วงไม่มีเสียงแรปจากวิล) โบโน กระชุ่นว่าชื่อเพลงนี้น่าเอาไปทำเป็นสโลแกนบนที-เชิร์ต

ที่เหลือคือเพลงร็อคลุ่มลึกที่เต็มไปด้วยแบ็คกราวน์แบบ ambient ของอีโนซึ่งต้องตั้งใจฟังซักหน่อย ผมชอบการเขียนเนื้อของโบโนในหลายๆ เพลงของอัลบั้มนี้ เขาใช้คำง่ายๆ แต่การเล่าเรื่องมีวิธีการที่น่าสนใจ รวมทั้งมุมมองของการใช้ตัวละครบุคคลที่สาม Unknown Caller ****ตัว ละครที่กำลังอยู่ในช่วงการตัดสินใจแห่งชีวิต(อาจจะเป็นการจบชีวิต) แต่ต้องมาเจอกับ SMS นิรนามที่ส่งข้อความสุ่มๆมาเป็นคำแนะนำกึ่งคำสั่งๆ สั้นๆ มันอาจจะได้ไอเดียมาจาก"ของเล่น"ของอีโนที่ชื่อ Oblique Strategies Card ที่เขาเอาไว้ใช้ตอนลูกค้าเกิดความตีบตันทางความคิด (เป็น การ์ดที่พิมพ์คำสั่งหรือคำแนะนำสั้นๆไว้เช่น "ใช้ตัวโน้ตให้น้อยลงหน่อย","ปล่อยตัวเองให้อยู่ในพื้นที่ไร้ค่า", "ทำให้สกปรก" หรือ "เปลี่ยนเครื่องดนตรีที่เล่นกัน" เป็นต้น เขาใช้มันมาตั้งแต่ปี 1975 และทำให้ลูกค้าของเขาหลุดพ้นจากกรอบเดิมๆมานักต่อนักแล้ว) FEZ-Being Born**** เกือบเป็นเพลงเปิดอัลบั้มในตอนแรกแต่พวกเขาเปลี่ยนใจเสีย น่าเสียดายนะครับ ผมว่ามันเหมาะทีเดียวและอาจจะเปลี่ยนโฉมอัลบั้มไปอีกทางหนึ่ง เพลงสงครามสองเพลงคือ White As Snow**** และ Cedars Of Lebanon*** เศร้าเหงาและได้อารมณ์เหลือเกิน

Breathe **** คือเพลงสุดท้ายที่จะพูดถึง อีโนบอกว่านี่คือ "เพลงที่ดีที่สุดที่ยูทูเคยทำมา" คุณ อาจจะไม่เห็นด้วยกับเขาก็ได้ แต่นี่คือเพลงที่เป็นตัว แทนของอัลบั้มนี้ครับ ถ้าคุณต้องการแค่สักเพลง ว่ากันว่านี่จะเป็น anthem เพลงต่อไปบนเวทีการแสดงของพวกเขา

ในฐานะแฟนที่ติดตามกันมาตั้งแต่เกือบต้นๆ (ผมเริ่มฟังที่ 'War') No Line On The Horizon คือความภาคภูมิใจอย่างสุดซึ้งที่ผมมอบให้พวกเขา นี่คืออัลบั้มที่แม้แต่นักฟังประเภทชอบของเสมือนจริงยังควรจะต้องละอายใจและรีบวิ่งไปจ่ายเงินซื้อซีดีให้พวกเขา เสียงร้องมหัศจรรย์ของ Bono ยังไม่ทำให้ผิดหวัง ส่วนกีต้าร์ของ The Edge นั้นเล่นได้เกินคาดหวังเสียอีก Larry กับ Adam ก็ยังคงเป็น Larry กับ Adam คนเดิมที่ หนักแน่นแต่ไม่โดดเด่นออกมา

ในแวดวงของวงดนตรีร่วมสมัยที่มีอิทธิพลสูงสุดของโลกปัจจุบัน Radiohead อาจจะสร้างสรรค์และมีลีลาที่เหนือชั้นกว่า แต่แลกหมัดกัน ครบ15ยก กรรมการรวมคะแนนแล้วยังชูมือให้พวกไอริชขี้เมาเสือเฒ่าลายครามกลุ่มนี้อยู่ครับ ส่วน Coldplay นั้นคงยังต้องทำน้ำหนักอีกซักระยะ นี่น่าจะเป็นเฟสใหม่ของวงที่ต่อจากยุค"เรียกแชมป์คืน"ในสองอัลบั้มก่อน มันคือพัฒนาการอีกขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับวงดนตรีที่อยู่กันมานานขนาดนี้

นับเป็นโชคดีของโลกที่มีวงดนตรีอย่าง U2!

หมายเหตุ-ท่านที่สนใจเรื่อง Oblique Strategies ของ Eno ลองไปเล่นฟรีๆได้ที่....
http://www.palace.net/~llama/oblique/

2 comments:

Anonymous said...

ซื้อซีดีชุดนี้มาวันจันทร์ครับแต่ยังไม่ได้ฟัง คุณวินส์รีวิวได้รวดเร็วยิ่งนัก แต่ยังไม่ได้อ่านเนื้อหานะ อ่านแต่เปิดหัวกับปิดท้าย ฟังแล้วจะกลับมาอ่านรีวิวเต็มๆ

ชอบที่สรุปในช่วงท้ายว่าชกกันครบ 15 ยก ยกให้ You Too ชนะคะแนน Radiohead เห็นด้วยถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ฟังงานในชุดนี้ก็ตาม เอาเฉพาะที่ออกผลงานกันมาและ contribution ในทุกมิติที่มีต่อวงการดนตรี

ว่าแต่ว่านอกจาก Coldplay แล้วมีใครพอจะเป็น Candidate ร่วมได้บ้างครับ.....

Anonymous said...

666 albums you must download before you die. น่าสนใจมากครับ

ผู้ติดตามคงได้รับทราบถึงรสนิยมในการฟังเพลงที่หลากหลายของเจ้าของบล็อก