Monday, 16 June 2014

Ghost Stories

อดีตหลอนปิศาจรัก

Coldplay  | Ghost Stories ****
ออกจำหน่าย-พ.ค. 2014
แนวดนตรี-อัลเทอร์เนทีพ ร็อค,อีเล็คโทรนิกา, แอมเบียนซ์
โปรดิวเซอร์-ทิม เบิร์กลิ่ง, โคลด์เพลย์, พอล เอ็ปเวิร์ธ, ดาเนียล กรีน, จอน ฮอปกินส์, ริค ซิมป์สัน


คุณรู้จักผู้ชายสามคนนี้ไหม

จอนนี่ บัคแลนด์ (Jonny Buckland) อายุ 36 ปี เกิดที่ลอนดอน เขาเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด แต่หลักๆจอนนี่คือมือกีต้าร์ของ Coldplay สไตล์การเล่นของจอนนี่ได้รับอิทธิพลอย่างแรงมาจากท่านดิ เอดจ์แห่ง U2 ทั้งเสียงก้องกังวานและการใช้เอฟเฟ็คต่างๆบนสุ้มเสียงที่ดิบสด

กาย เบอรี่แมน (Guy Berryman) มือเบสเลือดสก็อตต์วัย 36 ปี ถนัดมือซ้าย แต่เล่นเบสด้วยมือขวา เขาก็เป็น multi-instrumentalist เหมือนกับจอนนี่ นอกจากเบส กายยังเล่นเชลโล,แมนโดลิน,คีย์บอร์ด และทรัมเป็ตได้อีกด้วย

วิล แชมเปี้ยน (Will Champion) มือกลองสมองใสและนักร้องสนับสนุนในบางโอกาส เกิดที่เซาท์แธมป์ตันเมื่อ 35 ปีก่อน วิลเป็นโคลด์เพลย์คนสุดท้ายที่เข้าร่วมวงในปี 1997 เขาตีกลอง Yamaha และใช้ฉาบของ Zildjian นอกจากเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของวงแล้วเขายังเป็นคนแรกที่ถูกไล่ออกจากวงด้วยในปี 1999 แต่ก็ถูกเรียกตัวกลับมาในที่สุด

แม้ Coldplay จะอยู่ในวงการมาถึง 14 ปีแล้ว แต่ผู้คนก็เหมือนจะรู้จักคริส มาร์ติน นักร้อง,คีย์บอร์ด,กีต้าร์และนักแต่งเพลงประจำวงอยู่คนเดียว ผมเลยขออนุญาตเอ่ยถึงสมาชิกสามคนนี้ให้ได้คุ้นเคยชื่อเสียงกันบ้าง แน่ล่ะ,เขาทั้งสามไม่ได้มีอิทธิพลต่อเสียงของ Coldplay เท่าคริส และคริสอาจจะหาใครๆอีกสามคนมาแล้วออกแผ่นในนาม Coldplay ได้ไม่ยากเย็นนัก แต่จอนนี่,กาย และ วิล ก็ทำหน้าที่ในความเป็น Coldplay ได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอมา ด้วยการเล่นแบบพอเพียง,เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยรสนิยม ตั้งแต่พวกเขาออกอัลบั้มแรก Parachutes ในปี 2000 ที่ใครๆก็เอาไปเปรียบเทียบกับ Radiohead หรือ Travis จนกระทั่งอัลบั้มล่าสุด- Ghost Stories ในปีนี้ ที่แม้จะมีซาวนด์ที่ออก ambience และ electronic มากกว่างานใดๆที่ Coldplay เคยทำมา แต่เอกลักษณ์ของสุ้มเสียงของพวกเขาก็ยังเด่นชัดจำได้ไม่ผิดวงแต่อย่างใด

ถึงพวกเขาจะทิ้งช่วงถึงสามปีห่างจาก Mylo Xyloto อัลบั้มชุดที่ห้า (2011) อันเป็นงานที่ซาบซ่า ฉูดฉาด และออกแบบมาเพื่อการเล่นสดในอรีน่า แต่เรากลับรู้สึกว่า Ghost Stories ออกมาอย่างรวดเร็ว และไม่ค่อยมีการโหมโรงปลุกกระแสอะไรเท่าไหร่ ไม่เหมือนหลายๆอัลบั้มที่ผ่านมาของพวกเขานับตั้งแต่ X&Y ข่าวที่ตีคู่มากับอัลบั้มนี้และอาจจะดังกว่าตัวอัลบั้มเองกลับเป็นการแยกทางกันแบบจากกันด้วยดีของคริส มาร์ติน กับศรีภรรยาดาราฮอลลีวู้ด กวินเน็ต พัลโทรว์ ที่ออกจะช็อกความรู้สึกแฟนๆอยู่บ้าง เพราะคริสจัดเป็นร็อค สตาร์ที่ไม่เหมือนร็อคสตาร์คนอื่นๆ เขามีภาพพจน์เป็นชายหนุ่มที่แสนดีมาตลอด และใครๆก็เชื่อว่าแฟมิลี่แมนอย่างเขาไม่น่าจะมีปัญหาชีวิตครอบครัว แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่เรารับรู้จากสื่อกับความจริงที่เกิดขึ้นมันอาจจะคนละมิติกันเลยก็ได้

ไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่า Ghost Stories คือเรื่องราวแห่งความล้มเหลวในชีวิตรักของคริสกับกวินเน็ต แต่แฟนๆส่วนหนึ่งก็คิดไปแล้วเต็มๆ เพราะมันแทบจะเป็นคอนเซพท์อัลบั้มแห่งการโหยหาแห่งรัก รักที่ยังไม่อาจลืม แต่ล้มเหลวและแหลกสลายเกินกว่าจะบูรณะ ถึงกระนั้นหัวใจของเขาก็ยังดื้อด้านกระเสือกกระสนผูกมัดตัวเองไว้กับความหวังอันล่องลอยและน้อยนิดว่ายังมีทางที่รักนั้นจะถูกเยียวยา และคืนความสุขให้คนทั้งชาติ...เอ๊ย เขาทั้งสองอีกครั้ง ชัดเจนออกอย่างนี้แล้วจะให้แฟนเพลงนึกเป็นอื่นได้อย่างไร

ในเมื่อมันเป็น break-up album  จึงมิเป็นการถูกต้องถ้าพวกเขาจะทำเพลงออกมาเอะอะมะเทิ่งในแบบ Mylo หรืออลังการอู้ฟู่หนักไปกว่าเดิมอีก วาระนี้ Coldplay จึงยูเทิร์นกลับสู่ความเรียบง่ายในยุคแรกของพวกเขาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้บริสุทธิ์และตรงไปตรงมาเหมือนยุค Yellow หรือ Shiver , Ghost Stories เป็นชั้นเชิงของการเล่าเรื่องด้วยดนตรีที่ฟังแล้ว minimalism แต่ซับซ้อนระยิบระยับ หน้าปกของอัลบั้มที่เป็นฝีมือการทำ etching ของศิลปินชาวเช็ค Mila Fürstová สอดคล้องไปกับดนตรีในอัลบั้มยิ่งนัก ถ้าเป็นไปได้ คุณควรล่องเรือลำเล็กๆออกไปตกหมึกในทะเลเงียบๆยามราตรีและเปิดอัลบั้มนี้ผ่านทางวิทยุตัวเล็กๆฟังคนเดียว

โอ! ไม่ต้องกลัวผี เพราะ Ghost ในที่นี้คืออดีตที่มาหลอกหลอน ที่อาจจะร้ายไปกว่าปิศาจ เพราะมันสิงสถิตอยู่ในหัวของคุณไม่ยอมหนีหายไปไหน

หลายคนคงจะรักอัลบั้มนี้สุดหัวใจ เพราะมันล่องลอย, ฟังสบาย และแสนจะไพเราะ เนื้อหาก็เข้าใจง่ายสำหรับใครๆที่เคยอกหักกันมาแล้ว (มีใครไม่เคยหรือ) แต่อีกด้านหนึ่งของแฟนๆก็อาจจะมองว่านี่เป็นอัลบั้มที่อ่อนที่สุดของพวกเขา สัญญาณแห่งการถดถอย จุดจบแห่งพลังสร้างสรรค์ของวงดนตรีแห่งยุคสมัย

แต่ส่วนตัวผมคิดว่านี่เป็นอัลบั้มที่น่าฟัง และมีความเป็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ไม่หรอก, สองสามอัลบั้มล่าสุดที่พวกเขาจับงานใหญ่ขึ้นเรื่อยๆนั้นก็ใช่ว่า Coldplay จะทำได้ไม่ดี พวกเขาทำได้ยอดเยี่ยมเลิศเลอ แต่ไม่รู้สินะ, ผมคิดว่าพวกเขาเหมาะกับงานที่เน้นอารมณ์, เศร้าหมอง และมองโลกหมุนไปช้าๆอย่างครุ่นคิดมากกว่า และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาสี่สิบกว่านาทีของ Ghost Stories ที่เริ่มจาก.....

Always In My Head คริสฉลาดที่เลือกคำว่า head แทนคำว่า mind หรือ heart ที่ออกจะเฝือและให้ความหมายไม่ลึกซึ้งเท่า เขาใช้คำสั้นๆง่ายๆในเนื้อเพลงแต่ฟังแล้วเข้าใจได้เลยถึงความรู้สึก I think of you / I haven't slept / I think I do/ But I don't forget เสียงคีย์บอร์ด,เสียงประสานและกีต้าร์ของจอนนี่ที่กรีดกรายประหนึ่งราวสรรสร้างโดยดิเอดจ์ตอนเคลิ้มฝันสร้างบรรยากาศได้ไร้ที่ติ คริสเก็บเสียงฟอล์สเซ็ตโต้ทีเด็ดของเขาไว้ท้ายเพลงนี้ที่แสนไพเราะ กินใจเกินกว่าที่จะจบลงห้วนๆแบบนี้ หรือว่าเป็นความจงใจของพวกเขาในการเล่นกับอารมณ์ของพวกเราผู้ฟัง?

Magic มนต์ขลังแห่งรักแม้มันจะผ่านพ้นไปแล้วแต่มันก็ยังคงทรงคุณค่ามิเปลี่ยนแปร เบสของกายเป็นพระเอกในซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มเพลงนี้ และไลน์เบสนี้ก็ยังเป็นต้นกำเนิดของเพลงด้วย การเรียบเรียงเหนือชั้นและพริ้งพรายด้วยรายละเอียดแต่กลับฟังดูมีพื้นที่ล่องลอยเบาบาง ยอดจริงๆ

Ink เทียบความรักกับรอยสักที่ยากจะลบเลือนในท่วงทำนองที่กระชับและป๊อบติดหูขึ้นกว่าเพลงก่อนหน้านี้ แม้มันจะเจ็บปวดแต่เขาก็โอเคที่จะมีมันไว้ เพียงเพื่อที่จะได้รำลึก ได้เก็บเธอไว้แม้เพียงแค่เป็นสัญลักษณ์ อีกเพลงที่น่าตัดเป็นซิงเกิ้ล

True Love ถ้าจะมีเพลงแบบ Fix You ในอัลบั้มนี้ก็ต้องเป็นเพลงนี้แหละ และถ้าไม่ใช่คริส มาร์ตินร้องด้วยเสียงหล่อๆและปวดร้าวของเขาในเนื้อเพลงที่เขียนว่า Tell me you love me/ if you don't/ lie to me ก็คงจะสร้างอึดอัดให้ผู้ฟัง แต่พอเป็นคริสนี่ถึงกับซึ้ง พูดเลย

Midnight ถึงแม้จะฟังเหมือนเพลงของ Bon Iver แต่ผมคิดว่าพวกเขาต้องการเล่นกับเสียงร้องประสานอันซับซ้อนที่แฝงเครื่องดนตรีเข้าไปด้วยกับบรรยากาศหลอนๆตลอดเพลงมากกว่า เพลงนี้ก็ได้ตัดเป็นซิงเกิ้ลมาก่อนอัลบั้มออกเหมือนกัน สร้างความอึ้งทึ่งหลอนให้แฟนๆได้ไม่น้อย เป็นอีกเพลงที่ต้องตั้งใจ"ฟัง" เพราะสารในเพลงมีมากมายกว่าที่แค่"ได้ยิน" เอ็มวีเพลงนี้มีนักวิจารณ์ชมเชยไว้ว่างดงามราวกับ iTunes Visualizer (ประชด) ลองหามาพิสูจน์กัน

Another's Arms มาถึงขั้นนี้แล้วจะมีอะไรนอกจากมาเศร้ากันต่อ ความรู้สึกธรรมดาๆที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่ต้องแยกทางกับคนรัก ได้แต่คิดถึงอดีตตอนที่ทำอะไรด้วยกัน และคิดไปไกลว่าตอนนี้เธอทำอะไรอยู่ที่ไหนกับใคร ในอ้อมแขนใครหนอ

Oceans ณ จุดนี้ เหมือนพระเอกของเราจะยอมรับสถานการณ์แล้วระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยสับสนในขณะที่เขาพร้อมจะเจอกับอะไรก็ตามที่รออยู่ เสียงคริสฟังดูปวดทรมานเกินกว่าเหตุบนคีย์บอร์ดที่เวิ้งว้างและอคูสติกกีต้าร์หม่นหนักอึ้งกดดันจิตใจ

มันคือความเขม็งเกลียวแทบจะเกินทานทนก่อนที่ทุกอย่างจะปะทุออกมาใน A Sky Full Of Stars  แทร็คเดียวของอัลบั้มที่กลายเป็น dance music ในสไตล์ของท่าน Avicii ดีเจชื่อก้องที่มาร่วมโปรดิวซ์เพลงนี้ด้วย รอยต่อระหว่าง Oceans กับ Stars ที่ห่างไกลกันมากทางอารมณ์กลับทำได้อย่างราบรื่น อัจฉริยะนัก

Coldplay ชอบทำอะไรงงๆกับ hidden track อยู่เสมอในอดีตกาล ครั้งนี้ก็เช่นกัน แทร็คสุดท้ายที่ให้ชื่อว่า O จริงๆคือสองเพลงที่แยกห่างกัน Fly On และ O เพลงสั้นๆที่มีแค่คำร้องว่า 'Don't ever let go.' ส่วน Fly On นั้นงดงามและตอบคำถามทั้งหมดของอัลบั้มด้วยเนื้อหาอันเรียบง่ายกล่าวถึงสัจธรรมที่เราทุกคนรู้ดีแต่ไม่มีใครนึกออกยามทุกข์ : ความรัก ความทุกข์ ความสุข ก็เหมือนหมู่วิหค บางทีมันก็บินมา บางทีมันก็บินจากไป

แฟน Coldplay ที่ต้องการการพัฒนาเดินหน้าไม่หยุดหย่อนจากพวกเขา คงต้องถามตัวเองก่อนว่าสิ่งที่เรียกว่าพัฒนาการนั้นคืออะไร สำหรับผม, แม้พวกเขาจะลดความอลังการงานสร้างฟรุ้งฟริ้งเจิดจ้าลงไปมาก แต่การจัดระเบียบดนตรีให้รับใช้อารมณ์เพลงใน Ghost Stories นี้, ถือเป็นความเหนือชั้น และพัฒนาการอีกก้าวของ จอนนี่, กาย, วิล

และ คริส มาร์ติน

tracklist:
1. Always In My Head 
2. Magic 
3. Ink 
4. True Love 
5. Midnight 
6. Another's Arms 
7. Oceans 
8. A Sky Full Of Stars 
9. O 

ติชมและรีเควสต์อัลบั้มเพื่อการรีวิวได้ที่ winstonbkk@gmail.com ครับ





No comments: