Imelda May:: Life Love Flesh Blood ***
Released : April 2017
Producer: T-Bone Burnett
Genre: Pop Rock
ว่ากันว่าสตรียามผ่านช่วงเปลี่ยนแปลงในชีวิตรัก
(หรือเรียกง่ายๆว่าอกหัก) สิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ที่พวกเธอมักจะทำกันก็คือการเปลี่ยนทรงผม
รวมถึงรูปลักษณ์อื่นๆ
มันอาจจะไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าช่วยให้เธอมีกำลังใจในการที่จะผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นไปให้ได้
การเปลี่ยนทรงผมปอมปาดูร์สีบลอนด์อันเป็นเอกลักษณ์มาตลอดของ Imelda May นักร้องสาว (ใหญ่)ชาวไอริช
วัย 42 ปี มาเป็นทรงบ๊อบเรียบง่ายสีบรูเน็ตต์บนปกอัลบั้มใหม่นี้ก็น่าจะเข้าข่าย
เพราะเธอเพิ่งเลิกราไปกับสามี Darrel Higham มาได้ไม่นาน
เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่สามีเท่านั้น แต่ดาเรลล์ยังมีส่วนในการทำเพลงให้เมย์มาตลอด
รวมทั้งโปรดิวซ์และเล่นกีต้าร์ให้ด้วย การขาดเขาไปจึงส่งผลอย่างแรงต่อทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตดนตรีของไอเมลด้า
เมย์
Life Love Flesh Blood เป็นอัลบั้มชุดที่ห้าของเมย์ สี่อัลบั้มที่ผ่านมา
เธอสร้างชื่อเสียงในฐานะนักร้องเสียงดี
ในแนวร็อคอะบิลลี่ยุคใหม่ที่ผสมผสานความสนุกสนานแห่งยุค 50’s เข้ากับพลังแรงๆของนิวเวฟยุค
80’s และเมื่อจะร้องแจ๊สเธอก็ทำได้ดี จนมีสื่อเอาเธอไปเทียบเคียงกับบิลลี่
ฮอลิเดย์ นั่น (ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่)
แนวดนตรีจากสี่อัลบั้มแรกแทบจะไม่มีให้ได้ยินอีกใน Life Love Flesh Blood เหมือนเธออยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
ด้วยทุกอย่างที่ใหม่หมด ตั้งแต่ทรงผมจรดแนวดนตรี
ไอเมลด้า เมย์
จัดเป็นนักร้องคนโปรดที่ศิลปินต่างๆชอบดึงไปร่วมงานด้วยมากมาย
ด้วยเสียงร้องและลีลาที่ไว้ใจได้เสมอ (ไม่ต่างจากจอสส์ สโตน)
จึงไม่ต้องห่วงว่าเมื่อเธอไม่มีดาเรลล์แล้วจะไปไม่รอด
งานนี้เมย์ดึงโปรดิวเซอร์ระดับเทพ T-Bone Burnett มาควบคุมการผลิตให้
และทีโบนก็ยกทีมวงดนตรีของเขามาบรรเลงให้ด้วยเสียเลย
อันประกอบด้วยตัวเขาเองเล่นกีต้าร์ร่วมกับ Marc Ribot, Dennis Crouch เล่นเบส, Jay
Bellerose กลอง และคีย์บอร์ดโดย Patrick Warren แน่นอนว่าฝีมือของวงดนตรีวงนี้อยู่ในระดับเชื่อมือได้
เมื่อเห็นว่าทีโบนมาโปรดิวซ์ผมค่อนข้างสบายใจว่าอัลบั้มนี้ต้องออกมาดีแน่ๆ
แต่ก็กังวลเล็กน้อยกับซาวด์แบบแห้งๆที่แกชอบนักหนา สิ่งที่ผมสบายใจนั้นเป็นจริง
คืองานออกมาดี และสิ่งที่กังวลนั้นก็ไม่เกิด เพราะทีโบน,ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ,
กลับละทิ้งสุ้มเสียงแห้งๆนั้นไป สิ่งที่ได้ยินคืออัลบั้มที่มีคุณภาพเสียงอิ่มเอิบเปิดกว้าง
ขัดกับแนวทางของแกอย่างยิ่ง (แต่ผมชอบ)
ด้วยรูปการณ์แห่งเรื่องราวในชีวิตของศิลปิน มันค่อนข้างจะมีเหตุผล
ถ้าเราจะคาดเดาว่า นี่น่าจะเป็นอัลบั้มแห่งความปวดร้าว บทเพลงแห่งหัวใจแตกสลาย
ถ้าท่านเดาอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องอย่างนั้นเท่านั้น
ดั่งที่ชื่ออัลบั้มบอกเป็นนัยไว้
มันเป็นเรื่องราวแห่งชีวิตและความเป็นตัวตนของเธอในช่วงนี้ ทั้งความผิดหวังในรัก, ความหวังในรักใหม่,
พฤติกรรมแย่ๆของตัวเธอเองแต่นำเสนออย่างสนุกๆ
และเพลงที่มองย้อนไปในวัยเยาว์คู่ขนานไปกับการมองชีวิตลูกสาวตัวน้อย.....แต่ก็หนักไปที่เพลงอกหักนั่นแหละ เธอมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงทุกเพลงใน 11
เพลงของอัลบั้มนี้ (โดยที่ 6 เพลงเป็นเพลงที่เธอแต่งคนเดียว)
โทนของเพลงใน Life Love Flesh Blood คือป๊อบร็อคที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีพื้นๆ
มีความเป็นบลูส์ในแบบที่ Etta James เคยคร่ำครวญเอาไว้ได้อย่างสุดยอด
มีท่วงทำนองหวานซึ้งในลีลาของ Roy Orbison ในยุค 60’s ความสนุกสนานของโมทาวน์โซล
และบางขณะ คุณอาจจะได้ยิน “กำแพงเสียง” ในแบบของ Phil Spector ต้องชมทีโบนที่คุมโทนของดนตรีทั้งหมดได้อยู่หมัด
ไม่ได้หนักไปทางใดทางหนึ่ง และคุณบอกได้ทันทีว่านี่มันต่างจากร็อคอะบิลลี่ และ
นิวเวฟที่เธอเคยทำไว้ทั้งหมด มันดูจริงจังขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ทำให้งานผ่านๆมาของเธอเหมือนเป็นแค่เพลงสนุกๆที่ฟังผ่านๆไปเท่านั้น
Life Love Flesh Blood มีสัดส่วนของเพลงบัลลาดโซลหวานเศร้ากับเพลงป๊อบร็อคสนุกๆในอัตราพอๆกัน
แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็ย่อมต้องเป็นเสียงร้องของเธอ
เมย์เป็นคนที่ร้องเพลงตรงไปตรงมา ชัดถ้อยชัดคำมีพลังในทุกท่วงทำนอง
และบทเธอจะกรีดร้องเมื่อถึงเวลาเธอก็ทำได้อย่างน่าสะพรึงกลัวไม่แพ้ใคร
ความหวานและกังวานในแก้วเสียงของเธอ ถ้าต้องรสนิยมของใคร รับรองว่าฟังได้ไม่มีเบื่อหน่าย
อย่างที่บอกว่าเธอเป็นคนมีมิตรสหายเยอะ
งานนี้ก็มีรุ่นใหญ่มาช่วยด้วยสองท่าน Jeff Beck ฝากฝีมือสไลด์กีต้าร์เวิ้งว้างไว้ใน
Black Tears และ Jools Holland เล่นเปียโนในเพลงกึ่งกอสเพล When It’s My
Time
ไม่ขอลงรายละเอียดในแต่ละเพลง แต่บอกได้เลยว่ามีมาตรฐานและคุณค่าในการฟังทุกแทร็ค
เนื้อเพลงไม่ยากนัก ใช้คำง่ายๆที่เข้าใจได้ถึงอารมณ์เพลงทันที
ถ้าจะมีข้อติติงบ้างก็คงเป็นความ “คาดเดาง่ายเกินไป” ของทำนองเพลงของเธอ
ที่แน่นอนว่าติดหูง่าย แต่บางทีมันก็ท้าทายคนฟังน้อยไปหน่อย
อัลบั้มชุดนี้บันทึกเสียงกันแค่ 7 วัน
โดยมีแขกรับเชิญอีกท่านที่คอยแนะนำและให้กำลังใจตลอด
แม้จะไม่ได้มาแต่งเพลงหรือร้องด้วย เขาคือเพื่อนบ้านชาวไอริช โบโน แห่งยูทู (ที่ตัวเองก็ไม่เคยมีงานเดี่ยวกับเขาเสียที)
ถ้าคุณเคยฟังเพลงของเธอมาก่อน หรือเป็นแฟนเก่าของเธอ
ผมคิดว่าคุณจะยังชอบอัลบั้มชุดนี้อยู่ แม้จะเปลี่ยนแนวทางไป
แต่ตัวตนของเมย์ก็ยังอยู่ในบทเพลงของเธออยู่ไม่ไปไหน
ส่วนใครถ้าคิดจะเริ่มต้นฟังไอเมลด้า เมย์ หรืออยากฟังป๊อบร็อคย้อนยุคซักเล็กน้อย
ดนตรีเล่นกันด้วยฝีมือเนื้อๆ หรืออยากฟังเพลงอกหักเปี่ยมอารมณ์ที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงและคลาสส์
คุณจะไม่ผิดหวังครับกับ Life Love Flesh Blood
Tracklist:
1
|
Call Me
|
3:28
|
2
|
Black Tears
|
4:04
|
3
|
Should’ve Been You
|
3:38
|
4
|
Sixth Sense
|
4:15
|
5
|
Human
|
3:40
|
6
|
How Bad Can a Good Girl Be
|
3:27
|
7
|
Bad Habit
|
4:42
|
8
|
Levitate
|
3:34
|
9
|
When It's My Time
Featuring – Jools Holland
|
5:17
|
10
|
Leave Me Lonely
|
4:01
|
11
|
The Girl I Used To Be
|
ใน deluxe edition จะมีเพลงแถมอีก 4 เพลง คือ The Longing,
Flesh and Blood, Game Changer และ Love And Fear. ที่ดีพอจะอยู่ใน standard edition ทุกเพลง
(แล้วจะตัดออกมาทำไม?)
No comments:
Post a Comment