Tuesday 11 November 2008
20 Greatest Albums Of 2008
20.Guns N’ Roses -Chinese Democracy
14 ปีที่รอคอย ถึงตอนที่ท่านผุ้อ่านอ่านอยู่อัลบั้มนี้คงออกมาแล้ว แต่ขณะที่เขียนอยู่นี้ผมเพิ่งได้ฟังแค่ไทเทิลแทร็คเพลงเดียว เมื่อนำไปผูกโยงกับเวอร์ชั่นเก่าๆที่เคยหลุดออกมาเป็นระยะทำให้ผมสรุปออกนอกหน้าและไร้เหตุผลรองรับว่ามันน่าจะเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปีนี้อีกแผ่น
19.Elvis Costello -Momofuku* คอสเทลโลค้นหาไฟในตัวเจออีกครั้ง ถ้าไม่นับเสียงร้องที่อาจจะไม่สดใสเหมือนวัยหนุ่ม นี่คือร็อคเรียบง่ายแต่เปี่ยมพลังเหมือนงานในยุคแรกของเขา โปรดพิสูจน์ฝีมือการเขียนเนื้อเพลงยังคงปราดเปรื่อง และฝีมือกีต้าร์ที่มักจะถูกมองข้าม
18.Sheryl Crow -Detours* สาวแกร่ง Sheryl กลับไปร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คนแรกที่ทำให้เธอโด่งดัง Bill Bottrell Detours เป็นอัลบั้มที่แฟนๆพร้อมจะอ้าแขนรับ มันเป็น classic Sheryl เสียงร้องหวานใส และดนครีโฟล์คร็อคที่ไม่เคยแห้งแล้งเมโลดี้ แม้เนื้อหาจะหนักอึ้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทางการเมือง, การเลิกร้างกับแฟนหนุ่ม แลนซ์ อาร์มสตรอง หรือสภาวะจิตใจของเธอขณะรอรับการฉายรังสีรักษามะเร็ง แต่ Crow ก็ยังทำเพลงออกมาได้น่าฟังเสมอ
17.Neil Diamond -Home Before Dark* การร่วมมือกันอีกครั้งของ Neil และ Rick Rubin ดนตรียังคงเป็นในแบบคล้ายที่ Rubin โปรดิวซ์ให้กับ Johnny Cash เน้นกีต้าร์โปร่ง ดนตรีน้อยชิ้น บทเพลงจริงจังตรงไปตรงมา แตกต่างไปจากยุครุ่งเรืองของ Neil พอสมควร
16.Madonna -Hard Candy* ราชินีป๊อบทำอัลบั้มนี้ในแบบ play safe ปิดประตูล้มเหลว ด้วยการจ้างโปรดิวเซอร์ที่ทำงานติดตลาดที่สุด อย่าง Timberland และ Pharrell Williams และแขกรับเชิญงานชุกอย่าง Justin Timberlake มาเป็นหน้าเป็นตาให้ Hard Candy อีกทั้งดนตรีก็เป็นป๊อบสูตรสำเร็จที่คาดเดาได้ กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นงานคุณภาพที่เหนือชั้น เพียงแต่คงไม่มีความจีรังในความทรงจำของแฟนเพลงได้เท่างานเยี่ยมๆของเธอในอดีตอย่าง Ray Of Light หรือ Like A Prayer
15.She & Him- Volume 1* Zooey Deschannel เป็นหนึ่งในดาราหนังไม่กี่คนที่เป็นนักร้องได้อย่างเต็มตัว แถมเธอยังแต่งเพลงเองเสียอีก ‘him’ คือ M.Ward มือกีต้าร์และโปรดิวเซอร์หนุ่มในทาง alternative country Volume One เต็มไปด้วยเพลงรักในแบบยุคคุณป้ายังสาว wall-of-sound แบบ Phil Spector และป๊อบสนุกแบบ Girl Group ที่โด่งดังในยุค 60’s
14.Kean -Perfect Symmetry* เลิกทำตัวเป็นทริโอเปียโนป๊อบไร้กีต้าร์ แต่หันไปเล่นซินธ์ป๊อบแบบ A-Ha และ Pet Shop Boys แถมใส่ดนตรีแน่นขนัด เสียงร้องของ Tom Chaplin ยังคงอิ่มเอิบเฉียบขาด และ Tim Rice-Oxley ก็ยังคงร่ายมนต์ผลิตเมโลดี้เร้าใจได้มากมายเหมือนเดิม
13.Mariah Carey -E=MC2 สมัยเธอดังขึ้นมาคู่กันมากับ Whitney Houston เราก็ติดตามอยู่ว่าใครจะคงกระพันกว่ากันระหว่างสองดีว่าดำ-ขาว แต่ในขณะที่ Whitney ติดยาหมดสภาพไปแล้ว เจ๊ม้าลายของเรายังอยู่ แม้ว่าจะเคยสติแตกหวิดฆ่าตัวตายไปเหมือนกันในยุคตกต่ำ แต่เธอก็กลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อในอัลบั้มที่แล้ว The Emancipation Of Mimi อัลบั้มนี้ยังเดินรอยตามเดิมเป็นป๊อบที่กลมกลืนไปกับฮิปฮอปที่เธอโปรดมานานแล้วพร้อมแขกรับเชิญกระจาย เสียงกระบังลมหวีดหวิวของเธอก็ยังตามมาหลอกหลอนเป็นระยะๆ นี่เป็นงานที่ฟังได้เพลินๆและจับตลาดอเมริกันได้อยู่หมัดเหลือเกิน
12.Rolling Stones -Shine A Light ซาวนด์แทร็คจากหนังคอนเสิร์ตอีกเรื่องของสโตนส์จากการแสดงที่ Bacon Theatre ในปี 2006 ด้วยความที่เป็นสถานที่เล็กและต่อหน้าการกำกับของ Martin Scorsese ทำให้การแสดงของพวกเขาเข้มข้นและโฟกัสเป็นพิเศษ ผมได้ชมหนังเรื่องนี้ในการฉาย “กลางแปลง” ที่ Siam Paragon ในวันที่ 1 พ.ย. แม้สุ้มเสียงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ต้องบอกว่าสนุกมากๆ มันจะเป็นอัลบั้มที่จะทำให้คุณกลับมาหลงรักร็อคแอนด์โรลอีกครั้ง
11.The Last Shadow Puppets -The Age Of Understatement โปรเจ็คเล่นๆของ Alex Turner แห่ง british punk pop ชื่อดัง Arctic Monkeys และ Miles Kane จาก The Rascals แต่ฟังแล้วโปรดักชั่นหรูหราไม่ใช่งานแก้เหงาธรรมดาๆเลย นอกจากน้ำเสียงของ Alex แล้วงานนี้แทบไม่มีอะไรเหมือน the Monkeys อิทธิพลสำคัญคือ symphonic pop ของ Scott Walker และ David Bowie ในยุคก่อนมี Alex Turner คือนักดนตรี-นักแต่งเพลงที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน เชื่อว่าอัลบั้มที่สามของ Arctic Monkeys ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
10.Slipknot -All Hope Is Gone* เมทัลหน้ากาก9หน่อจากไอโอวาหาจุดลงตัวของตลาดและความรุนแรงหนักหน่วงของดนตรีของพวกเขาพบในอัลบั้มที่ 4 ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำเพลงในระดับการทำลายล้างขนาดนี้ให้มีท่วงทำนองติดหูได้ด้วย
9. Randy Newman- Harps And Angles * ปลีกเวลาจากงานซาวนด์แทร็คมาทำงานเดี่ยวอีกครั้ง ไม่มีคำว่าฟอร์มตกสำหรับแรนดี้ นิวแมน เขายังทำดนตรีป๊อบที่มีสุ้มเสียงแบบนิวออร์ลีนส์บ้านเกิดได้น่าฟัง หลายเพลงโชว์ฝีมือการเขียนภาคออเคสตร้าราวกับเป็นซาวนด์แทร็คในบทเพลง
8.Ryan Adams and the Cardinals -Cardinology หลังจากเคยออกถึงสามอัลบั้มในปีเดียว ไรอันทิ้งช่วงห่างจาก Easy Tiger งานเดี่ยวของเขาไปถึง 1 ปี รายงานข่าวว่าเขาเอาชนะปัญหาเหล้ายาได้เด็ดขาด และ Cardinology ก็เป็นหนึ่งในงานยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยทำมา ไรอันคือส่วนผสมของแกรม พาร์สันส์ และนีล ยังก์ในวัยหนุ่ม และ Cardinology ก็ยังยืนยันในส่วนผสมนั้น มันคือ classic rock ในแบบที่คนหนุ่มยุคนี้หาใครมือถึงทำได้อย่างนี้แทบไม่มีอีกแล้ว
7.The Ting Tings -We Started Nothing ดูโอจากแมนเชสเตอร์คู่นี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นวงติงต๊องตลกๆธรรมดา Katie White นักร้องและกีต้าร์ผมบลอนด์น่ารักน่าชังและมือกลอง Jules De Martino กลับทำเพลงออกมาได้อย่างน่าเกรงขาม? ลองฟัง That’s Not My Name ซิงเกิ้ลดัง หนึ่งในเพลงป๊อบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งปีจากเพลงป๊อบพังค์ที่เหมือนจะเอาสนุกเข้าว่าแบบ Mickey ของ Toni Basilแต่ตอนจบกลับโชว์การ counterpoint กันถึง 4 elements! ดนตรีของพวกเขานั้นคงจะ started nothing เหมือนกับที่ออกตัวไว้ แต่สิ่งที่เขาและเธอสานต่อนั้นก็เหลือเฟือแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงจะเป็น New Blondie มากกว่า New Knack ที่จอดแค่ป้ายแรก
6.B.B. King -One Kind Favor* ราชันย์แห่งบลูส์มาในสุ้มเสียงที่สดดิบที่สุดในรอบหลายปี จากการโปรดิวซ์ของ T-Bone Burnett วัย 83 ไม่เป็นปัญหาใดๆแก่คิงทั้งเสียงร้องและการเล่นกีต้าร์ Lucille ยังกรีดเสียงหวานเศร้าได้เหมือนหลายสิบปีที่ผ่านมา ปู่คิงล้อเล่นกับมรณะกาลของตนเองอย่างไม่ยี่หระใน See That My Grave Is Kept Clean และร่ายมนต์บลูส์ปลิดน้ำตาแฟนๆปิดท้ายด้วย Tomorrow Night นี่คืออัลบั้มที่จะเป็นตำนานบลูส์ในอนาคต
5.AC/DC -Black Ice หายไปหลายปี กลับมาครั้งนี้พวกเขาจับซาวนด์ในแบบ Back In Black ที่ทำให้วงเมทัลออสเตรเลียนนี้กลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีขายดีที่สุดตลอดกาลได้อีกครั้ง ทุกอย่างยังเป็นสูตรเดิมๆ ฮาร์ดร็อคจังหวะกลางๆที่ขายริฟฟ์มันส์ๆ เสียงร้องกรีดเค้น (แต่ในอัลบั้มนี้ Brian Johnson ในวัยนี้กรีดร้องน้อยลงแต่ใส่ความ soulful ที่ไม่ค่อยเคยได้ยินลงไปในเนื้อเสียงของเขาได้อย่างน่าฟัง) และเนื้อหาที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า ปัจจัย4ของร็อคแอนด์โรลล์ แต่คุณคิดว่าสูตรนี้ทำกันได้ง่ายๆหรือ และมีใครทำได้อย่างพวกเขาบ้างล่ะ?
4.Fleet Foxes -Fleet Foxes งานเปิดตัวของหนุ่มฮิปปี้หลงสมัย5คนจากซีแอตเติล มันเป็นอัลบั้มที่ฟังแล้วเหมือนบันทีกเสียงกันในหุบผาซอกหินหรือเทือกเขาลำเนาไพรอันซ่อนเร้นสักแห่งในอเมริกาแทนที่จะเป็นห้องบันทึกเสียงสมัยใหม่ พวกเขาเรียกดนตรีโฟล์คร็อคที่เน้นเสียงประสานโหยหวนของพวกเขาว่า “baroque harmonic pop jams” อาจจะเป็นงานที่ไม่ขายนัก แต่เรื่องคำวิจารณ์รับดาวไปหลายตะกร้าจากทุกสำนัก
3.Duffy -Rockferry สาวเวลช์ร่างเล็กที่โด่งดังมาก่อนจะออกอัลบั้ม และเสียงเธอก็สมคำร่ำลือจริงๆ การร้องของเธอคล้ายนักร้องรุ่นใหญ่หลายคนแต่ที่โดดเด่นออกมาคือสไตล์ของ Dusty Springfield และโทนเสียงจัดจ้านแบบ Cyndi Lauper Bernard Butler อดีตมือกีต้าร์ Suede โปรดิวซ์อัลบั้มนี้ออกมาในแนวดนตรีป๊อบโซลยุค 60’s ในแบบที่เขาถนัด โดยส่วนตัวผมคิดว่าเธอมีเสียงร้องที่น่าทึ่งที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา อย่าแปลกใจว่าทำไมเธอถึงได้มาในอัลบั้มแรกอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เพราะเบื้องหลังการทำงานใน Rockferry นั้นใช้เวลาย้อนกลับไปถึง 4 ปี จึงไม่ถูกนักถ้าจะเรียกเธอว่าเป็น New Amy Winehouse
2.Coldplay -Viva La Vida or Death and All His Friends Brian Eno ก้าวเข้ามารับบทโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้ แต่น่าจะเรียกเขาว่าเป็นผู้อำนวยการสร้างน่าจะเหมาะกว่า ไม่มีอีกแล้วสำหรับเพลงอ้อนสาวอย่าง Fix You หรือ In My Place, Viva La Vida เต็มไปด้วยซาวนด์ที่ถักทอสอดประสานหลายซับทับซ้อน มันอาจจะไม่มีเพลงติดหูง่ายๆเหมือนสามอัลบั้มแรก แต่ในภาพรวมของอัลบั้มนี่คือการผจญภัยครั้งใหม่ที่พวกเขาไปใกล้ขอบฟ้ามากขึ้นทุกที เสียงร้องของ Martin ยังทรงเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ของวงเหมือนเดิม
1.Nick Cave and The Bad Seeds -Dig!!! Lazarus Dig!!!* เจ้าพ่อ Gothic Rock วัยครึ่งศตวรรษ เครื่องติดตั้งแต่โปรเจ็กก่อนที่เขาทำกับวง Bad Seeds ชุดเล็กในชื่อ Grinderman, Dig!!! Lazarus Dig!!! ยังคงเต็มไปด้วยเพลงที่ว่าด้วยเรื่องต้องห้ามของเซ็กซ์ ศาสนา และความหายนะ ที่หาใครในโลกเขียนได้อย่างเข้มข้น(และบางทีก็ขำขัน)ได้เท่า Nick Cave ยาก ดนตรีขับเคลื่อนด้วยเบสอ้วนลึกและคีย์บอร์ดไหลลื่นในแบบ The Doors สมทบด้วยกีต้าร์ดิบร้อนฉ่า นี่คือร็อคที่ไร้กาลเวลาโดยสิ้นเชิง
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment