Saturday, 21 February 2009

Classic Motown




Classic Motown 1959-1971










________________________________________






โมทาวน์เป็นหนึ่งในไม่กี่สังกัดที่มีสุ้มเสียงของตัวเองจนกระทั่งกลายเป็นสไตล์ส่วนตัว
เพลงโมทาวน์ยุคแรกจะเน้นทำเพลงฮิตเป็นหลัก เนื้อหาแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องรักใคร่
ไม่ข้องแวะการเมืองหรือปรัชญา
ท่วงทำนองยืนพื้นบนริธึ่มแอนด์บลูส์แต่มีเมโลดี้ที่ติดหูไม่รู้ลืม
เสียงเบสหนักแน่นเน้นจังหวะชัดเจน กลองใส่เอ็คโค่เน้นเสียงแตกๆหน่อย
การเรียบเรียงดนตรีของโมทาวน์จะหรูหราและซับซ้อนกว่าดนตรีป๊อบทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสาย เครื่องเคาะ เครื่องเป่า เปียโน
จะถูกประเคนเข้ามาอยู่ในการบันทึกเสียง แล้วแต่ว่าอะไรจะเหมาะสมกับบทเพลง
แต่ส่วนสำคัญที่สุดของโมทาวน์ซาวนด์น่าจะเป็น The Funk Brothers
วงแบ็คอัพที่เล่นบันทึกเสียงในเพลงดังยุคแรกของสังกัดแทบทุกเพลง
________________________________________




Berry Gordy, Jr. เกิดเมื่อ 28 พ.ย. 1929 เขาคือบิดาแห่งโมทาวน์ตัวจริงแต่เพียงผู้เดียว เขาเริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเปิดร้านแผ่นเสียงแจ๊ส ก่อนจะลองมาแต่งเพลงเอง ‘Lonely Teardrops’ เพลงเก่งของ แจ็คกี้ วิลสัน เป็นฝีมือการแต่งเพลงแรกๆของกอร์ดี้ จากนั้นเขาหันมาเป็นโปรดิวเซอร์เองบ้างในปี 1957 ช่วงนี้เองที่ความเป็นคนตาถึงของกอร์ดี้เริ่มฉายแวว เขาค้นพบวง The Miracles ที่งานประชันดนตรีในดีทรอยท์ หนึ่งในสมาชิกของวงนี้คือ สโมคกี้ โรบินสัน ปีถัดมาเขาก็ได้นักแต่งเพลงฝีมือดีอีกสองคนคือ ไบรอัน และ เอ็ดดี้ ฮอลแลนด์มาร่วมทีม จากนักแต่งเพลงมาเป็นโปรดิวเซอร์ ก้าวต่อไปของกอร์ดี้ คือเปิดค่ายแผ่นเสียงมันเสียเองเลย 12 มกราคม 1959 กอร์ดี้ยืมเงินป๊ามา 800 ดอลล่าร์เพื่อเปิดค่ายแผ่นเสียงแรกของเขา ‘Tamla’ และไม่นานกอร์ดี้ก็เปิดค่ายที่สองตามมา มันมีชื่อว่า ‘Motown’ ________________________________________




แผ่นเสียงแรกของโมทาวน์คือ ‘Bad Girl’ โดย The Miracles ที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด ต้นปี 1960 ‘Money’ ของ Barrett Strong เป็นเพลงฮิตเพลงแรกของ Tamla ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 23 (Beatles นำมา cover ในสามปีต่อมา) และสตรองก็กลายมาเป็นหนึ่งในทีมทำเพลงให้โมทาวน์ตั้งแต่นั้นมา ด้วยความที่โมทาวน์เป็นสังกัดแผ่นเสียงอิสระแห่งเดียวในดีทรอยท์ กอร์ดี้จึงไม่ต้องทำอะไรมาก ศิลปินท้องถิ่นล้วนแล้วแต่ยินดีเดินเข้ามาหาโมทาวน์เอง เริ่มตั้งแต่ The Primettes ในปี 1960 ที่ต่อมาสาวๆสามคนนี้จะกลายมาเป็น The Supremes ที่แสนโด่งดัง


________________________________________




แมรี่ เวลส์ คือดาราคนแรกของโมทาวน์ โรเบิร์ต เบตแมน หนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์เป็นผู้ค้นพบเธอในปี1960 เบตแมนยังเป็นผู้ “เจอ” วง The Temptations ในปีต่อมา มาร์วิน เกย์ก็เข้าสู่โมทาวน์ในปี1960เช่นกัน เขาเริ่มด้วยการบันทึกเสียงแนวแจ๊สในปี 1961 แต่มาฮิตเมื่อร้องเพลงโจ๊ะๆอย่าง ‘Stubborn Kind Of Fellow’ ในปี 1962 เกย์ในยุค 60’s เป็นนักร้องคนโปรดของนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ ด้วยคุณภาพเสียงระดับสามออกเท็พและอัจฉริยะในการถ่ายทอดบทเพลงอันเหนือชั้น กว่าเกย์จะแสดงความเป็นตัวของเขาเองออกมาก็ต้องรอถึงทศวรรษหน้า




________________________________________




สิงหาคม 1961 วันที่ทุกคนในโมทาวน์รอคอย เพลงอันดับ 1 เพลงแรก ‘Please Mister Postman’ โดย The Marvelettes ที่บ้านเราอาจจะคุ้นกับเวอร์ชั่นของ Carpenters หรือ Beatles มากกว่า ต้นปี 1963 Lamont Dozier เข้าร่วมทีมกับสองพี่น้องฮอลแลนด์ กลายเป็นทีมแต่งเพลงและโปรดิวซ์ Holland-Dozier-Holland อันยิ่งใหญ่ (ชื่อเสียงของพวกเขาอาจเป็นรองแค่ Phil Spector และ George Martin เท่านั้น) และการบันทึกเสียงเพลง ‘Come And Get These Memories’ ของ Martha and the Vandellas ถือว่าเป็นเพลงแรกของตำนาน ‘Motown Sound’




________________________________________




Longplay อันดับ 1 แผ่นแรกของโมทาวน์ตามมาในอีกสองปีต่อมา มันเป็นผลงานของเด็กนัยน์ตาพิการวัย 12 ขวบ Stevland Morris หรือในชื่อที่กอร์ดี้ตั้งให้ใหม่ว่า Stevie Wonder (อัลบั้ม ’12 Year Old Genius’) สี่ผู้ยิ่งใหญ่ในนาม The Four Tops ก้าวเข้าสู่โมทาวน์ในปี 1964 เดิมทีกอร์ดี้อยากให้พวกเขาอยู่ในสังกัดเล็กที่เป็นแนวแจ๊สของเขา แต่เมื่อ ‘Baby I Need Your Loving’ จากการผลิตของทีม H-D-H เริ่มเป็นเพลงดังเพลงแรกของพวกเขา ความคิดดังกล่าวก็มลายหายไป


________________________________________




โมทาวน์มีลักษณะคล้ายยุคหนึ่งของค่ายเพลงดังบ้านเราในหลายๆประเด็น เน้นทำเพลงฮิต ศิลปินมีหน้าที่ร้องอย่างเดียว มีทีมแต่งเพลง และทีมโปรดิวเซอร์ให้ มีซาวนด์เฉพาะของค่าย และเพลงใดที่สามารถวนให้ศิลปินอื่นในค่ายร้องได้ พวกเขาก็จะไม่ลังเลที่จะทำ....ในยุคซิกซ์ตี้ส์ สโมคกี้ โรบินสัน เป็นคนเดียวที่กอร์ดี้อนุญาตให้โปรดิวซ์งานตัวเองได้ โดยทั่วไปกอร์ดี้จะเลือกโปรดิวเซอร์ให้เหมาะแก่แต่ละศิลปิน สโมคกี้โปรดิวซ์แมรี่ เวลส์, Temptations, Miracles / H-D-H ทำให้ Four Tops และ Supremes/ Mickey Stevenson จัดการให้มาร์วิน เกย์ ส่วน สตีวี่ วอนเดอร์ ก็ให้ Clarence Paul ดูแล บางครั้งกอร์ดี้คันมือขึ้นมาก็อาจโดดลงมาโปรดิวซ์เองเป็นครั้งคราว




________________________________________




ขอพูดถึงวงแบ็คอัพ The Funk Brothers อีกหน่อย พวกเขาออกจะน่าสงสารที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อเสียงกันนัก จะมีก็แค่มือเบสผู้ยิ่งใหญ่ James Jamerson เท่านั้น มือกลองคือ Benny Benjamin กีต้าร์ Robert White และคีย์บอร์ด Earl Van Dyke กอร์ดี้ต้องเสียเงินจ้างพวกเขาในแต่ละปีจำนวนไม่น้อยเพื่อคงความเป็นซาวนด์ของโมทาวน์นี้เอาไว้


________________________________________




The Supremes เป็นวงที่กอร์ดี้เชื่อมือว่าจะต้องดังแน่ แม้ว่าหกเพลงแรกของพวกเธอจะแป้ก แต่เมื่อได้ทีม H-D-H ส่งเพลง ‘Where Did Our Love Go’ มาให้ในปี 1964 พวกเธอก็นำมันไปสู่อันดับ1และเหมือนผีเข้า พวกเธอทะยานขึ้นสู่อันดับ1เพลงแล้วเพลงเล่าติดต่อกัน และกลายเป็นศิลปินกลุ่มสาวที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ในปี 1964 นี้ แมรี่ เวลส์ก็ยังนำเพลงเอกของเธอ ‘My Guy’ จากการแต่งของสโมคกี้ขึ้นอันดับ1อีกด้วย ก่อนที่สโมคกี้จะแต่ง ‘My Girl’ ให้ Temptations ร้องในปีต่อมา และก็ขึ้นอันดับ1อีกเช่นกัน (ขอบคุณที่ไม่มี My Gay) ส่วน The Four Tops ก็ส่ง ‘I Can’t Help Myself’ ขึ้นเป็นจ่าฝูงกะเค้าด้วย 1966 โมทาวน์ได้นักร้องเสียงเลิศ Gladys Knight และวง The Pips ของเธอจากแอตแลนต้าเข้าสู่สังกัด เพลง ‘I Heard it Through The Grapevine’ ของเธอและวงขึ้นได้อันดับ 2 (เพลงนี้มาร์วิน เกย์ เคยอัดเสียงไว้ก่อน แต่กอร์ดี้ไม่ยอมให้ออกเป็นซิงเกิ้ล จนกระทั่งปี 1968 และเวอร์ชั่นของเกย์ได้รับการยอมรับว่าเป็นคำตอบสุดท้ายของเพลงคลาสสิกเพลงนี้)


________________________________________




โปรดิวเซอร์อีกคนในตำนานโมทาวน์ Norman Whitfield เริ่มมาจับงานโปรดิวซ์ให้ Temptations แทนสโมคกี้ในปีเดียวกันนี้ เขาสร้างงานฮิตให้ Temps มากมายเช่น ‘Beauty is Only Skin Deep’, ‘(I Know) I’m Losing You และในช่วงปลายซิกซ์ตี้ส์ เขาและบาร์เร็ต สตรองยังร่วมมือกันพา Temps เข้าสู่ดนตรีแนวใหม่ ‘Psychedelic Soul’ อีกด้วย




________________________________________




1968 กอร์ดี้ย้ายบ้านจากดีทรอยท์มาแอลเอ ทำให้สาขาของโมทาวน์ในแอลเอเติบใหญ่ขึ้นในขณะที่ดีทรอยท์ก็หงอยไปถนัด เรื่องใหญ่อีกเรื่องในปีนี้คือการลาออกไปของทีม H-D-H (พวกเขาทั้งสามยังทำงานกันต่อแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับที่โมทาวน์อีกเลย) ส่วนทางโมทาวน์แม้จะเป๋ไปบ้าง แต่ไม่ออกอาการนัก 1969 พวกเขาก็ได้สตาร์ดวงใหม่ พี่น้องตระกูลแจ็คสัน ในนาม The Jacksons 5 ในปีนี้โมทาวน์ก็ยังมีเพลงอันดับหนึ่งได้อีกสามเพลง ‘Someday We’ll Be Together’ เพลงสุดท้ายของไดอาน่า รอสกับเดอะ สุพรีมส์ ‘I Can’t Get Next To You’ ของ The Temps และ ‘I Want You Back’ The Jacksons 5 ซึ่งพี่น้องแจ็คสันก็ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมในปีต่อมาด้วย ABC และ The Love You Save ที่อันดับ 1 อีกครั้ง ไดอาน่า รอสส์ เปิดคอนเสิร์ตอำลาวงในปี 1970 นี้ เดอะ สุพรีมส์ได้สมาชิกใหม่มาแทนแต่ไม่เคยมีเพลงอันดับ1อีกเลย




________________________________________




1971 มาร์วิน เกย์ และอัลบั้ม What’s Going On เป็นอีกครั้งที่กอร์ดี้สั่งแบนงานของเกย์ เพราะมันฉีกขนบของโมทาวน์หลายประการ แต่เกย์ก็แก้เผ็ดด้วยการไม่ยอมบันทึกเสียงเพลงอะไรอีกถ้ามันไม่ได้ออกขาย สุดท้ายกอร์ดี้ก็จำนน มันขายได้มากกว่าล้านแผ่น มีสามเพลงฮิตคือ Mercy Mercy Me, What’s Going On และ Inner City Blues มันกลายเป็นสุดยอดอัลบั้มโซลตลอดกาลในความเห็นของแฟนเพลงและนักวิจารณ์ทั่วโลก และทำให้โมทาวน์เริ่มสนใจที่จะขายอัลบั้มมากกว่าสมัยก่อนที่เน้นแต่ซิงเกิ้ล




________________________________________




แต่นั่นก็เหมือนอวสานของ Motown Classic Sound กอร์ดี้ปิดสำนักงานที่ดีทรอยท์ลงในปี 1972 ประหนึ่งเป็นสัญญาณสุดท้ายของยุคสมัย โมทาวน์ยังผลิตเพลงฮิตต่อไปในเวลาที่เหลือของยุค70’s เกย์และสตีวี่ วอนเดอร์ ครองความยิ่งใหญ่ด้วยดนตรีที่เขาควบคุมเองและเป็นตัวของตัวเอง มันอาจจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าโมทาวน์ในยุคแรกเสียอีก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้คนพูดถึง “เพลงแบบโมทาวน์” หรือ “โมทาวน์โซล” คำตอบในใจก็ยังคงต้องเป็น..........ท่วงทำนองยืนพื้นบนริธึ่มแอนด์บลูส์แต่มีเมโลดี้ที่ติดหูไม่รู้ลืม เสียงเบสหนักแน่นเน้นจังหวะชัดเจน กลองใส่เอ็คโค่เน้นเสียงแตกๆหน่อย.....

1 comment:

winston said...

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน HOOK magazine หนังสือดนตรีที่เจ๊งไปก่อนที่หลายคนจะรู้จัก (ลูกหลาน soundmag และ Crossroads)