Travis: The Man Who (1999)
Writing To Reach You
The Fear
As You Are
Driftwood
The Last Laugh Of The Laughter
Turn
Why Does It Always Rain On Me?
Luv
She's So Strange
Slide Show
The Man Who ช่วยปิดท้ายการฟังเพลงของศควรรษที่20ของผมได้อย่างสมบูรณ์ ผมซื้อมันมาโดยไม่เคยฟังมาก่อน น่าจะเป็นนิตยสาร Q ของอังกฤษที่เชียร์มันสุดๆ อัลบั้มที่สองต่อจาก Good Feeling ซึ่งผมไปหามาฟังทีหลังและมันแตกต่างกันราวกับคนละวง การเข้ามาในฐานะโปรดิวเซอร์ของไนเจล กอดริชเป็นส่วนสำคัญ บางคนว่านี่คือ Ok Computer Ladies & Kids' edition (ไนเจลเพิ่งสร้างชื่อจากการโปรดิวซ์อัลบั้มมหากาพย์นั้นให้ Radiohead มาเมื่อสองปีก่อนหน้านั้น)โทนรวมของอัลบั้มนี้เยือกเย็นเศร้าหวานเหมือนกับภาพปกและภาพด้านใน เสียงร้องของฟราน ฮีลลีย์และบทเพลงของเขาแทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของอัลบั้ม ไม่มีเพลงร็อคเขย่าสเตเดี้ยมเหมือนในอัลบั้มแรกสักเพลงเดียว แต่แม้จะเป็นเพลงในแนว Bittersweet เหมือนกันหมด รายละเอียดของมันในแต่ละแทร็คก็ต่างกันออกไป ฟรานเขียนเมโลดี้ได้สุดยอด (ในสองอัลบั้มต่อมาของ Travis เขาเขียนเพลงในระดับนี้ได้ไม่กี่เพลงเท่านั้น)
Writing To Reach You เปิดประเด็นความเศร้าเหงา จดหมายที่ไม่มีวันส่ง แต่ยังไงก็อยากจะเขียน "Cause I'm writing to reach you, but I might never reach you..." ฟรานใช้ถ้อยคำธรรมดาๆในการบรรยายความปั่นป่วนในอารมณ์ได้เป็นอย่างดี "Becaue my inside is outside, my left side's on the right side...."The Fear เสียงกลองเชื่อมต่อแทร็ค และเนื้อหาก็ดูจะเป็นเรื่องเดียวกับ Writing... ฟรานดูจะสนุกกับการหาคำมาสัมผัสกับคำว่า Fear ตลอดเพลง fear...here.... year.... clear... the tear is here...
As You Are อารมณ์เศร้าแบบหงอยๆพัฒนามาเป็นเศร้าแบบก้าวร้าว ฟรานตะโกนร้องท่อนคอรัสด้วยอารมณ์เหมือนคนที่ถึงที่สุดแล้ว แต่วินาทีต่อมาดนตรีก็ดึงเขาลงมาอ้อยสร้อยเหมือนเดิม... พอจะสรุปได้ว่า"เธอ"ในเพลงนี้ช่างเป็นคนที่ร้ายกาจเหลือแสนแต่"ฉัน"ก็ไม่มีทางเลือก ก็มันรักนี่ แม้ว่ามันจะไม่สนุกเท่าไหร่กับการอยู่กับคนแบบนี้Driftwood เพลงที่ upbeat ที่สุดในอัลบั้ม ถ้าเป็นผมจะตัดเป็นซิงเกิ้ลแรกเลย (ไม่รู้จริงๆพวกเขาตัดมันหรือเปล่า?) 'Im sorry that you turned to driftwood. But you've been drfiting for a long, long time...' Driftwood ในที่นี้ฟรานเปรียบเทียบเหมือนคนที่ใช้ชีวิตล่องลอยไปตามกระแสน้ำแล้วแต่จะพาไป เหมือนท่อนไม้ที่ไร้การบังคับ และสุดท้ายก็ต้องถูกกระแทกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่คนแบบนี้จะไปแนะนำอะไรเขาได้ ก็เขาล่องลอยอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
Why Does It Always Rain On Me? เป็นหนึ่งในเพลงที่เยี่ยมที่สุดในอัลบั้ม เนื้อเพลงเอาใจ loser เต็มที่ เป็นการพยายามหาเหตุผลที่ไม่น่าเป็นไปได้ในความเป็นผู้แพ้ของตน (สายฝนเป็นตัวแทนของความปวดร้าว)สามแทร็คใน The Man Who ที่ไนเจลไม่ได้โปรดิวซ์คือเพลงนี้, Turn และ She's So Strange ซึ่งฟังดูแล้วจะไม่มีซาวนด์แบบกรุ๊งกริ้งที่ไนเจลชอบใส่ (ได้ยินชัดใน The Last Laugh Of The Laughter) แต่ซาวนด์ก็ไม่หนีกันมาก เพราะเขาก็เป็นคนมิกซ์ทั้งสามเพลงนี้อยู่ดี อ้อ สามเพลงนี้คนโปรดิวซ์คือ Mike HedgesLuv เป็นเพลงที่ทำให้หนึ่งในพี่น้องกัลลาเกอร์ (จำไม่ได้ว่าคนไหน) น้ำตาพรากมาแล้ว เมื่อฟรานเล่นและร้องสดๆให้เขาฟัง เนื้อหาว่ากันตรงๆ ฮาร์โมนิกากระชากใจเหลือเกิน เป็นเพลงปลอบใจคนร้องทีเอาไว้ร้องเวลาจะเห็นเธอจาก แต่หากกระนั้น มันกลับทำให้เขาสำนึกว่าเขายังคงรักเธออยู่มากมายแค่ไหน....
Turn... ร็อคช้าๆที่เหมาะสำหรับ Live ที่สุดในอัลบั้ม (ตัดเป็นซิงเกิ้ล) เนื้อหา-- เรามักจะอยากทำอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ได้ทำสักที บางทีสิ่งที่เราต้องทำก็แค่การขยับหักมุมสักครั้งเดียว Turn..Turn..Turn...เนื้อเวิร์สสองนี่งามจริงๆ ยกมาให้ดู
So where's the stars?
Up in the sky
And what's the moon
A big balloon
We'll never know
Unless we grow
There's so much world
Outside the door....
Slide Show เป็นเพลงปิดอัลบั้มหมองๆนี้ได้สมบูรณ์แบบ และถ้าคุณอารมณ์ค้าง นั่งนิ่งไม่ยอมเดินไปปิดซีดี อีกพักใหญ่ๆต่อมา (ซักหกนาทีกว่ามั้ง) คุณจะได้ยินเสียงเพลงร็อคค่อนข้างอึกทึกค่อยๆดังขึ้นมา นั่นละครับ hidden track 'Blue Flashing Light' ยุคนั้น hidden track ไม่ใช่ของเกร่อแบบทุกวันนี้ และสำหรับผมกว่าจะเจอมันก็เล่นไปหลายรอบเหมือนกัน Blue... เป็นเพลงที่ต่างออกไปจากทุกเพลงใน The Man Who มันคล้ายๆบางเพลงใน Ok Computer ผสมกีต้าร์รกรุงรังแต่น่าฟังแบบ Oasis ในสองชุดแรก สำหรับผม hidden track ก็เหมือน Encore ในลีลาหนึ่ง...วันนี้ฟัง 'As You Are' อีกรอบ ทำให้คิดว่าการที่ผมพ่นไปว่านี่เป็นเพลงรัก อาจจะเป็นการตีกรอบที่ตื้นเขิน(โง่)ไปหน่อย You ในที่นี้อาจหมายถึง (และน่าจะเป็นไปได้มากกว่า) พ่อแม่หรือนักการเมืองผู้บริหารบ้านเมือง หรือใครก็ตามที่คุมเขาอยู่....
ปีสุดท้ายของแต่ละทศวรรษ ผมมักจะได้อัลบั้มสุดโปรดสุดรักมาเสมอ ผ่านมาห้าสิบปีแล้วก็ยังไม่พลาด นี่กำลังรออีก4ปีข้างหน้าอย่างใจจดจ่อ1959 Miles Davis Kind Of BLue1969 The Beatles Abbey Road1979 Pink Floyd The Wall1989 The Stone Roses1999 Travis The Man Who2009 ??? Chinese Democracy ????
No comments:
Post a Comment