"Eagles:The Long Run"
-----------------
-----------------
(เขียนไว้เมื่อปี 2552)
วง Eagles เป็นวงโปรดระดับท็อป 5 ของผม แต่ The Long Run นั้นรั้งอัลบั้มแย่ที่สุดของพวกเขาในความเห็นผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมมักจะนำมันไปเปรียบเทียบกับ Let It Be ของ Beatles ทีมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายคลึงกัน
แต่มาเมื่อปีสองปีมานี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมกลับชื่นชมอัลบั้มนี้มากขึ้นอย่างน่าประหลาด อัลบั้มนี้ออกมาตั้งแต่ปี 1979 ใช้เวลาทำ 18 เดือน ทิ้งช่วงห่างจาก Hotel California ร่วมสามปี เป็นอัลบั้มชุดที่ 6 ของวง และก็เป็นชุดสุดท้ายก่อนที่จะเลิกรากันไป (พวกเขากลับมาคืนดีกันในทศวรรษที่ 90's)
ความกดดันอย่างถึงที่สุดเกิดขึ้นกับสมาชิกในวง Eagles ที่ต้องทำงานต่อจาก Hotel California งานที่เป็น masterpiece ของพวกเขาที่ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง มันเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงระดับมหากาพย์ห้าดาว เป็น concept album ที่น่าสนใจ และฝีมือทางดนตรีของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างผิดหูผิดตาหลังจากได้ Joe Walsh มาช่วยทึ้งสายกีต้าร์อีกคน แรนด๊้ ไมส์เนอร์ มือเบสเจ้าของเสียงร้อง Take It To The Limit ลาออกไปหลังจากมีเรื่องทะเลาะกับเกลน ฟราย พวกเขาได้ ทิโมธี่ บี ชมิดธ์ มือเบสจาก Poco มาแทน
The Long Run แม้จะไม่ได้รับการตอบรับเท่า Hotel California ทั้งในด้านเสียงวิจารณ์และยอดขาย แต่ตัวอัลบั้มก็ยังขึ้นไปถึงอันดับ 1 เช่นเดียวกับซิงเกิ้ลที่สาม 'Heartache Tonight' ที่ฝ่าฟันขึ้นไปถึงยอด Top singles จนได้เหมือนกัน ขณะที่สองซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้ 'The Long Run' และ' I Can't Tell You Why' ทำได้แค่อันดับที่ 7 และ 8 ตามลำดับ
The Long Run ฉีกแนวไปจาก Hotel California ซึ่งเป็นงานร็อคที่เน้นความเพอร์เฟ็คและความสวยงามของทุกตัวโน้ต แต่ The Long Run ร็อคกว่า ดิบกว่า ถ้าเทียบกันเพลงต่อเพลง The Long Run ก็คงจะแพ้ไม่เป็นท่า แต่โดยตัวมันเองก็มีคุณค่าอยู่ในตัว แผ่นเสียงชุดนี้มี 10 เพลง หน้าละห้าเพลง เปิดตัวอย่างคึกคักด้วยเสียงของดอน เฮนลีย์ในเพลง 'The Long Run' ที่เนื้อหาตีความไปได้หลายเรื่อง แต่ก็เป็นไปในทางให้กำลังใจเชิงบวก เสียงสไลด์จากโจ วอลช์โดดเด่น 'I Can't Tell You Why' ทิมได้โชว์เสียงครั้งแรก เป็นเพลงที่พยายามทำเป็นบัลลาดโซลแบบอัล กรีน (ไม่เหมือนแต่ก็เพราะดี) เพลงนี้ดังมากในบ้านเรายุคนั้น เกลนเล่นโซโลในเพลงนี้ นานๆเขาจะโชว์เสียที เพลงที่สามเป็นคิวของ Joe Walsh 'In The City' ก็กระตุกๆในแบบของเขา แน่นอนกีต้าร์อย่างเฉียบฝีมือโจเอง'The Disco Strangler' ดอนกลับมาร้อง เพลงนี้เล่นกับเสียงกลองสนุก ปิดท้ายหน้าแรกด้วย 'King Of Hollywood' ที่เล่าเรื่องราวเน่าๆของสังคมเซเล็บ ดอนสลับกันร้องกับเกลน และกีต้าร์โซโลสามรอบโดยสามสมาชิก เริ่่มจาก เกลน เฟลเดอร์ และปิดด้วยโจ เพลงนี้ยาวหน่อย 6 นาทีกว่าๆ
'Heartache Tonight' เริ่มหน้าสองด้วยจังหวะชวนปรบมือกระทืบเท้าและทำนองที่พร้อมจะฮิต เกลนตะเบ็งเพลงนี้ได้สะใจโดยมีโจไล่สไลด์กีต้าร์ล้อไปไม่ห่าง เป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้มอย่างไม่ต้องสงสัย 'Those Shoes' ฟังเสียง talk box guitars สนทนากันระหว่างโจและเฟลเดอร์ 'Teenage Jail' เพลงช้าสุดๆที่ดูจะเป็นเพลงที่อ่อนและชวนสลบที่สุดในอัลบั้ม พวกเขาเลยชวนเต้นกันหน่อยใน 'The Greeks Don't Want No Freaks' ดอนร้องโดยมีทีมประสานเสียง The Monstertones ที่มี Jimmy Buffet อยู่ในนั้นด้วย เพลงนี้บางคนก็ว่าปัญญาอ่อนไปหน่อย แต่ผมชอบนะ ปิดท้ายอย่างเศร้าด้วย 'The Sad Cafe' ที่เล่าถึงร้านเหล้าร้านอาหารที่พวกเขาเคยนั่งแช่คุยกันในวันเก่าๆ ได้ เดวิด แซนบอร์นมาเป่าแซ็กโซโลให้อย่างเหมาะเจาะ นี่เป็นเพลงหวานช้าที่ไพเราะที่สุดเพลงหนึ่งของพวกเขาโดยเฉพาะท่วงทำนองในท่อนแยกทำได้เยี่ยมมากๆ
ทุกวันนี้แม้ว่าผมจะชอบ The Long Run มากขึ้นเรื่อยๆแต่มันก็ยังคงเป็นอัลบั้มของ Eagles ที่ผมชอบน้อยที่สุดอยู่ดี ต้องเข้าใจว่าวงนี้ทำงานออกมาเยี่ยมทุกชุดตั้งแต่ Eagles,Desperado,On The Border, One Of These Nights และ Hotel California ชุดนี้ขาดเสน่ห์ในความเนียนนวลของเสียงประสานและกีต้าร์โปร่งที่เป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่มาทดแทนคือความดุดันของกีต้าร์และความเป็นร็อคที่มากที่สุดเท่าที่ Eagles เคยทำมาครับ เป็นอัลบั้มที่ฟังเผินๆเหมือนจะดิบหยาบ แต่ความจริงแล้วเป็นการบันทึกเสียงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย อย่างไรก็ตามถ้าถามในนาทีนี้ ผมก็คิดว่าอัลบั้มนี้ยังเยี่ยมกว่างานยุค reunion อย่าง Long Road Out Of Eden หรือ Hell Freezes Over นะครับ
No comments:
Post a Comment