Saturday, 21 March 2015

The Sounds of Silence

"สุ้มเสียงแห่งความเงียบ"
(เขียนไว้เมื่อปี ๒๕๔๘)
----------------------
The Sounds Of Silence
Hello darkness, my old friend, สวัสดี ความมืดมนเพื่อนยาก
I’ve come to talk with you again, ฉันมาคุยกับนายอีกแล้ว
Because a vision softly creeping, เพราะว่ามีนิมิตหนึ่งคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
Left it’s seeds while I was sleeping, และทิ้งเมล็ดพันธุ์ของมันไว้ขณะที่ฉันหลับใหล
And the vision that was planted in my brain และนิมิตที่ถูกเพาะขึ้นในสมองของฉันนั้น
Still remains มันยังคงอยู่
Within the sound of silence. ภายในสรรพเสียงแห่งความเงียบ
In restless dreams I walked alone ฉันเดินไปอย่างเดียวดายในความฝันอันรุกรี้
Narrow streets of cobblestone, ถนนแคบๆ...ปูราดด้วยก้อนหิน
’neath the halo of a street lamp, ภายใต้แสงสลัวของไฟตะเกียงถนน
I turned my collar to the cold and damp ฉันยกปกเสื้อขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากความเย็นชื้น
When my eyes were stabbed by the flash of พลัน ลูกตาฉันก็ประสบกับแสงนีออนที่สาดส่องเข้ามา
A neon light
That split the night ราวกับจะแหวกค่ำคืนนั้นออกเป็นริ้วๆ
And touched the sound of silence. และสัมผัสกับเสียง...แห่งความเงียบงัน
And in the naked light I saw และในแสงที่เจิดจ้า ฉันได้เห็น
Ten thousand people, maybe more. ฝูงชนนับหมื่น หรืออาจจะมากกว่านั้น
People talking without speaking, พวกเขาต่างพูด.... แต่ไม่ได้คุยกัน
People hearing without listening, มีแต่คนได้ยิน.... แต่ไม่มีใครฟังกัน
People writing songs that voices never share พวกเขาแต่งเพลง....ที่ไร้ซึ่งสุ้มเสียง
And no one deared และดูจะไม่มีใครหาญกล้า
Disturb the sound of silence. ที่จะไปรบกวนเสียง..แห่งความเงียบ
”Fools” said i,”you do not know ฉันบอกพวกนั้นไปว่า “เจ้าโง่เอ๋ย เธอไม่รู้เลยดอกหรือ”
Silence like a cancer grows. “ความเงียบนั้นประดุจดั่งเนื้อร้ายที่ลุกลาม
Hear my words that I might teach you, จงมาฟังคำที่ฉันจะสอนเธอนี่
Take my arms that I might reach you.” จับแขนสองข้างฉันไว้ ฉันจะได้เข้าถึงเธอได้”
But my words like silent raindrops fell, แต่ถ้อยคำของฉันเหล่านั้นกลายเป็นดั่งเม็ดฝนที่ร่วงหล่นอย่างเงียบกริบ
And echoed มีแค่เสียงก้องกังวานสะท้อนขึ้นมา
In the wells of silence ในบ่อแห่งความเงียบ
And the people bowed and prayed ผู้คนสวดวิงวอน
To the neon God they made. ต่อพระเจ้าองค์ใหม่ที่เขาสร้างกันขึ้น
And the sign flashed out it’s warning, พลันก็มีคำเตือนสาดส่องออกมา
In the words that it was forming. อ่านเป็นถ้อยคำได้ว่า
And the signs said, the words of the prophets คำสอนของท่านศาสดานั้น
Are written on the subway walls จารึกไว้ที่กำแพงทางเดินใต้ดิน
And tenement halls.และตึกรามบ้านช่อง
And whisper’d in the sound of silence. และมันถูกนำมากระซิบ...อยู่ในสุ้มเสียง...แห่งความสงัดงัน..(.นั้นแล....)
(หมายเหตุ-นี่ไม่ใช่การ”ตีความ”นะครับ...แค่แปลแบบทื่อๆสไตล์ผม...)
***********************
สถานที่โปรดของหนุ่มน้อย พอล ไซมอน ในการที่จะร้องเพลงและเล่นกีต้าร์คือ ห้องน้ำในบ้านของเขา กระเบื้องมุงหลังคาทำให้เกิดเสียงเอ็คโคพองาม พอลเปิดก๊อกให้น้ำไหลเบาๆ และเริ่มเกากีต้าร์ของเขา วันนั้น,ในท่ามกลางความมืดสนิท เขาเริ่มด้วยประโยค “Hello darkness my old friend…” พอลเชื่อว่าเพลงที่ดีต้องเริ่มมาจากประโยคที่ดูจริงใจสักประโยคหนึ่งก่อน ก่อนที่จะปล่อยให้จินตนาการโลดแล่นไป....
The Sounds Of Silence แรกเริ่มเดิมทีอยู่ในอัลบั้มแรกของ Simon & Garfunkel-Wednesday 3 A.M.(1964) แม้ว่าอัลบั้มจะไม่ประสบความสำเร็จและเพลงนี้ก็ไม่โด่งดังอะไร แต่พวกเขาก็รู้ตัวว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงธรรมดา อาร์ท การ์ฟังเกล เขียนถึงเพลงนี้ไว้ในปกแผ่นเสียงว่า Sounds Of Silence “เป็นงานชิ้นสำคัญ เราได้มองหาเพลงสักเพลงที่ยิ่งใหญ่กว่าเพลงทั่วไป แต่นี่มันเกินกว่าที่เราคาดหมายกันเอาไว้เสียอีก”
เวอร์ชั่นดั้งเดิมของเพลงนี้มีแต่เสียงร้องของทั้งสองและกีต้าร์โปร่ง มันมีท่วงทำนองที่งดงามอย่างเหลือเชื่อ เสียงประสานของทั้งสองแม้จะมีผู้สังเกตว่าเป็นสไตล์ของ The Everly Brothers แต่ผมคิดว่ามันสมบูรณ์แบบและน่าตะลึงกว่ามาก ไซมอนเล่นกีต้าร์เหมือนกับเป็น conductor กำกับบทเพลงไปตามเนื้อหาที่เป็นกะ-วี้ กวี....
อาร์ทกับพอลแยกทางกันหลังจากอัลบั้มขายไม่ดี พอลไปเล่นดนตรีทัวร์คนเดียวในยุโรป ส่วนอาร์ทกลับไปเรียนต่อ ขณะนั้นสถานีวิทยุเริ่มให้ความสนใจกับ “เสียงแห่งความเงียบ” นี้มากขึ้น ทอม วิลสัน โปรดิวเซอร์ผู้ที่ทำงานให้บ๊อบ ดีแลนด้วยก็เลยเกิดพุทธิปัญญา นำวงของดีแลนมาเล่นกีต้าร์ทับลงไปบนการบันทึกเสียงเดิมดื้อๆ เขาไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของเพลงสักนิด ครั้งแรกที่ไซมอนได้ยินเวอร์ชั่นไฟฟ้านี้เขาถึงกับช็อค (ถ้าคุณฟังดีๆจะเห็นว่าวงไฟฟ้าต้อง”รอ” นิดนึงในช่วงหนึ่งให้เสียงร้องของทั้งสองขึ้นมาทันจังหวะ) แต่เมื่อแลกกับการขึ้นถึงอันดับ1ในปี 1966 ไซมอนก็คงไม่มีอะไรจะบ่นมาก เขาเรียกอาร์ทกลับมารวมวงเพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มใหม่กันโดยพลัน....
เวอร์ชั่นร็อคของ The Sounds Of Silence ถูกนำไปใช้ในหนังเรื่อง The Graduate ที่ดัสติน ฮอฟฟ์แมนน์เล่นไว้ในปี 1967 และคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้คงปฎิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา การแสดง และ บทเพลง มันกลมกลืนกันอย่างกลมกล่อม ไม่ต่างจากเสียงร้องอมตะของ พอล ไซมอน และ อาร์ท การ์ฟังเกล นี่คือยุคซิกซ์ตี้ส์ที่เราอยากรำลึกถึง....

--------
หนุ่มพอลไซมอนอาจจะแค่อยากจะบอกคนฟังว่านี่(ตอนนั้น)เป็นยุคแห่งกูรู คนนั้นก็เทศน์ก็สอนสั่งกันอย่างนั้น คนนี้ก็มีแนวคิดอีกอย่าง แต่ไม่มีใครฟังใคร เขาอยากให้ทุกคนเงียบลงแล้วฟังเสียงแห่งความเงียบงัน ปรัชญาที่แท้จริง,สัจธรรม ถูกเขียนไว้แล้วในที่ใดสักแห่ง เพียงคุณหยุดพูดพล่ามแล้วฟังมัน หามัน ก็จะพบพานความจริงนั้นแล.....

No comments: