"10 เรื่องน่ารู้ของ Buddy Holly"
--------------------
เขาคือหนึ่งในผู้กรุยทางให้ร็อคแอนด์โรลในยุคแรก บัดดี้ทำให้การใส่แว่นหนาๆและลุคแบบเด็ก Nerd ไม่กลายเป็นอุปสรรคในการที่จะเป็นดาราร็อค และความสำคัญในการทำเพลงเองของศิลปินที่ไม่เคยเป็นเรื่องที่ใครสนใจนักมาก่อน และนี่คือ 10 เรื่องที่คุณอาจจะรู้แล้วหรือยังไม่รู้เกี่ยวกับเขา...บัดดี้ ฮอลลี่...
1.ชื่อจริงของเขาคือ Charles Hardin Holley การเปลี่ยนนามสกุลเป็นHollyนั้นเป็นผลจากการสะกดผิดในการเซ็นสัญญากับ Decca Records ส่วน Buddy นั้นเป็นชื่อเล่น
2.บัดดี้เป็นคนเท็กซัส และในวัยเยาว์เขาได้เล่นเครื่องดนตรีหลายอย่าง เช่น เปียโน ไวโอลิน ซอ และแน่นอน กีต้าร์ แนวดนตรีแรกที่เขาชื่นชอบคือ Bluegrass แต่คนที่ทำให้เขาหันมาชอบร็อคคือ Elvis Presley บัดดี้ได้ไปดูการแสดงของเอลวิสในปี 1955 ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมา เขาทั้งสองจะแสดงร่วมกัน บัดดี้ยังได้เปิดการแสดงให้ Bill Haley & His Comets อีกด้วย
3.เพลง That'll Be The Day ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง The Searchers ที่จอห์น เวนย์นำแสดง เวนย์พูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเบื่อโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหนังเรื่องนี้
เพลงนี้บัดดี้นำมาบันทึกเสียงหลายครั้ง เวอร์ชั่นแรกๆที่อัดกับ Decca จะมีจังหวะที่เชื่องช้าและเสียงร้องที่สูงปรี้ดกว่าเวอร์ชั่นของ The Crickets ที่เราคุ้นเคย
เพลงนี้บัดดี้นำมาบันทึกเสียงหลายครั้ง เวอร์ชั่นแรกๆที่อัดกับ Decca จะมีจังหวะที่เชื่องช้าและเสียงร้องที่สูงปรี้ดกว่าเวอร์ชั่นของ The Crickets ที่เราคุ้นเคย
4.บัดดี้แต่งงานกับ Maria Elena Santiago ในวันที่ 15 สิงหาคม 1958 หลังจากพบกันแค่สองเดือน ตอนบัดดี้เสียชีวิต มาเรียท้องได้หกเดือน และเธอก็แท้งลูกในที่สุด
5.วงแบ็คอัพของเขาชื่อ The Crickets มีสมาชิกคือ Joe B. Mauldin, Jerry Allison, และ Niki Sullivan พวกเขาแยกทางกันในปี 1959 ขณะที่บัดดี้กำลังแสวงหาชื่อเสียงในนิวยอร์คแต่เพื่อนร่วมวงอยากจะทำงานเงียบๆในเท็กซัสมากกว่า
6.หลังจากมีเพลงดังมากมาย Buddy และ The Crickets ออกทัวร์อังกฤษในปี 1958 ซึ่งเป็นการทัวร์ที่มีผลกระทบต่อวงการดนตรีอย่างไม่มีใครคาดคิดในขณะนั้น
7.Buddy and the Crickets เปิดการแสดงที่ Apollo Theater ที่เป็นสถานที่ของคนผิวดำโดยเป็นความผิดพลาดในการbookตัว แต่บัดดี้ก็เอาชนะใจผู้ชมที่มีสีผิวต่างจากเขาได้ในที่สุด หลังจากการแสดงผ่านไปหลายคืน
8.2 กุมภาพันธ์ 1959 คือวันที่"ดนตรีตาย"ในเพลง American Pie ของ Don McLean บัดดี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกพร้อมกับ Ritchie Valens (La Bamba) และ J.P. Richardson ร่างของบัดดี้กระเด็นออกจากซากเครื่องบินกว่า 5 เมตร เขาเสียชีวิตทันทีที่เครื่องบินโหม่งโลกด้วยความเร็ว 270 กม./ชม. สาเหตุของการตกคือ "ความผิดพลาดของนักบิน" Tommy Allsup และ Waylon Jennings สองนักดนตรีแบ็คอัพของฮอลลี่รอดจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้อย่างหวุดหวิด ริชาร์ดสันขอย้ายเครื่องบินกับเจนนิงส์เพราะเขาเพิ่งฟื้นไข้และไม่อยากนั่งเครื่องสี่ที่นั่ง ส่วนทอมมี่แพ้การทายหัว-ก้อยกับวาเลนส์เลยต้องไปนั่งอีกเครื่องหนึ่ง
9.จารึกที่หลุมศพของเขาที่ City of Lubbock Cemetery นั้นนามสกุลได้ถูกเปลี่ยนมาเป็น Holley อีกครั้งหนึ่ง พร้อมรอยสลักกีต้าร์เฟนเดอร์ที่สร้างชื่อให้บัดดี้
10.บัดดี้เป็นนักดนตรีที่ขยันมากจึงมีเพลงบันทึกเสียงค้างไว้มากมาย งานหลังจากเขาเสียชีวิตจึงมีตามออกมาเป็นสิบปี และหลายต่อหลายเพลงเป็นการนำเสียงร้องและเดโมของเขามาบันทึกเสียงร่วมกับการเล่นดนตรีใหม่เสริมลงไป
ลิขสิทธิ์เพลงของบัดดี้เป็นของพอล แมคคาร์ทนีย์ที่ซื้อเอาไว้ตั้งแต่ปี 1979 เพลงของบัดดี้น่าฟังแทบทุกเพลงครับ ดนตรีเรียบง่ายเมโลดี้เยี่ยม และที่โดดเด่นคือการร้องในสไตล์สะอึก (hiccup) ที่เอลวิสก็ชอบใช้ แต่ไม่บ่อยเท่าบัดดี้ สไตล์นี้สุดท้ายก็ตกทอดไปถึงไมเคืล แจ็คสันที่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปในที่สุด
เพลงแนะนำนอกจาก That'll Be The Day
Rave On, Oh Boy, Peggy Sue, Everyday, Maybe Baby, It's So Easy, True Love Ways, It Doesn't Matter Anymore, I'm Gonna Love You Too และ Not Fade Away
No comments:
Post a Comment