Wednesday 10 September 2008

Slipknot ALL HOPE IS GONE










Slipknot All Hope Is Gone ***1/2






อย่าปล่อยให้หน้ากากและชุด jumpsuit ที่ผู้ชายเก้าคนเหล่านี้สวมใส่ทำให้คุณไขว้เขวว่า Slipknot เป็นแค่พวกขาย image ไปวันๆ นับจากอัลบั้มแรกอย่างเป็นทางการในชื่อเดียวกับวงในปี 1999 เผลอแว่บเดียว พวกเขากลายเป็นวง metal รุ่นใหญ่ไปแล้ว All Hope Is Gone คืองานชุดที่สี่ของพวกเขา และนี่เป็นงานชุดแรกของ Slipknot ที่ขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ด

Vol.3 (The Subliminal Verses) อัลบั้มก่อนหน้านี้ในปี 2004 ที่ได้ Rick Rubin มาเป็นโปรดิวเซอร์เป็นงานที่ได้รับทั้งคำชมเชยและเสียงบ่น พวกเขาทำเพลงที่มีท่วงทำนองมากขึ้นและใส่ใจในรายละเอียดของดนตรีมากกว่าพลังและความรุนแรงในสองอัลบั้มแรก All Hope Is Gone แม้จะทิ้งช่วงจาก Vol.3 เกือบ 4 ปี แต่ก็เหมือนเป็นการเดินทางที่ต่อเนื่อง พวกเขาไม่ใช้บริการของ Rick Rubin อีกต่อไป แต่เปลี่ยนโปรดิวเซอร์เป็น Dave Fortman ผู้เคยทำงานให้กับ Mudvayne และ Evanescene มาก่อน

แม้จะมีการปล่อยข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า All Hope Is Gone จะเป็นงานที่หนักหน่วงและมืดหม่นที่สุดเท่าที่ Slipknot เคยทำมา แต่เนื้องานจริงๆกลับเป็นการผสมผสานความก้าวร้าวและอลหม่านในงานยุคแรกกับความเข้าถึงตลาดในวงกว้างของ Vol.3

ผลที่ได้คือ All Hope Is Gone คือความลงตัวครั้งสำคัญของงานของหัวหอก metal อดไม่ได้ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับ อัลบั้ม ‘Black Album’ งูสปริงของ Metallica (ที่เพิ่งออกอัลบั้มใหม่ตามมาติดๆและกลับมาคืนฟอร์มอย่างน่าชื่นใจ) แฟนๆที่ยังชื่นชมกับอัลบั้มแรกและ Iowa อัลบั้มที่สองโดยไม่อยากให้พวกเขาเปลี่ยนแนวคงจะรับไม่ได้กับ All Hope Is Gone แต่ถ้าทำใจยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงและประเด็นที่ว่าการทำอะไรในเชิงพาณิชย์ไม่ใช่เรื่องเสียหาย คุณจะเห็นว่า All Hope Is Gone คือหลักชัยครั้งสำคัญของดนตรีหนักกะโหลกบนถนน mainstream








Slipknot ฟอร์มวงตั้งแต่ปี 1995 พวกเขาสร้างชื่อเสียงในแง่ image และฝีมือดนตรีมาพร้อมๆกัน อาจวิเคราะห์ได้ว่าแนวดนตรีของพวกเขาเป็นการหล่อหลอมอิทธิพลจากวงเมทัลรุ่นพี่อย่าง Slayer, Korn, AC/DC ลีลาการ rap อย่าง Beastie Boys ความหมกมุ่นในด้านมืดและซาตานอย่าง Black Sabbath และการสร้างรูปลักษณ์อย่าง Kiss (เป็นไปได้ว่าหลังจาก Kiss มา พวกเขาเป็นวง “ปิดหน้าปิดตา” ที่โด่งดังที่สุดในวงการดนตรี สำหรับเรื่องนี้พวกเขาตอบโต้คำครหาว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจได้อย่างเจ็บปวด ว่าจริงแล้วมันเป็นเรื่องตรงข้าม พวกเขาต้องการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของสมาชิกโดยให้ผู้ฟังสนใจในดนตรีมากกว่าต่างหาก หน้ากากของพวกเขายังมีการเปลี่ยนรูปแบบพัฒนาไปทุกครั้งที่ออกอัลบั้มใหม่ ต่างจาก Kiss ) วิธีการร้องของสมาชิกหมายเลข 8 Corey Taylor นั้นก็น่าสนใจ ที่โดดเด่นที่สุดคือเสียงแบบ ‘growled’ (เสียงกดต่ำเหมือนนสำรอกเนื้อเพลงอยู่ในกระบังลม) สลับกับการ rap แต่ใน All Hope Is Gone ก็มีหลายเพลงที่ Corey ร้องแบบคนธรรมดา!

สำหรับผู้ใส่ใจในคุณภาพของการบันทึกเสียง และดนตรีอย่าง metal อาจจะไม่ใช่แนวที่เหมาะกับหูทองเท่าไหร่นัก แต่ All Hope Is Gone น่าจะเป็นอัลบั้มที่ชาวหูทองกับหูเหล็กไปด้วยกันได้ ต้องขอบคุณฝีมือการมิกซ์ของทีมงานที่ประกอบด้วย Jeremy Parker, Colin Richardson, Matt Hyde และการทำมาสเตอร์ของมือรุ่นเก๋าอย่าง Ted Jensen ที่ทำให้ดนตรีโกลาหลอลเวงเหล่านี้มีสุ้มเสียงออกมาแยกแยะน่าฟังในระดับหนึ่ง (อย่าไปเปรียบกับดนตรีอย่าง Jazz หรือ Classical) และถ้าคุณต้องการทดสอบ woofer ล่ะก็นี่เป็นอัลบั้มที่คุณจะได้ฟังเสียง double bass drums ฝีมือของ Joey Jordison กันอย่างเกินอิ่ม!

สิ่งสำคัญที่สุดในความเปลี่ยนแปลงของ Slipknot ที่เริ่มจาก Vol.3 ถึง All Hope ที่อาจจะทำให้วงเป็นที่ยอมรับในวงกว้างอาจจะอยู่ที่กีต้าร์ พวกเขาให้ความสำคัญกับท่อนริฟฟ์และการโซโล่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การโซโล่กีต้าร์ดูเหมือนจะเป็นศิลปะที่สูญหายไปในยุคของ nu-metal สำหรับคนที่โตมากับเพลงร็อคที่มีโซโลยาวเหยียดนี่นับเป็นข่าวดี ลองฟัง Sulfur แทร็คที่สามที่มี killer riffs ชวนให้คิดถึง Tony Iommi ขณะที่ Psychosocial ซิงเกิ้ลที่สองมีทุกอย่างของปัจจัยในการเป็นเพลงฮิต แต่ก็ยังไว้ลายด้วยการดวลกีต้าร์และกลองบน time signature ที่ซับซ้อนที่อาจทำให้เซียนแอร์กีต้าร์เล่นตามไม่ถูก Dead Memories คือตัวอย่างของ Slipknot ที่ปราศจากเสียงร้องแบบสำรอก หลายคนฟังแล้วนึกถึง Enter Sandman ของ Metallica ส่วน Snuff เป็นอคูสติกบัลลาดหน้าตาเฉยชนิดที่แฟน Iowa แทบร้องไห้



All Hope Is Gone คือความเติบโตของวงร็อควงหนึ่งที่น่าสนใจ แฟนที่ผิดหวังมักจะแดกดันว่าชื่ออัลบั้มหมายถึงความสิ้นหวังของแฟนเพลงที่จะให้พวกเขากลับไปเล่นแนวเดิมๆ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดถึงจริงๆในตัวเพลงคือความสิ้นหวังของสังคมและการตอบโต้กับความรุนแรงและถ้อยคำไร้สัจจะของผู้นำ เบื้องหลังความเมามันของบทเพลงทั้งหมดนี้ เนื้อหาที่พวกเขาต้องการสื่อออกมาก็เป็นสิ่งที่ท่านผู้ฟังน่าจะใส่ใจไปด้วยครับ
Note: โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าการใส่หน้ากากและการแต่งตัวเป็น gimmick ของพวกเขานั่นแหละ แต่ผมชอบนะ เพราะคิดว่ามันเป็นศิลปะที่ผสมผสานความสะอิดสะเอียนกับความงดงามเข้าด้วยกันอย่างน่าทึ่ง!