Sunday 24 August 2008

Metallica แสดงที่ St. Petersburg 2008


ผมต้องยอมรับว่าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้อันเหนียวแน่นของ Metallica แต่ก็ต้องยอมรับว่าการแสดงของพวกเขายังทรงพลังและเต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนในการให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม และถึงแม้อัลบั้มหลังๆของพวกเขาจะออกทะเลกันไปเรื่อยๆ แต่บนเวทียังหาใครกินพวกเขายาก ยิ่งช่วงหลังได้ข่าวว่าดูแลตัวเองกันดีไม่สำมะเลเทเมาเหมือนตอนวัยรุ่น ก่อนขึ้นเวทีบางคนยังเล่นโยคะอีกด้วย




ขออนุญาตแนะนำไฟล์บันทึกการแสดงสดอย่างไม่เป็นทางการที่พวกเขาไปเล่นในรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้วนี้เองมาให้ฟังกันครับ เป็นไฟล์ที่ได้จาก soundboard คุณภาพเสียงจึงอยู่ในระดับดีมากๆ (ผมยังคิดว่าถ้าได้มือดีๆมา remaster อีกสักหน่อยเป็นงาน official ได้สบายครับ)


อัลบั้มใหม่ของพวกเขาที่ได้ Rick Rubin พ่อกูรูเครายาวมาโปรดิวซ์ให้คงจะใกล้ออกเต็มทีแล้วล่ะมั้งครับ?
setlist
CD1:01 - Creeping Death02 - For Whom The Bell Tolls03 - Ride The Lightning04 - Harvester Of Sorrow05 - Kirk Solo #106 - The Unforgiven07 - Leper Messiah08 - And Justice for All09 - No Remorse10 - Fade to Black
CD2:01 - Master Of Puppets02 - Whiplash03 - Kirk Solo #204 - Nothing Else Matters05 - Sad But True06 - One07 - Enter Sandman08 - Last Caress09 - Motorbreath10 - Seek and Destroy

download

40 ปี White Album - 1





เป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับนิตยสาร MOJO ที่ต้องลงเรื่องใหญ่อัลบั้มครบรอบ40ปีของ Beatles ทุกปีมาตั้งแต่ปี 2006 เริ่มต้นด้วย Revolver และมีซีดีพิเศษแถมให้เป็นเพลง cover โดยศิลปินยุคใหม่ยกอัลบั้ม (ผมค่อนข้างประทับใจ Revolver Reloaded มาก แต่ปีที่แล้วกับ Sgt. PEPPER’S ไม่ค่อยดีเท่าไหร่) ปีนี้เป็นปีของอัลบั้ม ‘The Beatles’ หรือชื่อเล่นๆที่ทุกคนรู้จักกันดีกว่าชื่อจริงว่า The White Album

อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มคู่ MOJO ก็เลยพิเศษทำเป็นสองเล่มต่อเนื่องกันสองเดือน และซีดีก็แถมเป็นสองแผ่นไล่ตามอัลบั้มจริงด้วย (ซีดีผมยังฟังไปไม่ถึงรอบจึงยังไม่ขอวิจารณ์อะไร) หน้าปกเล่นโทนขาวหม่นเหมือนสีปกอัลบั้มนี้ที่ผ่านการกัดกร่อนของห้วงเวลามาแล้วพอสมควร ไม่เชื่อไปดูได้ปกแผ่นเสียงเก่าๆของอัลบั้มนี้จะออกสีนี้กันแล้วทั้งนั้น

สมัยอัลบั้มนี้ออกจริงๆผมเพิ่งอายุได้ขวบเดียว และตอนจะหามันมาฟังในยุคกลาง 80’s ในบ้านเราในรูปแบบเทปคาสเซ็ตต์กลับกลายเป็นของหายาก หรือจะพูดว่าหาไม่ได้เลยก็ว่าได้ แม้แต่เทปผี มันจึงกลายเป็นอัลบั้มแรกที่ผมได้ฟังครั้งแรกจากแผ่นไวนีลที่ไปหิ้วเข้ามาจากอเมริกา สังกัด Capitol, Stereo รู้สึกจะเป็นแผ่นฮอลแลนด์ แต่เสียงดีเชียวล่ะ ทุกวันนี้ผมยังริปมันจากแผ่นนี้ไว้ฟังใน iPod อยู่ แม้จะมีเสียงซู่ซ่าคลิกๆแก๊กๆมั่งก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหารบกวนอะไร (บางคนได้ยินเสียงพวกนี้ไม่ได้ ต้องรีบหา software มาทำการกลบเกลื่อนเป็นการใหญ่)

White Album เป็นอัลบั้มที่เป็นอะไรที่แตกต่างจาก Sgt. Pepper’s กันแบบสุดขั้วโลกเหนือ-ใต้ ขณะที่ Pepper สร้างขึ้นมาจากความร่วมมือร่วมใจและมันสมองที่อยู่ใน Creative Peak, White เป็นงานที่งอกเงยออกมาจากรอยร้าวของความสัมพันธ์ในวงและการทำงานแบบแทบจะเป็นงานโซโล่ Pepper มีความเป็น perfectionist และ concept album แต่เสน่ห์ของ White คือความ imperfection และความหลากหลายอย่างสุดขอบสเป็คตรัม 30 เพลงในอัลบั้มนี้ครอบคลุมแนวทางต่างๆมากมายจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นผลงานของวงดนตรีวงเดียว ที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือแม้ว่ามันจะไปคนละทิศละทางแต่เมื่อรวมอยู่ในซีดีสองแผ่นนี้แล้วกลับเป็นการฟังที่ต่อเนื่องไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันของแต่ละเพลง ตำนานเล่าว่าพวกเขาใช้เวลามากเป็นวันๆในการเรียงแทร็ค เพื่อให้ได้ลำดับในการฟังอันยอดเยี่ยมเช่นนี้




ก่อน White Album พวกเขาออกซิงเกิ้ล Hey Jude/Revolution มาเรียกขวัญแฟนๆกันก่อน Revolution เป็นเพลงแรกที่ John หันมาเขียนแนวการเมืองและ/หรือสันติภาพอย่างเต็มตัว แต่เวอร์ชั่นในซิงเกิ้ลนี้ไม่เหมือนใน White Album (กีต้าร์ดังและแหบกร้าวรวมทั้งจังหวะที่ดุดันกว่าหลายเท่า) ส่วน Hey Jude นั้นไม่อยู่ในอัลบั้มเลยด้วยซ้ำ มันเป็นหนึ่งในซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล ทั้งๆที่มีความยาวถึง 7 นาที กว่าๆ ทางสังกัดเองยังลังเลว่าด้วยความยาวขนาดนี้มันจะเวิร์คหรือในการตัดเป็นซิงเกิ้ล แต่จอห์นย้อนกลับให้อย่างอหังการ์ว่า “มันต้องเวิร์ค เพราะเราบอกว่ามันจะเวิร์ค” และมันก็เวิร์คจริงๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะบารมีของพวกเขา แต่ส่วนสำคัญก็คงต้องยกให้ความเป็น anthem ที่สมบูรณ์แบบของมัน ผมคิดเล่นๆว่าถ้าเพลงนื้มาอยู่ใน White Album ด้วยจะดีไหม นั่นหมายความว่าต้องมีเพลงถูกตัดออกไปสองสามเพลง และสมดุลของอัลบั้มจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย เพราะ Hey Jude จะโดดเด่น...อาจะเกินไป มาคิดดูแล้วก็ไม่น่าจะเอามันเข้ามารวมล่ะครับ รวมทั้งไอเดียของหลายๆคนที่อยากให้ White เป็นแค่อัลบั้มเดี่ยวแล้วคัดแต่เพลงเด่นๆมาแค่ 13-15เพลง ผมก็ไม่เห็นด้วยนะ ความมันส์ในการฟังอัลบั้มนี้อยู่ที่ความหลากหลายกระจัดกระจายของเพลงทั้ง 30 เพลง และเพลงอย่าง Why Don’t We Do It In The Road, Long, Long, Long, Don’t Pass Me By, Wild Honey Pie จะไปอยู่ที่ไหนได้ดีและน่าฟังเท่าในอัลบั้มแผ่นคู่นี้อีกเล่า


แฟนๆยุคนั้นอยู่ห่างไกลจากยุคข่าวสารลึกล้ำและรวดเร็วของยุคปัจจุบันมาก ทุกคนจึงฟังอัลบั้มนี้ด้วยความชื่นชม ไม่มีใครทราบว่าเบื้องหลังการทำงานนั้นพวกเขากดดันและเคร่งเครียดกันขนาดไหน

วันนี้ดึกแล้วขอจบแบบห้วนๆแค่นี้ก่อน ไว้จะมาเล่าเกี่ยวกับอัลบั้มนี้กันยาวๆต่อนะครับ

The Golden Age Of Download




ไม่ต้องกังวลไปครับ บทความนี้จะไม่พยายามลงลึกเรื่องเทคนิคทางคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตที่วุ่นวายน่าเบื่อ แค่อยากจะเล่าถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในวงการ “แลกเปลี่ยนไฟล์” ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา และท่านอาจจะได้พบกับของเล่นใหม่ที่เชื่อว่า music lover ทุกคนเจอเข้าให้ต้องติดหนึบ

การ share files แบบ p2p หรือคอมต่อคอมที่ "ดูเหมือนว่า"ไม่ต้องมีตัวกลาง เป็นความคลาสสิกของวงการดาวน์โหลด กับ Napster ที่กลายเป็นตำนานไปแล้ว (ปัจจุบันก็ยังมีชื่อนี้อยู่ แต่กลายเป็นเว็บโหลดเพลงลิขสิทธิ์แบบเหมาเก็บเงิน) หลังจาก Napster เปลี่ยนแนวไปก็มีโปรแกรมอื่นๆที่ดำเนินรอยตามอีกมากจนไม่มีทางไล่ฟ้องไล่ปิดไหว อาทิ Kazza, Limewire และอีกเพียบ

ตั้งแต่ปี 2001 โลกของการแชร์ไฟล์ก็เปลี่ยนไปด้วยการเข้ามาของ Bittorrent ที่ใช้โปรโตคอลใหม่เฉพาะตัวสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ๆได้ในเวลาที่น้อยลง ประกอบกับความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยุคของ bittorent จึงไม่มีใครโหลด “เพลง” มาฟังกันต่อไป อย่างต่ำต้องเป็น “อัลบั้ม” และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่บางไฟล์จะเป็นการโหลดกันทั้ง entire discography ของศิลปินนั้นๆ! อานิสงค์หนึ่งของ torrent ก็คือแนวโน้มที่จะทำไฟล์ mp3 ให้มีคุณภาพสูงขึ้นหรือทำเป็น looseless ไปเลย เพราะไม่ต้องไปกังวลว่าจะมีปัญหาในการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ๆ คำโบราณๆที่กระแนะกระแหนถึงความด้อยคุณภาพของ mp3 จึงไม่อาจนำมาใช้ในปัจจุบันได้เต็มปาก

แน่นอนที่กล่าวมาทั้งหมดคือ free download ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานลิขสิทธิ์ ขณะที่อีกฝั่งของค่ายเพลง iTunes ก็ยังคงทำเงินเป็นล่ำเป็นสันจากการโหลดนี้ สาวก iPod ส่วนหนึ่งคือคำตอบของความสำเร็จ แม้จะต้องเสียเงินพอๆกับไปซื้อซีดีก็ตามที

ขณะที่ torrent ยังคงเดินหน้าต่อไปแม้จะมีอุปสรรคบ้างเพราะตัวมันก็สร้างความเดือดร้อนให้ระบบในบางครั้ง (ใครเคยเล่น torrent จะทราบดีว่าถึงจุดหนึ่งคุณจะโหลดกันไม่บันยะบันยัง ทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องคิดเลยว่าที่โหลดเอาไว้นั้นยังไม่ได้ฟัง ดู หรือใช้งานเสีย 90% โหลดไว้ก่อน ไม่รู้ใครสอนไว้)

แต่ torrent ก็ยังมีจุดอ่อน ถ้าคุณต้องการหาอัลบั้มใหม่ของ Coldplay หรือ Madonna นั้นไม่ยากเลย เพราะมีผู้ร่วมป้อนข้อมูลกันเยอะ แต่ถ้าคุณเกิดอยากฟังงานอัลบั้มเก่าๆของ The Fixx เมื่อปี 1983 หรืออัลบั้มเพลงคลาสสิกเสียงดีๆในสังกัด Living Stereo ผมรับรองเลยว่าเหงื่อตกแน่ และต่อให้หา “หัวเชื้อ” นั้นเจอ ถ้ามีผู้ร่วมสังคายนา ‘seed’ ใน torrent นั้นๆไม่มากบางทีก็โหลดกันเป็นชาติ

ช่องว่างนี้เองทำให้น้องใหม่อย่าง one-click hoster เข้ามาเสียบ


One-click hoster คือผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต ที่รับฝากไฟล์ต่างๆจากลูกค้าที่จะ upload ขึ้นมาไว้ และจะส่ง URL ให้กลับไป ลูกค้าก็จะสามารถนำ URL นั้นไปแปะไว้ในเว็บไซต์ตัวเอง หรือบอกเพื่อนๆให้ดาวน์โหลดกันได้ โดยทั่วไปจะเป็นไฟล์ขนาดใหญ่กว่าที่จะส่งให้กันทาง e-mail

ฟังดูเหมือนเป็นการถอยหลังเข้าคลองและเป็น anti-p2p โดยสิ้นเชิง บริษัทที่ทำ one-click hoster จะได้เงินจากค่าโฆษณา และค่าสมาชิกที่ลูกค้าจ่ายให้ถ้าต้องการยกระดับตัวเองเป็น premium ที่จะโหลดได้เร็ว ไม่ต้องรอนาน และไร้ลิมิต

ความแตกต่างที่ชัดเจนของ one-click hoster กับ Torrent คือความเป็นเอกเทศและเสถียรภาพกว่า ความเร็วในการโหลดก็อยู่ในขั้นเร็วตามอัตภาพของผู้ใช้งานและไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่น

ไม่น่าเชื่อว่ากระบวนการนี้จะมาแรงมากๆในสองปีหลังนี้ ทำให้หลายคนเริ่มถอยจาก bittorrent มาเล่นแนวนี้กันบ้างแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันประจวบเหมาะกับการโตอย่างสุดๆของ blogger ทั่วโลก (คุณยายข้างบ้านผมยังมี blog ใน wordpress เลย)

ถ้าคุณจะเปิด music blog แล้วมีเพลงให้เพื่อนๆดาวน์โหลดจาก collection ของคุณเอง ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการใช้บริการฝากไฟล์ของ one-click hoster ทั้งหลาย

เจ้าที่ดังที่สุดตอนนี้อย่าง rapidshare.com และ megaupload.com เขาอ้างว่าวันๆจะมีไฟล์ไหลเวียนในเว็บของเขาร่วม....(กลั้นหายใจ)....สองแสนกิ๊กกะไบท์.... และทั้งสองเว็บก็ติดอันดับ top20 ของเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกอย่างไม่น่าแปลกใจอะไร

อ้อ แต่ทั้งสองเจ้านั้นเค้าไม่รับฝากงานที่มีลิขสิทธิ์ที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรอกนะ ถ้ามีใครท้วงติงมาเขาก็จะลบไฟล์ทันที เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีใครโวยเขาก็เฉยๆ ดูเหมือนกฎหมายจะเปิดช่องไว้ตรงนี้ว่าผู้รับฝากไฟล์ดิจิทัลในโลกอินเตอร์เน็ตไม่ต้องมีหน้าที่เป็นตำรวจเสียเอง ย่อหน้านี้คุณตีความกันได้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น

สองสามปีที่ผ่านมา จึงมี music blogs ที่มีเพลงให้โหลดผ่านทาง one-click hosters นี้มากมาย และเริ่มมีการประสานกันเป็นเครือข่าย มี forum ที่อุทิศตนให้ rapidshare โดยเฉพาะ บาง website update ไฟล์ใหม่ๆที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์เพิ่ง “อัพ” ขึ้นไปสดๆกันแบบวันต่อวัน (วันละสามเวลาด้วยซ้ำ)

เราจะไม่พูดถึงงานลิขสิทธิ์ที่หาซื้อกันได้อยู่แล้ว แต่นี่เป็นโอกาสทองที่คุณจะได้ฟังงานหายากที่เลิกผลิตไปแล้ว หรือไม่เคยเป็นซีดีมาก่อน และงานแสดงสดอย่างไม่เป็นทางการที่หลายต่อหลายชิ้นมีคุณค่าทางดนตรียิ่งไปกว่างาน official เสียอีก

นิตยสารดนตรีอเมริกันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดอย่าง Rolling Stone ยังเคยชี้โพรงให้กระรอกด้วยการแนะให้ผู้อ่านไปหางาน remasters ของ Beatles ที่ทำกันเองโดยแฟนๆโดยบอกกันโต้งๆให้ไป search ใน Google ด้วยคีย์เวิร์ดว่า Beatles megaupload ทำให้งานนี้ megaupload ได้ลูกค้าใหม่ไปหลายล้าน

การค้นหาใน Google ทำได้ แต่อาจจะไม่ได้ผลที่น่าพึงพอใจนัก สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ files เพลงแต่ละอันที่ผู้ใช้ upload ขึ้นไปไม่ได้มีการทำ index ที่ดีพอ รวมทั้งชื่อไฟล์ที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นงานอะไร อันนี้เป็นความจงใจของผู้อัพ เพราะถ้าบอกชื่อโจ๋งครึ่มโอกาสที่จะถูกลบทิ้งก็สูงขึ้นตามลำดับ

การจะหางานดนตรีในสาระบบนี้จึงยังมิอาจทำได้เป็นระบบอย่าง torrent ที่มี search engine มากมาย รูปแบบของการค้นหาจึงออกไปทาง portal site หรือปากต่อปาก ลิงค์ต่อลิงค์มากกว่า แม้จะเสียเวลาไม่น้อยแต่ก็เป็นอะไรที่เพลิดเพลินอย่างยิ่งของ music lover อย่างที่บอก ถ้าใครยิ่งรักดนตรีมานานหรือหลากหลายเท่าไหร่โอกาสที่จะถอนตัวไม่ขึ้นจากวงการนี้ยิ่งมากเป็นเท่าตัว

Recommened Music Blogs

ถ้าคุณมี internet high-speed ระดับ 1 mb ขึ้นไปและเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์เหลืออย่างน้อยก็ กิ๊กสองกิ๊ก ลองไปทัวร์ตาม blog เหล่านี้ดูครับ อย่างไรก็ตามผมมั่นใจว่าผู้อ่านระดับ GM2000 คงไม่คิดจะโหลดกันเป็นอาชีพอยู่แล้ว ต่อให้คุณภาพเสียงจะดีขึ้นแค่ไหนก็คงไม่อาจเทียบได้กับแผ่นไวนีลหรือซีดีจริงๆในมือ ก็ถือเสียว่าเป็น “ของเล่น” ทำเพลินๆแล้วกันนะ ที่คัดมานี้เป็นเพียงแค่ทรายกำมือเดียวจากชายหาด และอย่าแปลกใจที่คุณจะรู้สึกตัวอีกทีเมื่อยู่กลางมหาสมุทรของ mp3 แล้ว

Ultimate Bootleg http://www.theultimatebootlegexperience.blogspot.com/รวมงานแสดงสดอย่างไม่เป็นทางการไว้เยอะที่สุดตั้งแต่รุ่นเก๋าอย่าง Led Zeppelin ยัน Coldplay เจ้าของ blog น่าจะคัดงานมาลงพอสมควร คุณภาพใช้ได้ถึงยอดเยี่ยมเกือบทั้งหมด

Beatles Family http://octaner.blogspot.com/อะไรอะไรอะไรที่เกี่ยวกับ Beatles มีให้คุณโหลดกันอาน

New Brasilmidia http://newbrasilmidia.blogspot.com/คนบราซิลเป็นคนขยันหรือว่าตกงานกันเป็นส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบ ช่างอัพบล็อกกันได้เป็นเรื่องเป็นราวดีเหลือเกิน บล็อกนี้จะมีศิลปินฝรั่งปนละตินปนกันไป ทีเด็ดคือเต็มไปด้วยไฟล์แบบ “ยกมาทั้งชีวิต”

Jenzen Brazil http://jensenbrazil.blogspot.com/ อีกเจ้าจากบราซิล จับฉ่ายขนานแท้ มีทุกแนวและปริมาณมหาศาลอบย่างเหลือเชื่อ

Floodlitfootprint http://floodlitfootprint.blogcu.com/ บล็อกขวัญใจของนักเขียนดนตรีชื่อดังของบ้านเราคนหนึ่ง แฟนป๊อบ-ร็อคยุค 60-70’s กรี้ดสลบแล้วต้องรีบฟื้นมาโหลดต่อ

VinylHunt http://vinylloungehut.blogspot.com/ เจ้าของบล็อกเป็นวิศวะหนุ่มอเมริกัน ชอบไปหาแผ่นเสียงมือสองเด็ดๆมาริปเป็นเอ็มพีสามมาให้ฟังกัน ส่วนมากเป็นแผ่นที่ไม่มีซีดีวางขาย ออกไปในแนว lounge, easy listening มีหลายบล็อกที่ริปจากไวนีล แต่ของ VinylHunt นี้จะทำได้เนียนสุด ต้องให้เครดิตการ edit ของเขาครับ

80’s History http://historyofthe80s.blogspot.com/2008บล็อกของยุค 80’s นี้เยอะมาก เริ่มต้นที่นี่แล้วไปต่อยอดได้จากลิงค์เพื่อนบ้าน แล้วคุณจะคิดถึงเทปพีค็อกเก่าๆสมัยเยาว์วัย

Grumpy Boss http://grumpyscorner.blogspot.com/ ลุงกรัมปี้มีจานเด็ดคืองานรวมเพลงแบบ theme โดยแกเลือกเพลงเอง เช่นอัลบั้มวันฝนตก อัลบั้มรวมเพลงที่ใช้ชื่อสาวๆ อัลบั้มสำหรับฟังบนเครื่องบิน แกรวมเพลงได้เจ๋งจริงครับ

80’s Mixtape http://80s-tapes.blogspot.com/search/label/1982เจ้านี้มาแปลก ริปจากเทปรวมฮิตเก่าๆยุค 80’s ที่แกสะสมไว้ บางไฟล์ได้ยินเสียงเนื้อเทปชัดเจน

Crime Lounge http://thecrimelounge.blogspot.com/ เจ้าพ่อเจมส์บอนด์และซาวนด์แทร็คหนังสอบสวน-ฆาตกรรม เป็นบล็อกที่ดีไซน์เนี้ยบที่สุดบล็อกหนึ่ง

Lounge Legend http://loungelegends.blogspot.com/ อิ่มไปเลยสำหรับคอเพลงบรรเลงฟังสบายๆอย่าง Ray Conniff, James Last

Willfully Obscure http://wilfullyobscure.blogspot.com/ เจาะไปที่วงฝีมือดีแต่ไม่มีบุญพอจะดังในยุค 80-90’s หาฟังและซื้อยากจริงๆครับ

Crossroads Club http://crossroadsclub27.blogspot.com/ บลูส์เป็นหลัก

Singin’ and Swingin’ http://singinandswingin.blogspot.com/ เพลงหนังและเพลงแสตนดาร์ดเก่าๆยุค 60’s ลงไป

The Disco Vault http://thediscovaults.blogspot.com/ แผ่นเสียง 12 นิ้วและ extended mix ของเพลงดิสโก้ดังๆ

ถ้าท่านผู้อ่านมีอะไรจะปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เชิญได้ที่ winstonbkk@gmail.com ครับ