Thursday 8 January 2015

Jersey Boys

Jersey Boys (2014)
ว่าจะดูหนังเพลง+ประวัติของ Frankie Valli และ The
Four Seasons เรื่องนี้ตั้งแต่ปีก่อน แต่เพิ่งมีเวลาว่างก็
วันนี้.... ปู่คลินต์ อีสต์วู้ดในวัย 84 ยังคงฝีมือกำกับชั้นครู
นวลเนียน ลึกซึ้ง และสนุกสนานในแบบที่มันควรจะเป็น
หนังประเภท biopic ก็คงต้องจับประเด็นบางอย่างมานำ
เสนอ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเสนอชีวิตทุกแง่มุมของตัว
ละครออกมาทั้งหมด และใน Jersey Boys นอกจากเรื่องดนตรีอันเป็นหลักแล้ว หัวข้อที่โดดเด่นออกมาก็คือมิตรภาพ
และการจัดการกับอุปสรรคที่เหมือนจะเกิดขึ้นได้เรื่อยๆใน
ชีวิต (ก็เป็นกันทุกคนแหละ)

หนุ่มๆนิวเจอร์ซีย์ในยุคต้นทศวรรษ 50's พวกเขาไม่มี
หนทางเลือกในชีวิตมากนัก และ แฟรงค์กี้ (ตอนนั้นยังใช้
ชื่อว่า Frankie Castelluccio และแสดงโดย John Lloyd
Young ) ก็เลือกทางดนตรี โดยมีการเป็นแก๊งค์สเตอร์ ลัก
เล็กขโมยน้อยควบไปด้วย เขามีรุ่นพี่ตัวแสบ Tommy
DeVito (แสดงโดย Vincent Piazza) เป็นหัวโจก ชี้นำ
ชีวิตในทุกๆด้านทั้งดีและร้าย เป็นทอมมี่ที่ทำให้เขาได้ขึ้น
ร้องเพลงเป็นครั้งแรก และทันทีที่ทุกคนได้ยินเสียงของ
แฟรงกี้ พวกเขาก็รู้ว่านี่คือเสียงจากสวรรค์ที่ไม่มีใครเหมือน
(บางคนอาจจะรับไม่ได้กับเสียงสูงแหลมเล็กแบบนั้น) นอก
จากเรื่องเพลง ทอมมี่ยังสอนวิธีจีบสาว การรับมือกับพวก
ต้มตุ๋น และการเป็นมิจฉาชีพเสียเอง สิ่งเหล่านี้ทอมมี่ทำ
ได้ลื่นไหลราวกับเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิด
ต้องแซงคิวชมกลางคันว่าเสื้อผ้าหน้าผมและฉากของหนัง
เรื่องนี้สมจริงและเป็นธรรมชาติราวกับไปถ่ายในนิวเจอร์ซี่
ยุคนั้นจริงๆ
ตัวละครที่โดดเด่นอีกท่านก็คือ Gyp DeCarlo เจ้าพ่อ
ผู้ทรงอิทธิพลแห่งพื้นที่ (แสดงโดย Christopher
Walken) เขาเอ็นดูแฟรงกี้และเพื่อนมาตั้งแต่เด็กๆยังทำ
งานอยู่ร้านตัดผม ฝีไม้ลายมือในการแสดงของ Walken
นั้นคงไม่ต้องกล่าวอะไรกันมาก ออกมาแต่ละฉากก็เหมือน
ไม่ต้องดูใครอื่นกันหมด
ก็เหมือนกับวงดนตรีทั่วไปในยุคนั้น ที่ต้องเปลี่ยนสมาชิก
กันไป เล่นตามคลับไปวันๆ แต่จุดเปลี่ยนของพวกเขาก็คือ
การได้พบกับหนุ่มน้อยนักแต่งเพลงนาม Bob Gaudio
(แสดงโดย Erich Bergen) ทำให้พวกเขาได้มีเพลงของ
ตัวเองและนำไปสู่การได้สัญญาบันทึกเสียงในที่สุด (แบบมี
เส้นเล็กน้อย) โดย Bob ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวงด้วย
ในตำแหน่งคีย์บอร์ด
พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงกันหลายครั้งก่อนจะจบที่ชื่อ The
Four Seasons และมีเพลงฮิตติดอันดับ 1 สามเพลงรวด
Sherry, Big Girls Don't Cry และ Walk Like A Man
ก่อนที่อุปสรรคใหม่ๆจะตามมากับความดังนั้น และทำให้
แฟรงกี้ต้องเป็นคนตัดสินใจว่าเขาจะเลือกอะไรระหว่าง
ความเป็นเพื่อนเก่าแก่ของเขากับทอมมี่หรืออนาคตของวง
มีช่วงเวลาดราม่าและความขัดแย้งอยู่นานพอสมควรจน
เกือบลืมว่านี่เป็นหนังเพลง
คลินต์สอดแทรกเรื่องราวเบื้องหลังการแต่งเพลงและการ
บันทึกเสียงเพลงดังลงไปในหนังอย่างชาญฉลาด,กระชับ
และเรียกรอยยิ้มได้ตลอด มีมุกเล็กๆที่บ๊อบนั่งดูทีวีใน
โรงแรมที่เป็นหนังคาวบอยที่คลินต์แสดงอีกด้วย
จอห์น ลอยด์ ยังก์ เล่นเป็นแฟรงกี้ในละครบรอดเวย์จน
คล่องแคล่ว เขาร้องเสียงหลบสูงได้อย่างน่าฟังอีกทั้งรูป
ลักษณ์ก็สมจริง แต่คนที่เด่นกว่าน่าจะเป็นวินเซนต์ในบท
ทอมมี่ เพราะสีสันและความเป็น"ร็อคสตาร์"ของเขามัน
แสบสันต์และน่าสมเพชเหลือเกิน
คลินต์คงไม่ได้ตั้งใจจะเก็บ Can't Take My Eyes Off
You มาไว้เป็นทีเด็ดช่วงท้าย เพราะเรื่องราวจริงๆมันก็
เป็นอย่างนั้น แต่อยากจะบอกว่าฉากนี้มันน่าตื่นเต้นจริงๆ
ในการที่ค่อยๆได้เห็นเพลงนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รวมทั้ง
ลีลาการต่อรองของบ๊อบที่จะทำให้สังคมเพลงป๊อบยอมรับ
เพลงนี้ (ส่วนตัวผมก็คิดว่านี่เป็นเพลงป๊อบที่ยิ่งใหญ่มากๆ
ด้วย) มันเป็นฉากที่ตื่นเต้น แต่ไม่ได้ดูเวอร์จนเกินเลย
หนังมาขมวดปมตอนการกลับมาร่วมร้องเพลงกันอีกครั้ง
ของ Four Seasons ในวัยชราบนเวที Hall of Fame
ในปี 1990 และคลินต์ก็ใช้ลูกไม้ง่ายๆของการทำหนังทำ
ให้ฉากนี้ออกมาน่าประทับใจเหมือนมีเวทย์มนตร์
แต่ฉากจบจริงๆ(มาพร้อมเครดิต)กลับเป็น fantasy street
 dance ในเพลงDecember'63 (Oh What A Night) ที่ตัว
ละครทั้งหมดออกมาเต้นร่วมกันบนถนน รวมทั้ง Walken 
ด้วย เป็นการจบที่เพอร์เฟ็คมากครับ (ในเบื้องหลังจะได้
เห็นคลินต์ออกมาเต้นกับเค้าด้วยในตอนถ่ายทำ และเหล่า
ดาราก็เชียร์ให้เขามาเข้ากล้องจริงๆ แต่ผู้กำกับอาวุโสไม่
เอาด้วย "ผมไม่มีหน้าที่อะไรตรงนั้น")
เป็นหนังประวัตินักดนตรีนุ่มๆที่ไม่ถึงกับคลาสสิก อาจจะ
เป็นเพราะเรื่องราวของพวกเขาไม่ได้หวือหวาอะไรนัก แต่
คลินต์ก็ไม่ได้พยายามทำให้แฟรงกี้และวงดูใหญ่โตเกิน
ความจริงอะไร จุดเด่นคือเพลงเพราะๆ, เสื้อผ้าและฉากที่
สวยงาม และ...การแสดงของคริสโตเฟอร์ วอลเก้น
อ้อ ลืมชมไปอีกเรื่อง การให้ตัวละครหันมาคุยกับคนดูเพื่อ
เล่าเรื่องเป็นระยะๆนั้นเป็นวิธีการเชยๆที่น่ารักและได้ผลมาก
ในหนังเรื่องนี้...อย่างน้อยก็กับผมครับ...ปู่คลินต์