Thursday 24 December 2015

25


Adele 25 ***1/2
Genre: Pop-Soul-R&B
Released: November 2015

·         Danger Mouse
·         Samuel Dixon
·         Paul Epworth
·         Greg Kurstin
·         Max Martin
·         Ariel Rechtshaid
·         Shellback
·         The Smeezingtons
·         Ryan Tedder

Tracklist
1. Hello
2. Send My Love (To Your New Lover)
3. I Miss You
4. When We Were Young
5. Remedy
6. Water Under The Bridge
7. River Lea
8. Love In The Dark
9. Million Years Ago
10. All I Ask
11. Sweetest Devotion

เมื่อสี่ปีก่อนตอนผมเขียนถึงอัลบั้ม 21 ของเธอ มันก็ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะกลายเป็นอัลบั้มประวัติศาสตร์แห่งยุคในแง่ของยอดขายขนาดนั้น ทำให้ Adele กลายเป็นนักร้องรุ่นใหม่หมายเลข 1 ของวงการดนตรีป๊อบไปอย่างไม่มีใครเทียบ ความสำเร็จนี้เป็นดาบสองคม คมแรกที่หันออกคือแง่บวกต่อศิลปิน เธอมีกำลังใจสูงส่งและพลังอำนาจในการที่จะผลิตงานใหม่ๆ แต่คมที่หันเข้าหาเธอก็คือความกดดันขั้นสูงสุด ถ้าตั้งเป้าจะทำให้ดีกว่าหรือเทียบเท่าความสำเร็จของ 21

ระหว่าง 21 กับ 25 Adele แต่งงาน มีลูกชาย และคิดจะวางมือจากวงการดนตรีไปดื้อๆ ด้วยแนวคิดที่จะจากไปในขณะที่ยิ่งใหญ่ โชคดีที่เธอเปลี่ยนความคิดนี้ และเปลี่ยนจากการเกษียณตัวเองไปตลอดกาลเป็นการพักผ่อนยาวๆแทน เธอเริ่มกลับมาทำงานดนตรีอีกครั้งในปี 2013 เมื่อลูกชายของเธออายุขวบกว่าๆ แต่อะไรๆมันไม่ง่ายอย่างนั้น ชีวิตของเธออาจจะลงตัวและมีความสุขเกินไป Adele เกิดอาการตีบตันในการเขียนเพลงอย่างแรง ก็น่าเห็นใจนะครับ เพราะ 21 เป็นอัลบั้มอกหักที่ผลักดันโดยความปวดร้าวที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเธอ แต่เมื่อไม่มีพลังแบบนั้นแล้ว เธอจะหาแรงบันดาลใจจากที่ไหน Adele พยายามแต่งเพลงจากชีวิตความเป็นคุณแม่มือใหม่ของเธอ แต่สักพักเธอก็ขยำโครงการนี้ขว้างทิ้ง ด้วยเหตุผลว่ามันแสนจะน่าเบื่อ

เธอเข้าๆออกๆสตูดิโอกับนักเขียนเพลงและโปรดิวเซอร์หลายคน แต่ก็ยังไม่ได้ผลิตผลอะไรเป็นเรื่องเป็นราว จนกระทั่งปลายปี 2013 การนั่งทำเพลงกับ Greg Kurstin (โปรดิวเซอร์คนโปรดของผม) ก็ทำให้ Adele ทำลายกำแพงแห่งความตีบตันนั้นสำเร็จ ด้วยเพลง “Hello” แต่กระนั้นมันก็ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็พรั่งพรู Adele มีส่วนร่วมแต่งเพลงทุกเพลงในชุดนี้ กับนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ระดับกระบี่มือหนึ่งแห่งพิภพป๊อบ ถ้าจะให้เดาว่าอะไรทำให้ Adele กลับมาแต่งเพลงได้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง ก็น่าจะเป็นการตระหนักรู้ว่านักแต่งเพลงที่ดี ไม่จำเป็นต้องเขียนเพลงจากชีวิตตัวเอง100%เสมอไป บทเพลงใน 25 คงจะมีหลายๆอย่างที่สะท้อนชีวิตของผู้หญิงคนนี้ แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่ทั้งหมด เราคงยากที่จะแบ่งแยกว่าอะไรเป็นอะไรในเนื้อหาเหล่านั้น แต่ก็ต้องชมว่า”ฉาก”ที่ Adele รังสรรค์ขึ้นมาในบทเพลงเหล่านั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวที่โดนใจ ทั้งถ้อยคำและภาพเสมือนที่มันก่อตัวขึ้นในมโนของพวกเราผู้ฟัง

25 เป็นอัลบั้มที่เป็นความหวังสำคัญของธุรกิจดนตรี มันเป็นงานที่พวกเขาหวังว่าจะกระชากคนให้เดินเข้าร้านซีดีอีกครั้ง (หรืออาจจะแค่กดสั่งออนไลน์ หรืออย่างน้อยก็ดาวน์โหลดแบบเสียเงิน) ในยุคที่การต้องจ่ายแบบนั้นใกล้เคียงกับการเป็นเรื่องประหลาดที่ไม่มีใครเขาทำเข้าไปทุกที และถึงตอนที่ท่านอ่านอยู่นี้ ท่านก็คงทราบแล้วว่า 25 ทำได้ ได้อย่างเหลือเชื่อเสียด้วย และอย่าแปลกใจถ้ามันจะทำได้ดีเท่าหรือมากกว่า 21

ภาพรวมของดนตรีใน 25 มีความแตกต่างที่ชัดเจนอย่างหนึ่งจาก 21 คือการใช้เสียงอีเล็กโทรนิคส์มากขึ้น ไม่เหมือน 21 ที่จะเป็นดนตรีสด แต่ไม่ต้องห่วง เสียงเปียโนที่เป็นเอกลักษณ์ในเพลงของเธอยังคงอยู่ คิดว่าเธอคงอยากให้ได้สุ้มเสียงที่แตกต่างจากเดิม และอาจจะเจาะตลาดได้มากขึ้น (ถ้าเป็นอย่างหลัง ไม่ค่อยเห็นด้วย) โปรดิวเซอร์หน้าเดิมอย่าง Paul  Epworth และ Ryan Tedder ยังคงมาร่วมงานใน 25 แต่ก็มีหน้าใหม่ๆมาเสริมอีกหลายคน Adele คุมเกมอยู่ ไม่ทำให้รู้สึกว่าทั้งอัลบั้มเป็นงานที่มากหมอมากความ หรือกระจัดกระจายไปคนละทิศทางแต่อย่างใด

ถ้าจะมีธีมหลักสักธีมใน  25 ก็คงเป็นคำว่า nostalgia หลายๆเพลงมีคำว่า “เมื่อเรายังเด็ก” จนน่าจะเอาไปเป็นชื่ออัลบั้มได้ และไม่ว่าอย่างไรเกือบทั้ง 11 เพลงก็เป็นแง่มุมต่างๆของความรัก

เมื่อได้ข่าวว่า Adele ทำการผ่าตัดเส้นเสียงในช่วงก่อนหน้านี้ ก็ให้รู้สึกเป็นห่วงว่ามันจะส่งผลต่อคุณภาพและพลังเสียงของเธอหรือไม่ เมื่อฟัง 25 จบ และตามดูการแสดงสดของเธอจากคลิปต่างๆก็บอกได้เลยว่าสบายใจได้ว่ามันไม่มีผลอะไรเลย เธอยังมีเสียงที่แหบนิดๆแต่บรรจุด้วยพลังยิ่งใหญ่ที่พร้อมระเบิดแบบเดิมอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ แต่นั่นอาจไม่สำคัญเท่า ความปราดเปรื่องในการใช้เสียงนั้นของเธอ Adele เป็นอัจฉริยะแห่งการร้องเพลงป๊อบแห่งยุคในหลายๆด้าน ที่โดดเด่นที่สุดคือการเว้นคำรวบคำ (phrasing) จังหวะจะโคนในการปลดปล่อยพลังเสียง การใช้เสียงหลบ (falsetto) ลูกคอเพราะๆ.... ผมคงชมไปได้เรื่อยๆจนหมดหน้ากระดาษ มันเป็นความหฤหรรษ์อย่างยิ่งในการเฝ้าฟังเธอร้องเพลง

น่าเสียดายที่ production ในอัลบั้มนี้ ทำร้ายเสียงสวยๆเธอไปพอสมควร หลายเพลงฟังดูดีกว่าเมื่อเธอร้องสด

แม้ว่ามันจะไม่ใช่เพลงที่ผมคิดว่าดีที่สุดในอัลบั้ม แต่ ‘Hello’ ก็เหมาะสมแล้วที่จะเป็นแทร็คแรกในอัลบั้มและซิงเกิ้ลแรก แฟนเพลงตอบสนองการกลับมาทักทายครั้งนี้ของเธออย่างปลื้มปิติล้นพ้น แต่เนื้อหาจริงๆมันเป็นเพลงรักที่ซับซ้อน มันคือความพยายามที่จะติดต่อคนรักเก่าที่ห่างหายกันไปอีกครั้ง เพียงเพื่อจะบอกลาไปตลอดกาล แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่เคยรับโทรศัพท์ของเธอ ‘Send My Love (To Your New Lover)’ มันคือ Someone Like You ในแบบคนผ่านชีวิตมาอีกระดับหนึ่ง เพลงอัพบีทที่สดใสที่สุดของอัลบั้ม ซึ่งแนวนี้จะมีใครแต่งและโปรดิวซ์ได้ดีไปกว่าคุณเจ้าพ่อเพลงป๊อบแห่งยุค Max Martin อีกเล่า (ร่วมโปรดิวซ์โดย Shellback)

อัลบั้ม Goon ของ Tobias Jesso, Jr. เป็นงานของศิลปินหน้าใหม่ที่ไพเราะที่สุดในรอบปี เขาร่วมแต่งและเล่นเปียโนใน ‘When We Were Young’ แทร็คที่ดีที่สุดใน 25 (บอกเลย) ราวกับว่าเธอได้เจอคนรักเก่า (อีกแล้ว)อีกครั้งในงานรียูเนียนของวิทยาลัย และได้จ้องตา,พูดคุยกันอีกครั้ง “You look like a movie. You sound like a song.” เป็นท่อนฮุคที่มหัศจรรย์ เพลงนี้ค่อยๆก่อร่างสร้างตัวจนพีคในนาทีท้ายๆ แหมนี่ถ้าเป็นซิงเกิ้ลแรกก็ไม่เลวเลยนะ (แต่ในแง่มุมของความแน่นอน ก็คงต้องยอมให้ ‘Hello’) เพลงนี้โปรดิวซ์โดยจอมเนี้ยบ Ariel Rechtshaid (ผลงาน-Vampire Weekend)

กลายเป็นว่าเพลงที่ทำกับมือเก่าที่เคยทำงานกับเธอมาแล้วอย่าง Epworth และ Tedder กลับอยู่ในระดับธรรมดาๆเท่านั้น อย่างI Miss You, Remedy และ Sweetest Devotion มันไม่ซาบซ่านอย่างงานของ Kurstin ที่นอกจากจะมี ‘Hello’ แล้ว ก็ยังมีเพลงจังหวะปานกลางที่มีเนื้อหาอ้อนรักอย่างที่ไม่คุ้นเคยในเพลงของ Adele อย่าง ‘Water Under The Bridge’ และ acoustic โชว์เสียงร้องเนื้อๆใน ‘A Million Years Ago’ ส่วนนาย Danger Mouse ได้โควต้ามาแทร็คเดียว ‘River Lea’ แต่ก็ขโมยซีนได้ไม่น้อย ด้วยซาวนด์หนืดๆของแกอันเป็นเอกลักษณ์ Samuel Dixon อาจจะเป็นโปรดิวเซอร์ที่ดังน้อยสุดในกลุ่มนี้ แต่ ‘Love In The Dark’ ของเขากลับโดดเด้ง เสียงเครื่องสายรายล้อมและประดับประดาเสียงร้องของ Adele ได้อย่างเลิศหรู

ลึกๆคงมีคำถามกันในหมู่ทีมงานที่ทำ 25 ว่า เพลงไหนจะเป็น ‘Someone Like You’ ในอัลบั้มนี้ (แทร็คสุดดังจาก 21) ถ้าจะมี มันก็คงจะต้องเป็น ‘All I Ask’ ที่เธอทำร่วมกับทีมงานของ Bruno Mars ที่จับอะไรก็เป็นทองไปหมด เนื้อเพลงรีดน้ำตาเหลือเกิน ฉากคือ คืนสุดท้ายของคนที่กำลังจะเลิกรักกัน เธอยอมรับว่า คงไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้วสำหรับรักเรา แต่.....

Look, don't get me wrong
I know there is no tomorrow
All I ask is...

If this is my last night with you
Hold me like I'm more than just a friend
Give me a memory I can use
Take me by the hand while we do what lovers do
It matters how this ends
'Cause what if I never love again?

ว่ากันตรงๆ มันก็ยังไม่โดนเท่า Someone Like You ล่ะ แต่ก็เยี่ยมมากๆ

ถ้าจะมีอะไรที่ 25 บอกกับเรา ก็คือ มันไม่ผิดที่จะมองย้อนหลังไปในอดีต แต่จงแน่ใจว่าขาของคุณยังก้าวไปข้างหน้า และถ้าเป็นไปได้-- เมื่อมีโอกาส.. ก็จงเคลียร์อะไรที่ค้างคานั้นเสียให้หมด 25 อาจจะไม่ใช่งานที่สมบูรณ์แบบ แต่ในเพลงที่มันลงตัวก็แทบจะหาจุดด้อยไม่ได้ ได้แต่หวังว่าตัวเลขของอัลบั้มต่อไปของ Adele คงไม่สูงนักนะ