Wednesday 21 April 2010

Ellie Goulding – Lights ***1/2


แนวดนตรี- Electropop, Folktronica

โปรดิวเซอร์-Starsmith, Frankmusik, Fraser T. Smith, Richard Stannard

ออกจำหน่าย 1 มีนาคม 2010

สาวน้อยผมบลอนด์ชาวอังกฤษท่าทางทะมัดทะแมงเต็มไปด้วยความมั่นใจวัย 23 ปีผู้นี้ เป็นศิลปินหญิงอีกคนในรอบสอง-สามปีที่ผ่านมาที่มีชื่อเสียงก้องประเทศก่อนที่จะออกอัลบั้มเสียอีก เหมือนกับ Adele และ Florence and the Machine ก่อนหน้านี้ เธอมีรางวัลรับประกันความสามารถจากนักวิจารณ์ “Critic’s Choice” จาก Brit Award 2010 และ “Sound of 2010” จาก BBC ที่คณะกรรมการพิจารณาจากผลงานซิงเกิ้ลและอีพีของเธอที่ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และลีลาในการแสดงสดบนเวที สองรางวัลนี้เป็นทั้งใบเบิกทางและอะไรที่ค้ำคอเธอไว้ในเวลาเดียวกัน (คู่แข่งของเธอในรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง Marina and the Diamonds, Delphic, The Drums ก็ล้วนแล้วแต่มีผลงานออกมาแล้ว และทำออกมาได้น่าสนใจทั้งสิ้น ซึ่งผมอาจจะนำมาพูดถึงในเวลาต่อไปครับ)

ด้วยความคาดหวังสูงเสียดฟ้านี้ ทำให้เสียงวิจารณ์อัลบั้มนี้ออกมาในสองแนวทางใหญ่ๆคือ 1) ค่อนข้างผิดหวัง ทำได้แค่นี้เองหรือกับสองรางวัลใหญ่ที่เธอได้มา 2) เสมอตัว แต่ก็ยังแอบหวังว่าอัลบั้มต่อไปจะทำได้ดีกว่านี้

เอลลี่จับกีต้าร์ครั้งแรกตอนเธออายุ 15 ปี แต่เริ่มมาสนใจในดนตรีแนวอีเล็กโทรนิคส์ตอนศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย Kent ‘Wish I Stayed’ เป็นเพลงแรกที่เธอประพันธ์ และด้วยความช่วยเหลือของนาย Frankmusik ศิลปินและโปรดิวเซอร์แนวอีเล็คโทรนิคก็ทำให้เอลลี่มีพัฒนาการในการทำดนตรีและแต่งเพลงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอสร้างชื่อเสียงมาจากผู้ตามนับล้านใน myspace และได้เซ็นสัญญากับ Polydor ในเดือนกันยายน 2009 ‘Under The Sheets’ เป็นซิงเกิ้ลแรกในชีวิตของเธอที่โปรดิวซ์โดย Starsmith (ผู้ซึ่งรับผิดชอบงานโปรดิวซ์ส่วนใหญ่ในอัลบั้ม) ไปได้ถึงอันดับ 53 ในอังกฤษ เธอเริ่มออกแสดงโดยเป็นศิลปินสนับสนุนให้ Little Boots ศิลปินแนวเดียวกันที่ได้รางวัลเดียวกันมาก่อนในเดือนตุลาคม และการได้ออกอากาศในรายการทีวี Later… ของ Jools Holland ก็ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักหน้าค่าตาเธอทั่วประเทศ (ในรายการนั้นเธอเล่นเพลง Under The Sheets พร้อมกับกลองชุดเล็ก และเล่นกีต้าร์ใน Guns And Horses คุณสามารถหาชมได้จาก youtube เอลลี่ออกจะตื่นเต้นเล็กน้อยและร้องได้ไม่ดีนัก แต่ก็ถือว่าสอบผ่าน)

และต้นปี 2010 ทุกคนก็รู้จักเธอในฐานะศิลปินที่น่าจับตามองที่สุดของอังกฤษในปี 2010 จากสองรางวัลดังกล่าว เอลลี่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อที่ถามว่าเธอกดดันไหมว่า ฉันก็พยายามจะสงบใจให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เหมือนทุกอัลบั้มและทุกเพลงในโลก ทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นเพียงน้ำจิ้มและความคิดเห็นของผู้อื่น ผมพยายามฟัง Lights แบบทำใจให้ว่างที่สุด มันเป็นอัลบั้มแนว Electropop ที่ไม่ใช่ dance music หรือ pop เฮฮาดาดๆ ผมออกจะชอบที่มีคนเลือกให้มันอยู่ในหมวด Folktronica เพราะมีหลายเพลงที่พอจะจินตนาการได้ว่าตอนที่เอลลี่แต่งมันกับกีต้าร์และเสียงร้องของเธอก่อนที่จะใส่บีทและสรรพเสียงทางอีเล็กโทรนิคส์มันก็น่าจะเป็นเพลงโฟล์คดีๆนี่เอง

เอลลี่มีเสียงร้องที่อ่อนเยาว์สดใสแต่คล่องแคล่วพร้อมจะไต่ขึ้นลงไปตามตัวโน๊ตดั่งใจต้องการ เสียงเธออาจไม่อลังการเท่า Florence Welch หรือแสบสันต์เท่า La Roux แต่ก็น่าฟังไปอีกแบบ (มีการใช้เครื่อง auto-tune ไม่น้อยใน Lights) สำเนียงเธอบางคำอาจฟังดูแปร่งๆเดาว่าอาจจะมาจากความเป็นเวลส์ที่เธอไปอยู่ในวัยเด็ก เอลลี่ยังร่วมแต่งเพลงทุกเพลงในอัลบั้ม และทุกเพลงก็สอบผ่านในด้านเมโลดี้ที่สวยงามน่าฟังและ pop sense สมบูรณ์แบบชนิดที่ถ้าไม่บอกก็ชวนให้คิดถึงเพลง Electric Pop จากวงแถบสแคนดิเนเวียน สื่อบางเจ้าสรุปว่าแนวทางของเอลลี่อยู่ระหว่าง Florence และ Little Boots และสรุปว่าเธอคือ Dido คนใหม่ไปเลย แต่ผมไม่เห็นด้วย ดนตรีและเสียงร้องของเอลลี่มีสีสันกว่า Dido ที่ขายอารมณ์นิ่งๆและลึกซึ้งมากกว่า ผมอยากจะบอกว่าเธอเหมือนกับ Bjork ในภาคที่ Pop สุดเหวี่ยง....ถ้าจะให้เปรียบจริงๆ จะว่าไปการเปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบนี้ก็ไม่ค่อยจำเป็นแล้วในยุคที่คุณสามารถคลิกฟังเพลงใดๆจาก youtube ได้ในพริ้วนิ้วเดียว

เอลลี่สรุปเองว่าอัลบั้มนี้เป็นเรื่องของ ส่วนผสมของความรักและการอกหักและความขัดข้องใจและความหมดหวังและความคิดถึงบ้านและความคิดถึงชนบท ในด้านเนื้อหานี่เป็นอัลบั้มที่เปิดเผยและจริงใจเกินกว่าอัลบั้ม Pop ธรรมดา แต่สุ้มเสียงอีเล็กโทรนิคอย่างนี้ก็น่าสงสัยว่าจะมีใครมาสนใจเนื้อร้องกันสักเท่าไหร่

คุณจะชอบ Lights ถ้าคุณรักดนตรีป๊อบที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีอีเล็กโทรนิคส์ยืนพื้นมีกีต้าร์และเปียโนโปรยปราย ฟังแล้วพอเต้นรำได้แต่ไม่จี๊ดจ๊าดอย่าง Lady Gaga แต่มีความละเมียดละไมพอที่จะนั่งหาความหมายหลายๆรอบทั้งด้านดนตรีและเนื้อหา ผมเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นของ Ellie Goulding ที่มองเห็นว่าเธอน่าจะไปได้อีกไกลครับ


Tracklist:

1. Guns And Horses

2. Starry Eyed

3. This Love (Will Be Your Downfall)

4. Under The Sheets

5. The Writer

6. Every Time You Go

7. Wish I Stayed

8. Your Biggest Mistake

9. I'll Hold My Breath

10. Salt Skin

She & Him - Volume Two ***1/2



She & Him : Volume Two

แนวดนตรี : Indie Pop , Folk
โปรดิวเซอร์: M. Ward
ออกวางจำหน่าย: มีนาคม 2010




ไม่ว่าคุณจะอายุสิบขวบหรือหกสิบ อารมณ์หวนหาอดีตอันแสนหวานย่อมมีเสน่ห์จับใจเสมอ และนี่คือนโยบายหลักของคู่ดูโอ She & Him อัลบั้มที่สองของเธอและเขายังคงดื่มด่ำอยู่กับสายลมแสงแดดและนิยามรักในวันคืน ของสังคมป๊อบอเมริกันยุคทศวรรษที่ 60 ถึง 70 แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากอัลบั้มแรก Volume One เมื่อปี 2008 (ช่างนานเหลือเกิน) แต่เชื่อได้ว่าจะไม่มีแฟนเพลงคนไหนบ่น เพราะความแหวกแนวล้ำยุคไม่ใช่แนวทางของ วงอยู่แล้ว ขอเชิญท่านขึ้นไทม์แมชชินลำน้อยที่มี M. Ward โปรดิวเซอร์และนักดนตรีสารพัดเครื่องเป็นกัปตัน (เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกวงซุปเปอร์กรุ๊ป Monsters of Folk) และสาวน้อยตาลูกกวาง Zooey Deschanel เป็น hostage นำท่านสู่แคลิฟอร์เนียย้อนกลับไปสี่สิบปี....

ผมเคยเขียนถึงอัลบั้มแรกของ She & Him ไปแล้วเมื่อสองปีก่อนด้วยความชื่นชม Zooey เป็นดาราที่หันมาจับไมค์ไม่กี่คนที่ทำได้ดีจนไม่ต้องใช้ชื่อเสียงจากการแสดงภาพยนตร์มาดึงแฟนๆ ส่วน M. Ward ก็ทำหน้าที่ผู้ชายเท้าหลังได้อย่างน่ายกย่อง เขาสร้างฉากเสริมบรรยากาศด้วยเสียงกีต้าร์ล่องลอย ออเคสตร้าบางเบา และเสียงประสานหน่อมแน้มอ้อยสร้อย ช่วยขับให้เสียงร้องทรงเสน่ห์ของ Zooey โดดเด่น ประหนึ่งจับดีเอ็นเอของเส้นเสียงนักร้องรุ่นพี่หลายๆคนทั้ง Karen Carpenter, Linda Ronstadt, Carly Simon, Carole King มาเย็บต่อกันใหม่ และเชิญท่าน Phil Spector ออกจากคุกมาชั่วคราวเพื่อแนะนำการโปรดิวซ์

นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกกับ Volume One แต่เมื่อฟัง Volume Two จบไปหลายๆรอบ ก็ได้คิดว่าการเปรียบเทียบเยี่ยงนั้นเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป She & Him สามารถสร้างเสียงของตัวเองได้แล้ว และฝีมือการทำดนตรีของ Ward ก็หลากหลาย เต็มไปด้วยฝีมือและรสนิยมเกินกว่าที่จะไปติดอยู่กับคำว่า Spector’s Wall of Sound หรือเสียงแบบแคลิฟอร์เนียที่ไบรอัน วิลสันทำไว้กับ The Beach Boys ผมอยากจะบอกว่า Ward ตอบโจทย์ในแต่ละเพลงของ Zooey อย่างคนที่สนุกกับดนตรี เขาพร้อมที่จะพลิกผันแนวทางการเรียบเรียงให้เข้าไปกับเนื้อหาและอารมณ์รวมถึงความหลักแหลมในการหยอดลูกกวาดหวานๆให้ผู้ฟังเสนาะหูกันเป็นระยะๆ

Zooey เป็นผู้ประพันธ์ 11 จาก 13 เพลงในอัลบั้มนี้ และถ้าไม่ทราบมาก่อนคงยากที่จะคาดเดาว่าสองเพลงที่เธอไม่ได้แต่งนั้นคือเพลงไหน เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่พ้นเรื่องของผู้หญิงที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆแห่งรัก หนักไปทางผิดหวัง แต่ไม่ฟูมฟายอาดูร เนื้อเพลงอย่าง “Sometimes lonely isn’t sad’ ในเพลงเปิดอัลบั้ม Thieves คือประโยคที่นำไปเป็นคำโฆษณาอัลบั้มได้เลย

และ Thieves *****ก็เป็น retro-50’s love song ที่สมบูรณ์แบบไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว... จังหวะร็อคอะบิลลี่เนิบๆ เครื่องสายเบาบาง เสียงร้องที่เหมือนกระซิบให้ตัวเองฟังในใจเศร้าพองามแบบนางเอกละครของ Zooey กีต้าร์โปร่งและไฟฟ้าแบ่งข้างกันปูพรมสนับสนุน “That won’t stop me crying over you…” ประโยคสุดท้ายของเพลงเป็นการจบแบบโบราณๆไม่มีการเคอะเขิน เป็นเพลงที่ฟังอ่อนหวานและเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดหยุมหยิมมากมายอย่างเหลือเชื่อ กีต้าร์ไฟฟ้ามีบทบาทมากขึ้นใน In The Sun *** จังหวะจะโคนหนักแน่นเป็นร็อคมากขึ้น กีต้าร์ไฟฟ้าเร่งเครื่องวาดลวดลายตลอดเพลงแต่ก็ยังนิ่มนวลอ่อนหวานทั้งเสียงร้องและเนื้อหาสมกับการเป็นซิงเกิ้ลแรก เสียงประสานสไตล์ถาม-ตอบขานรับซื่อๆถูกนำมาใช้อย่างได้ผลในท่อนสร้อย Don’t Look Back*** เต็มไปด้วยรายละเอียดหนาแน่นและมากมายทั้งเปียโนเครื่องสายและเสียงร้องสลับซับซ้อน เหมือนเป็น Wall of sound แห่งศตวรรษที่ 21 ที่ไม่ได้เรียงกันมาเป็นหน้ากระดานแบบยุค Phil Spector แต่วางชั้นของเครื่องดนตรีไว้ได้อย่างน่าฟัง Ridin’ In My Car*** เพลงเก่าของ NRBQ ที่ She & Him นำมาทำเป็นของตัวเองได้อย่างแนบเนียน เพลงนี้นาย Ward ได้โอกาสเดียวในอัลบั้มร้องคู่กับ Zooey

Me And You ***เปลี่ยนมุมมองจากเพลงรักหนุ่มสาวเป็นเพลงสไตล์สอนน้องเหมือนกับบางเพลงใน Volume One เพลงแบบนี้ถ้าคนร้องไม่มีเสน่ห์พอคงจะกระอักกระอ่วนพิลึก Gonna Get Along Without You Now*** เพลงเก่าของ Skeeter Davis ที่ Zooey ร้องแบบคันทรี่-โฟล์คได้อย่างสนุกสนาน นอกจาก Thieves แล้ว Lingering Still *****เป็นเพลงที่ผมประทับใจที่สุดในอัลบั้ม ไม่ได้มีอะไรพิลึกพิลั่น แต่ท่วงทำนองและความลงตัวของมันสามารถบอกได้ว่าออกมาจากตึก Brill Building โรงงานผลิตเพลงป๊อบชั้นยอดของยุค 60’s ได้เลย เพลงสุดท้าย If You Can’t Sleep*** น่าจะเป็น She ผู้เดียวไม่มี Him Zooey ร้องกับเสียงร้องแบ็คอัพ multi-track ของตัวเธอเอง.... คงจะไม่มีปัญหา อัลบั้มนี้ฟังแล้วนอนหลับสบายฝันดีไม่มีเครียด และอยากจะตื่นเช้ามาพบกับ Volume 3 เสียพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

ถ้าคุณเคยชอบ Volume One และไม่คาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลง ฟันธงว่าคุณจะรัก Volume Two ไม่น้อยกว่า นี่เป็นงานคลายร้อนที่เหมาะสำหรับนักฟังผู้กระหายความงดงามของเมโลดี้และดนตรีโปร่งบางแต่ไม่น่าเบื่อหน่าย....และเสียงร้องสวยๆของสาวที่งามพอๆกับเสียงครับ

Tracklist: ทุกเพลง Zooey แต่งเอง เว้นที่มีวงเล็บท้ายเพลง

"Thieves" — 4:08
"In the Sun" — 2:51
"Don't Look Back" — 3:23
"Ridin' in My Car" (Alan G. Anderson) — 3:15
"Lingering Still" — 3:02
"Me and You" — 3:20
"Gonna Get Along Without You Now" (Milton Kellem) — 2:32
"Home" — 4:41
"I'm Gonna Make It Better" — 3:32
"Sing" — 3:14
"Over It Over Again" — 3:30
"Brand New Shoes" — 3:05
"If You Can't Sleep" — 2:49