Thursday 5 March 2009

Fleet Foxes ดนตรีเหนือกาลเวลา


Fleet Foxes-Fleet Foxes*****

ขยับจะเขียนถึงงานของวงห้าชิ้นจากซีแอตเติลวงนี้มาหลายเดือนแล้ว
แต่ติดที่ว่าไม่เห็นมีใครนำซีดีมาขายในบ้านเราเสียที
จนกระทั่งมันได้รับคำชื่นชมไปทั่วโลกตลอดปี 2008 ในที่สุดอัลบั้มแรกของ Fleet Foxes
ก็ได้มาเผยโฉมปกอันสุดคลาสสิกบนแผงเทป (ที่ไม่มีเทปแล้วแต่ยังติดปากเรียกกันอยู่)
ประเทศไทย แถมมาในแบบ Special Edition ราคาประหยัด ปก gatefold และยังพ่วง Sun
Giant EP มาให้อีก อะไรจะคุ้มขนาดนี้ (ปกอัลบั้มนำมาจากภาพเขียนเก่าแก่ในปี
1559)

ดนตรีแบบนี้เขียนช้าไปค่อนปีก็คงจะไม่สายเกินไป เพราะมันเป็นดนตรีที่ไม่ร่วมสมัยนิยมเอาเสียเลย แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นดนตรีย้อนยุค ไม่มีวงดนตรีหน้าใหม่วงไหนจะเล่นดนตรีแนวใหม่ขึ้นมาโดยไม่อาศัยบทเรียนและอิทธิพลจากศิลปินรุ่นก่อนหน้า และ Fleet Foxes ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ความพิเศษของพวกเขาคือ การสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นซาวนด์ของวงโดยตรงทั้งในรูปแบบของดนตรี การบันทึกเสียง รวมถึงวิธีการเขียนเนื้อเพลง

พวกเขาเรียกแนวดนตรีของตัวเองว่า Baroque Harmonic Pop Jams ที่ผมคิดว่าเป็นการบรรยายที่ไม่เลว ดนตรีและเนื้อหาของพวกเขาสะท้อนถึงความเป็นอเมริกันย้อนหลังไปกว่าครึ่งศตวรรษ การประสานเสียงเป็นจุดขายที่โดดเด่น และพวกเขาก็ไม่ลืมความเป็น Pop ด้วยท่วงทำนองที่สละสลวย ตบท้ายด้วยคำว่า Jams ซึ่งในที่นี้ผมอยากจะตีความว่าเป็นทิศทางของดนตรีที่ยากจะคาดเดา หลุดพ้นโดยสิ้นเชิงจากสูตรสำเร็จของเพลงที่เราฟังกันอยู่ทุกวี่วัน ไม่น่าเชื่อว่านี่คืองานของกลุ่มเด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่าที่เพิ่งรวมตัวกันแค่สามปีเท่านั้น

มันสมองและหัวใจของ Fleet Foxes คือหนุ่มวัย22 ผมเผ้ากระเซิงพอๆกับเครารกครึ้ม Robin Pecknold ที่แต่งเพลงทุกเพลง,ร้องนำและเล่นกีต้าร์ เสียงร้องของเขาเข้มแข็งและอบอุ่น เต็มไปด้วยความมั่นใจในถ้อยคำทุกประโยคในเนื้อเพลง Robin และ Skyler Skjelset มือกีต้าร์อีกคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ high school ผู้ปกครองของทั้งคู่มีส่วนทำให้สองหนุ่มสนใจในวิธีการแต่งเพลงของ Bob Dylan,ความเป็นอิสระแบบ Neil Young,การทำชั้นดนตรีซ้อนซ้ำในแบบของ Brian Wilson,การตั้งสายกีต้าร์พิลึกพิลั่นของ Joni Mitchell และเสน่ห์ของชีวิตชนบทในดนตรีของ The Zombies -เหล่านี้กลายมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างดนตรีในแบบของ Fleet Foxes อย่างไรก็ตามต้องย้ำว่าพวกเขาไม่ได้ทำดนตรีย้อนยุคแบบเคารพต้นฉบับที่กล่าวมาแล้วแต่อย่างไร ถ้าจะไม่เกินเลยเกินไปผมอยากจะบอกว่า มันราวกับดนตรีของ Fleet Foxes ,อย่างน่าอัศจรรย์, ย้อนลึกกลับไปในห้วงเวลาเป็นสุ้มเสียงที่กลายเป็นต้นฉบับของศิลปินรุ่นพี่ป้าน้าอาเหล่านั้นอีกที!

อัลบั้มนี้บันทึกเสียงกันในปี 2007 ที่บ้านของพวกเขา,บ้านเพื่อนๆและแม้กระทั่งบ้านพ่อ-แม่ รวมถึงสตูดิโอทั้งในอังกฤษและอเมริกา แต่สุ้มเสียงของมันกลับเหมือนพวกเขาเล่นกันอยู่ในโบสถ์เก่าๆที่ไม่มีใครเคยย่างกรายเข้ามานับสิบปี หรือในถ้ำเย็นยะเยือกท่ามกลางหินงอกหินย้อย ใต้ร่มไม้ กลางป่าเขาลำเนาไพร มากกว่าที่จะเป็นห้องอัดเสียงชั้นนำ มันยังเป็นอัลบั้มที่ใช้เสียงเอ็คโค่และดีเลย์ได้พร่ำเพรื่อ-แต่ทรงประสิทธิภาพที่สุดตั้งแต่ผมเคยฟังดนตรีมา ยากที่จะจินตนาการเพลงของพวกเขาโดยไม่มีเสียงก้องกังวานเหล่านั้นติดมาด้วย

Fleet Foxes คืองานคลาสสิกที่ไม่ต้องรอให้เวลาพิสูจน์ มันเต็มไปด้วยอารมณ์แห่งความเป็นมนุษย์ที่หาได้ยากในดนตรีทุกวันนี้ มิตรภาพ ครอบครัว ความสูญเสีย และการผจญภัย คือสิ่งที่คุณจะได้พบในโลกของพวกเขา มันเป็นงานเปิดตัวของศิลปินใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมานับจากอัลบั้มแรกของ Arctic Monkeys มันเยี่ยมเสียจนแทบจะมองไม่เห็นเลยว่า Pecknold และเพื่อนๆจะเอาตัวรอดกันได้อย่างไรกับอัลบั้มถัดไปของ Fleet Foxes

เพลงเด่น-White Winter Hymnal, Ragged Wood, Your Protector

Wednesday 4 March 2009

ยังไม่เห็นเส้นขอบฟ้าสำหรับวงดนตรีชื่อ "ยูทู"


U2 No Line On The Horizon (four and a half stars)



ผมก็เหมือนแฟนๆยูทูนับล้านๆทั่วโลกที่รู้สึกหงอย ใจหาย และอาจถึงขั้นสยดสยองกับซิงเกิ้ลแรกจาก No Line On The Horizon 'Get On Your Boots' ยิ่งจินตนาการเห็นผู้ชายวัยร่วม50มาดีดดิ้นกับเพลงเต้นรำแปลกๆอย่างนี้ยิ่งทำให้ฝันร้ายชัดเจนเข้าไปใหญ่ มันทำให้ผมแทบจะ ไม่หวังอะไรกับตัวอัลบั้มเลย ก็ธรรมดาซิงเกิ้ลมักจะเป็นเพลงที่ดีที่สุดของอัลบั้มไม่ใช่หรือ

แต่เมื่อได้ฟัง No Line... เต็มๆแล้ว ความวิตกเหล่านั้นก็อันตรธาน เพราะไม่มีเพลงใดออกไปในแนวทางเดียวกับ 'Boots' เลย และที่น่า ประหลาดคือเพลงนี้เมื่อมาแทรกอยู่กลางอัลบั้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์แบบ ambient กลับโดดเด่นขึ้นกว่าลอยอยู่เพลงเดียวกลางอากาศ

ผมหาเหตุผลได้สองอย่างว่าทำไมยูทูถึงเลือก Boots เป็นซิงเกิ้ลทั้งๆที่มันน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นในหลายๆแทร็ค หนึ่งก็คือ พวกเขาใกล้ชิดกับ มันมากเกินไปจนไม่อาจเดาใจผู้ฟังได้ว่าถ้าฟังมันในฐานะซิงเกิ้ลแล้วมันไม่น่าจะเวิร์ค มันเป็นเพลงเต้นแร้งเต้นกาก็จริง แต่แฝงคุณค่าทางดนตรี และเนื้อหาที่ซับซ้อนแดกดันและอารมณ์ขันเต็มไปหมด...แน่นอนว่าแฟนๆอาจจะไม่ get เหตุผลที่สองที่ออกจะเป็นไปได้ยากก็คือ...พวกเขาต้องการลดความคาดหวังในตัวอัลบั้มลงด้วยการนำเพลงที่กระจอกที่สุดออกมานำร่อง ถ้าพวกเขาคิดอย่างนี้จริงๆก็ต้องยกให้เป็นอัจฉริยะทางการตลาดล่ะครับ

No Line On The Horizon คือทิศทางใหม่อีกครั้งสำหรับพวกเขา หลังจากหลงทางลงห้วยตกเขาไปกับอัลบั้ม Pop ช่วงทศวรรษ 90's จนหลาย คนคิดว่าพวกเขาจะหาทางกลับมาบนท้องถนนแห่งดนตรีป๊อบไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ตั้งหลักใหม่และยื่นใบสมัครเพื่อเป็นวงร็อคที่ดีที่สุดในโลกอีก ครั้ง(คำพูดเว่อร์ๆของโบโน)ใน All That You Can't Leave Behind (2001) ที่จงใจจะให้เป็นยูทูแบบคลาสสิกเน้นความเรียบง่ายและจับใจ โลกตอบรับและโอบกอดสี่หนุ่มไอริชอย่างอบอุ่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความโหยหาอารมณ์เดิมๆและบทเพลงในชุดนั้นมันเฉียบแทบทุกแทร็ค อัลบั้มต่อมา How To Dismantle An Atomic Bomb (2004) พบว่ายูทูยังเดินตามแนวทางเดิมเพียงแต่เพิ่มสีสันที่ดุเดือดขึ้นระดับหนึ่ง

...Atomic Bomb เป็นอัลบั้มที่เยี่ยม แต่สำหรับวงดนตรีที่อยากจะอ้างว่าเป็นวงที่ดีที่สุดในโลก งานแบบนั้นมันยังไม่สมศักดิ์ศรีเพียงพอ ผมบอก พวกเขาผ่านทางกระแสจิตตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้วว่า อัลบั้มต่อไปของพวกพี่ๆจะมาเดินตามทางเดิมอย่านี้ไม่ได้แล้วนะ พวกเขาต้องมีอะไรใหม่ๆมาฝากแฟนๆ ถ้ายังอยากประชันกับรุ่นน้องอย่าง Radiohead หรือรุ่นหลานอย่าง Coldplay และอะไรใหม่ๆนั้นก็ไม่จำ เป็นต้องใหม่เอี่ยมนักก็ได้

การจับคู่ระหว่างยูทูกับโปรดิวเซอร์ผู้เชี่ยวชาญในการชุบชีวิตศิลปิน Rick Rubin เป็นความล้มเหลวอย่างน่าเสียดาย พวกเขาอาจจะยังไม่ตกต่ำ เพียงพอที่จะเรียกใช้งานของกูรูเครางาม และแนวทางการทำเพลงของรูบินก็ต่างจากวิธีของยูทู รูบินชอบทำเพลงเสร็จมากจากบ้านแล้วมาแต่งเติม ในห้องอัด แต่ยูทูนั้นทำงานแบบ "พวกกึ่งสมัครเล่น ไร้รูปแบบ" ตามคำบอกเล่าของ ลารี่ มัลเลน จูเนียร์ มือกลองคนหนุ่มตลอดกาลของวงเอง

รูบินจึงต้องไป และพวกเขาก็หันกลับไปหาซี้เก่า Brian Eno, Daniel Lanois และ Steve Lillywhite ที่เคยสร้างผลงานเกริกไกรกันมาแล้วใน อดีต แต่บุคคลที่น่าจะมีอิทธิพลกับเสียงของ No Line มากที่สุดก็คือ Eno

No Line ไม่มีเพลงที่เด่นมากๆออกมา แต่มันคืออัลบั้มที่ต้องฟังอย่างดูดดื่มต่อเนื่องตลอดเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง มันยังเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลาและ สมาธิในการซึมซับอรรถรสทางดนตรีที่ถูกระบายลงไปเป็นชั้นๆอย่างซับซ้อน ฟังยังไงนี่ก็คือ sound ของ Eno ชัดๆ ถ้าจะเทียบกับ Viva La Vida ของ Coldplay ที่ Eno ก็เป็นโปรดิวเซอร์เหมือนกัน ก็ราวกับหนังสองเรื่องที่มีผู้กำกับคนเดียวกัน แต่มีดารานำคนละคน

และพลังในการแสดงของดารามือเก่าจากไอริชคนนี้ก็ยังมีอยู่อย่างเหลือล้น!

นี่ไม่ใช่งานที่ฟังยากหรือซับซ้อนเกินไป พวกเขาฉลาดเกินไปกว่าที่จะฆ่าตัวเองด้วยการทำเพลงหลุดกรอบออกมาทั้งชุด Magnificent คือ คลาสสิกยูทูที่แฟนตัวจริงโหยหา อดัมย้ำเบสในแบบที่เขาเชี่ยวชาญ ขณะที่ The Edge พุ่งพล่านไปทั่วเพลง มันคือเพลงที่ให้คำตอบว่าพวกเขายังมีพลังในการทำเพลงแบบยี่สิบปีก่อนได้สบายๆแต่พวกเขาก็ทำให้ดูกันแค่เพลงเดียวพอ Moment Of Surrender***** ต่อยอดและพัฒนาจากเพลงบัลลาด-กอสเพลอย่าง Stuck In A Moment You Can't Get Out Of ใน All That You Can't Leave Behind ยาวกว่าเจ็ดนาที เสียงร้องของโบโนเข้มข้นและเร้าอารมณ์สุดยอด จะว่าไปเขาก็แทบไม่ เคยร้องแบบอื่น และที่เซอร์ไพรซ์คือโซโลหวานๆและล่องลอยจากคนใส่หมวกไหมพรมคนนั้น (อัลบั้มนี้ Edge ปล่อยของ--โซโลเพียบ!)

No Line On The Horizon**** ไทเทิลแทร็ค เสียงร้องและอารมณ์แบบพังค์ๆ การเดินทางของตัวโน้ตในท่อนเวิร์สน่าสนใจและไม่เหมือน เพลงใดๆก่อนหน้านี้ของยูทู Stand Up Comedy**** เล่นกับริฟฟ์แบบ Led Zeppelin และ I'll Go Crazy If I Don't Go Crazy Tonight ****ที่มีวิลไอแอมมาช่วยโปรดิวซ์ก็สนุกสนานในแบบที่ไม่นึกถึง The Black Eyed Peas แต่อย่างใด (ไม่ต้องห่วงไม่มีเสียงแรปจากวิล) โบโน กระชุ่นว่าชื่อเพลงนี้น่าเอาไปทำเป็นสโลแกนบนที-เชิร์ต

ที่เหลือคือเพลงร็อคลุ่มลึกที่เต็มไปด้วยแบ็คกราวน์แบบ ambient ของอีโนซึ่งต้องตั้งใจฟังซักหน่อย ผมชอบการเขียนเนื้อของโบโนในหลายๆ เพลงของอัลบั้มนี้ เขาใช้คำง่ายๆ แต่การเล่าเรื่องมีวิธีการที่น่าสนใจ รวมทั้งมุมมองของการใช้ตัวละครบุคคลที่สาม Unknown Caller ****ตัว ละครที่กำลังอยู่ในช่วงการตัดสินใจแห่งชีวิต(อาจจะเป็นการจบชีวิต) แต่ต้องมาเจอกับ SMS นิรนามที่ส่งข้อความสุ่มๆมาเป็นคำแนะนำกึ่งคำสั่งๆ สั้นๆ มันอาจจะได้ไอเดียมาจาก"ของเล่น"ของอีโนที่ชื่อ Oblique Strategies Card ที่เขาเอาไว้ใช้ตอนลูกค้าเกิดความตีบตันทางความคิด (เป็น การ์ดที่พิมพ์คำสั่งหรือคำแนะนำสั้นๆไว้เช่น "ใช้ตัวโน้ตให้น้อยลงหน่อย","ปล่อยตัวเองให้อยู่ในพื้นที่ไร้ค่า", "ทำให้สกปรก" หรือ "เปลี่ยนเครื่องดนตรีที่เล่นกัน" เป็นต้น เขาใช้มันมาตั้งแต่ปี 1975 และทำให้ลูกค้าของเขาหลุดพ้นจากกรอบเดิมๆมานักต่อนักแล้ว) FEZ-Being Born**** เกือบเป็นเพลงเปิดอัลบั้มในตอนแรกแต่พวกเขาเปลี่ยนใจเสีย น่าเสียดายนะครับ ผมว่ามันเหมาะทีเดียวและอาจจะเปลี่ยนโฉมอัลบั้มไปอีกทางหนึ่ง เพลงสงครามสองเพลงคือ White As Snow**** และ Cedars Of Lebanon*** เศร้าเหงาและได้อารมณ์เหลือเกิน

Breathe **** คือเพลงสุดท้ายที่จะพูดถึง อีโนบอกว่านี่คือ "เพลงที่ดีที่สุดที่ยูทูเคยทำมา" คุณ อาจจะไม่เห็นด้วยกับเขาก็ได้ แต่นี่คือเพลงที่เป็นตัว แทนของอัลบั้มนี้ครับ ถ้าคุณต้องการแค่สักเพลง ว่ากันว่านี่จะเป็น anthem เพลงต่อไปบนเวทีการแสดงของพวกเขา

ในฐานะแฟนที่ติดตามกันมาตั้งแต่เกือบต้นๆ (ผมเริ่มฟังที่ 'War') No Line On The Horizon คือความภาคภูมิใจอย่างสุดซึ้งที่ผมมอบให้พวกเขา นี่คืออัลบั้มที่แม้แต่นักฟังประเภทชอบของเสมือนจริงยังควรจะต้องละอายใจและรีบวิ่งไปจ่ายเงินซื้อซีดีให้พวกเขา เสียงร้องมหัศจรรย์ของ Bono ยังไม่ทำให้ผิดหวัง ส่วนกีต้าร์ของ The Edge นั้นเล่นได้เกินคาดหวังเสียอีก Larry กับ Adam ก็ยังคงเป็น Larry กับ Adam คนเดิมที่ หนักแน่นแต่ไม่โดดเด่นออกมา

ในแวดวงของวงดนตรีร่วมสมัยที่มีอิทธิพลสูงสุดของโลกปัจจุบัน Radiohead อาจจะสร้างสรรค์และมีลีลาที่เหนือชั้นกว่า แต่แลกหมัดกัน ครบ15ยก กรรมการรวมคะแนนแล้วยังชูมือให้พวกไอริชขี้เมาเสือเฒ่าลายครามกลุ่มนี้อยู่ครับ ส่วน Coldplay นั้นคงยังต้องทำน้ำหนักอีกซักระยะ นี่น่าจะเป็นเฟสใหม่ของวงที่ต่อจากยุค"เรียกแชมป์คืน"ในสองอัลบั้มก่อน มันคือพัฒนาการอีกขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับวงดนตรีที่อยู่กันมานานขนาดนี้

นับเป็นโชคดีของโลกที่มีวงดนตรีอย่าง U2!

หมายเหตุ-ท่านที่สนใจเรื่อง Oblique Strategies ของ Eno ลองไปเล่นฟรีๆได้ที่....
http://www.palace.net/~llama/oblique/

Monday 2 March 2009

Beatles ยึดอเมริกาในปี 1964 (พ.ศ. ๒๕๐๗)-3


ในวันจันทร์ที่2มีนาคม แค่9วันหลังจากพวกเขากลับจากอเมริกา เดอะ บีเทิลส์ เริ่มการถ่ายภาพยนตร์ A Hard Day's Night

ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยนักดนตรีป๊อบไม่ว่าจะเป็นอเมริกันหรืออังกฤษ แทบจะทุกเรื่องมีสถิติที่ย่ำแย่ทั้งนั้น

มันเป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่อไหวพริบและความชาญฉลาดของพวกเขาในการที่จะทำหนังให้ได้กำไรงามโดยใช้ต้นทุนต่ำๆ

แต่อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ของบีเทิลส์ก็ยังคงคุณภาพแบบของพวกเขาไว้อันปรากฏอยู่ในแทบทุกงานที่พวกเขาสัมผัส

แม้ว่าจะมีต้นทุนเพียงแค่ 180,000ปอนด์ จาก United Artists ซึ่งมองหนังเรื่องนี้เป็นแค่งานที่ทำออกมาโกยเงินแบบสุกเอาเผากินเท่านั้น และถ่ายทำกันในช่วงเวลาแค่แปดสัปดาห์
แต่ A Hard Day's Night ภาพยนตร์กึ่งสารคดีเรื่องนี้ก็กลับกลายเป็นหนังคลาสสิกในรูปแบบของมัน เป็นชิ้นงานศิลป์ที่จับห้วงเวลาของมันได้อย่างแท้จริง


ในขณะที่ไบรอัน เอ็บสไตน์เป็นผู้จัดการที่ปราดเปรื่องที่สุดเท่าที่วงจะหาได้ เขามีสไตล์ที่หล่อหลอมมาอย่างสมบูรณ์แบบ, วิสัยทัศน์,ความซื่อตรงไร้มายาและการอุทิศตนแบบถวายหัว

ขณะที่จอร์จ มาร์ตินก็เป็นโปรดิวเซอร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของวง สร้างสรรค์,พร้อมที่จะรับฟัง, เขาเป็นผู้ชำนาญการด้านดนตรีแต่ไม่มีประสีประสานักในด้านป๊อบหรือร็อค(ซึ่งกลับเป็นเรื่องดี) และช่ำชองในเรื่องการบันทึกเสียงเอ็ฟเฟ็คตลกๆ

และขณะที่ Dick James ก็เป็น music publisher ที่เหมาะเจาะสำหรับพวกเขา คุณลุงจอมอารักขาที่กระหายต่อความสำเร็จ

และขณะนี้ก็เป็นการก้าวเข้ามาของผู้กำกับโนเนม Richard Lester -ช่างสังเกต,ฉลาด,ชอบอะไรเหนือจริงและเขาก็เป็นคนที่ไม่มีใครคาดมาก่อนแต่ก็เป็นบุคคลที่ดีที่สุดสำหรับงานนี้

การกำกับของเลสเตอร์ใน A Hard Day's Night นั้นจัดว่าดีเลิศ ซึ่งจริงๆแล้วต้องให้เครดิตแก่ Alun Owen คนเขียนบทชาวลิเวอร์พูลที่ไบรอันและบีเทิลส์แนะนำเข้ามาด้วย อลันเคยทำงานทีวี,วิทยุและละครเวทีมาก่อน

แม้ว่าหลายปีต่อมา จอห์นจะวิพากษ์วิจารณ์การวางตัวบทละครที่ถอดแบบออกมาตรงๆ และความราบรื่นของหนัง แต่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนังที่น่าชม สนุกสนาน น่าสนใจ ฉลาดเฉลียว และตลกขบขัน ตั้งแต่ต้นจนจบ

ในช่วงเวลานี้ จังหวะในการทำงานของบีเทิลส์ ทั้งในด้านการถ่ายหนัง การแต่งเพลง การบันทึกเสียง การให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน การแสดงคอนเสิร์ท การปรากฏตัวทางทีวีและวิทยุ ทุกอย่างมันอัดแน่นไปหมด
แต่คุณภาพของงานกลับไม่เคยลดลงแต่อย่างใด

ในวันที่ 20 มีนาคม พวกเขาปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ 'Can't Buy Me Love' ออกมา ก่อนหน้านี้สามวัน อีเอ็มไอประกาศว่า, มันเป็นอีกครั้งหนึ่ง , ที่ยอดสั่งจองทะลุเกินหนึ่งล้านก๊อบปี้เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ในอเมริกามันขายไปได้ถึง 2,100,000 แผ่น

เดอะบีเทิลส์ได้ต่ออายุการมีเพลงติดอันดับหนึ่งต่อเนื่องกันอย่างยาวนานต่อไปทั้งสองฝั่งแอตแลนติก
ในอเมริกา 'Can't Buy Me Love' ช่วยเสริมความเป็นราชาอันดับเพลงของพวกเขาต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้ศิลปินอังกฤษไม่เคยเจาะเข้ามาได้เลยด้วยซ้ำ

ในบิลบอร์ดชาร์ท "Hot 100 " singles ในวันที่ 4 เมษายน 1964 แสดงให้เห็นว่ามีเพลงของบีเทิลส์อยู่ในอันดับ 1,2,3,4,5,31,41,46,58,65,68 และ 79
สัปดาห์ต่อมา มีซิงเกิ้ลอีกสองแผ่นจากบีเทิลส์บินเข้าสู่ชาร์ท ขณะที่ในอันดับของอัลบั้ม พวกเขาก็ยึดอันดับหนึ่งและสอง

มากไปกว่านั้น วงอื่นๆจากอังกฤษก็เริ่มดาหน้ากันเข้ามาสู่อเมริกา ด้วยบีเทิลส์ทำให้ชาวอเมริกันมองอังกฤษด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

ไม่ใช่เพียงแต่ในอเมริกาและอังกฤษเท่านั้น ที่บีเทิลส์ยึดอันดับเพลง ในออสเตรเลีย วันที่ 3 เมษายน 1964 เพลงของบีเทิลส์ก็ยึดอันดับใน Top six ของซิงเกิ้ลชาร์ทแห่งซิดนี่ย์ไว้โดยหมดจด
และที่ออสเตรเลียนี่เองที่บีเทิลส์มุ่งหน้าไป หลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์ A Hard Day's Night และอัลบั้มชื่อเดียวกัน


เมื่อมองย้อนกลับไป การทัวร์ออสเตรเลียครั้งนั้นไม่ได้เป็นเวลาที่แฮปปี้เท่าใดนักของวง ก่อนที่จะเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ทที่ เดนมาร์ค ฮอลแลนด์ และฮ่องกง ริงโก้ก็ล้มเจ็บลงด้วยอาการทอนซิลและลำคออักเสบเพียงวันเดียวก่อนวันที่ 3 มิถุนายนที่เป็นกำหนดการเดินทาง

มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะเลื่อนทัวร์ออกไป ดังนั้นจึงมีทางเลือกแค่ทางเดียว: จ้างตัวแทนชั่วคราว
จอร์จเป็นคนที่คัดค้านไอเดียนี้และเขาถึงกับเอ่ยว่าถ้าริงโก้ไม่ไปเขาก็จะไม่ไปเช่นกัน ("คุณหาตัวแทนไว้ได้สองคนเลย")


Sunday 1 March 2009

Good Vibrations




Good Vibrations
The Beach Boys





Good Vibrations - Beach Boys

แต่งโดย-Brian Wilson, Mike Love
โปรดิวเซอร์-Brian Wilson
ความยาว 3:39
สไตล์-Psychedelic Pop
ปี-1966

ใช้ม้วนเทปในการบันทึกเสียงรวมเวลาแล้วกว่า 90 ชั่วโมง บันทึกเสียงในสตูดิโอสี่แห่ง และงบบานปลายไปถึงห้าหมื่นเหรียญสหรัฐ คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นต้นทุนที่สูงเหลือเกินสำหรับการบันทึกเสียงอัลบั้มๆหนึ่งในปี 1966 แต่ขอโทษที... ทั้งหมดนี้มันเพื่อเพลงๆเดียว มหากาพย์แห่ง sunshine pop ของ The Beach Boys ‘Good Vibrations’

ผมเกิดไม่ทันเพลงนี้ และกว่าจะได้ยินมันก็ผ่านไปอีกหลายปี เพราะมันไม่ใช่เพลงฮิตที่จะเปิดกันทั่วไปในบ้านเราสักเท่าไหร่ รู้สึกไม่ค่อยพอใจที่มันเคยเอาชนะ Strawberry Fields Forever/Penny Lane ของ Beatles ในฐานะซิงเกิ้ลยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลในการจัดของนิตยสารดนตรีชื่อดังฉบับหนึ่ง (น่าจะเป็น Q) ในช่วงปลายทศวรรษที่ 90’s

แต่เมื่อได้สัมผัสกับ Good Vibrations แล้ว ความมหัศจรรย์ของมันทำให้ผมยอมรับได้ว่ามันไม่แปลกที่ใครจะโหวตให้มันเป็นเพลง Pop ที่ดีที่สุดที่เคยมีการตัดเป็น single กันมา

Brian Wilson เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของบทเพลงนี้ว่าจากแม่ของเขา Audree ที่พยายามอธิบายให้ฟังว่าทำไมสุนัขถึงเห่าใส่คนบางคนแต่บางคนมันก็กระดิกหางยิ้มแย้มให้ “หมามันสามารถรับแรงสั่นสะเทือนจากคนเหล่านี้ได้ เธอจะมองไม่เห็นมัน แต่เธอจะรู้สึกมันได้ สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับมนุษย์เช่นเดียวกัน”

ไบรอันไม่ใช่นักเขียนเนื้อเพลง เขาจึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่นในการเขียนเนื้อร้องสำหรับ Good Vibrations จากพล็อตในสมองของเขา Tony Asher ผู้เขียนเนื้อเพลงให้หลายเพลงในอัลบั้ม Pet Sounds ของ Beach Boys เป็นคนเริ่มต้นเขียน Good Vibrations แต่สุดท้าย final version เป็นฝีมือของสมาชิกวง Beach Boys อีกคน Mike Love

Derek Taylor เรียก Good Vibrations ว่าเป็น “ซิมโฟนีฉบับกระเป๋า” ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าเป็นการขนานนามที่เข้าท่า ไบรอันใช้เชลโล,เปียโน และ ธีรามีนในเพลงนี้ได้อย่างสุดคลาสสิก เขาลุ่มหลงอยู่กับการเสกสรรปั้นแต่งมันด้วยการบันทึกเสียงซ้ำแล้วซ้อนเล่า ขณะที่บีชบอยคนอื่นๆไปออกทัวร์ ไบรอันก็ยังคงขลุกอยู่กับ “การสั่นอันสวยงาม”ของเขาอยู่ในห้องอัด ตั้งแต่คืนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1966 จวบจนอีกเจ็ดเดือนต่อมา เขาจึงได้ผลลัพธ์สุดท้ายของ Good Vibrations

มันออกเป็นซิงเกิ้ลแบบ stand alone ในวันที่ 10 ตุลาคม 1966 และกลายเป็นเพลงอันดับ1เพลงที่สามของ The Beach Boys ถือเป็นชัยชนะของไบรอันและบีชบอยส์ทั้งในเชิงพาณิชย์,ความคิดสร้างสรรค์และการถ่ายทอดอารมณ์ลงในบทเพลง ต่อเนื่องจากอัลบั้มสุดยอดที่ออกมาในปีเดียวกัน Pet Sounds

น่าเสียดายที่ไม่มี true stereo mix ของเพลงนี้ให้ฟังกัน ไบรอันไม่ค่อยสนใจการทำเพลงเป็นสเตอริโอเท่าไหร่นัก เพราะเขามีหูใช้การได้เพียงข้างเดียว

หลังจากความสำเร็จของ Pet Sounds และ Good Vibrations ทำให้ไบรอันเริ่มมันมือ เขากับเพื่อนๆวางแผนจะทำอัลบั้ม Smile โดยใช้วิธีการเดียวกับที่บันทึกเสียง Good Vibrations โดยกะว่าจะให้อัลบั้มนี้คว่ำ Revolver ของ Beatles ในแง่ศิลปะสร้างสรรค์ลงให้ได้ (สองวงนี้ในช่วงนั้นกำลังแลกหมัดกันอยู่อย่างสนุกโดยเริ่มจาก Beatles ส่ง Rubber Soul ออกมาก่อน และ Beach Boys เอาคืนด้วย Pet Sounds ก่อนที่จะเจอกับหมัดหนักๆจาก Revolver) แต่ไบรอันก็ทำไม่สำเร็จ เขาเจอกับปัญหาโรคซึมเศร้า หวาดระแวง และการใช้ยา จนไม่อาจทำอัลบั้ม Smile ที่กะว่าจะให้มี Good Vibrations เป็นเพลงเอกอยู่ด้วยให้ลุล่วงไปได้ โปรเจ็คถูกทำให้ง่ายขึ้นและกลายมาเป็นอัลบั้ม Smiely Smile ที่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วย

ไม่มีใครคิดว่าในปี 2004 ไบรอันจะสานฝันอันยาวนานของตัวเองสำเร็จจนได้ เขานำโปรเจ็คนี้มาทำใหม่อีกครั้งในชื่อ SMiLE และ Good Vibrations ก็กลับมาในรูปโฉมใหม่ที่อาจจะไม่คลาสสิกเท่าเดิมแต่ก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง SMiLE ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทศวรรษแรกของมิลเลนเนียมนี้ทีเดียว

ไบรอันเคยบอกไว้ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออยากให้เพลงนี้ยิ่งใหญ่กว่า You’ve Lost That Lovin’ Feelin’ และอยากให้ตัวเพลงเองส่ง good vibrations ไปให้ผู้ฟังด้วย

ในความเห็นของผมไบรอันทำได้ทั้งสองอย่าง มันเหนือกว่า You’ve Lost… นัก และทุกครั้งที่ผมฟังมัน ก็ราวกับได้รับอะไรดีๆอย่างน่าประหลาดสะเทือนเข้ามาในวิญญาณข้างใน อัศจรรย์



I, I love the colorful clothes she wearsAnd the way the sunlight plays upon her hairI hear the sound of a gentle wordOn the wind that lifts her perfume through the airIm pickin up good vibrationsShes giving me excitationsIm pickin up good vibrations(oom bop bop good vibrations)Shes giving me excitations(oom bop bop excitations)Good good good good vibrations(oom bop bop)Shes giving me excitations(oom bop bop excitations)Good good good good vibrations(oom bop bop)Shes giving me excitations(oom bop bop excitations)Close my eyesShes somehow closer nowSoftly smile, I know she must be kindWhen I look in her eyesShe goes with me to a blossom worldIm pickin up good vibrationsShes giving me excitationsIm pickin up good vibrations(oom bop bop good vibrations)Shes giving me excitations(oom bop bop excitations)Good good good good vibrations(oom bop bop)Shes giving me excitations(oom bop bop excitations)Good good good good vibrations(oom bop bop)Shes giving me excitations(oom bop bop excitations)(ahhhhhhh)(ah my my what elation)I dont know where but she sends me there(ah my my what a sensation)(ah my my what elations)(ah my my what)Gotta keep those lovin good vibrationsA happenin with herGotta keep those lovin good vibrationsA happenin with herGotta keep those lovin good vibrationsA happeninAhhhhhhhhGood good good good vibrations(oom bop bop)(Im pickin up good vibrations)Shes giving me excitations(oom bop bop)(excitations)Good good good good vibrations(oom bop bop)Shes na na...Na na na na naNa na naNa na na na naNa na naDo do do do doDo do doDo do do do doDo do do

คลิปข้างล่างนี้คือ The Beach Boys Live 1976 with Brian's Birthday Party footage (feat. Paul McCartney) ที่ยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยายใดๆครับ ต้องชม!



Note:Scroll down to read a 'Good Vibrations' Mixtape at the bottom of this blog!

TUBULAR BELLS





Tubular bells เป็นเครื่องดนตรีตระกูลเครื่องเคาะ ตัวระฆังทำจากทองเหลือง ลักษณะเป็นท่อเส้นผ่าศูนย์กลาง30-38มิลลิเมตร ความแตกต่างของระดับเสียงของมันขึ้นอยู่กับความยาวของตัวท่อที่แขวนเรียงกันในแนวดิ่ง มันหนักอึ้งและไม่เป็นที่นิยมใช้กันในวงการนัก เสียงของมันคล้ายระฆังโบสถ์ คุณจะได้ยินเสียงของ tubular bells ได้ในเพลงคลาสสิกหลายเพลงในแนว programmatic อย่าง Symphonie Fantastique ของ Berlioz หรือ 1812 Overture ของ Tchaikovsky

แต่มนุษย์ที่ทำให้เครื่องดนตรีชิ้นนี้มีชื่อเสียงขึ้นมาที่สุดย่อมเป็น ไมค์ โอลฟิลด์ กับงานชื่อเดียวกับเครื่องดนตรีนี้ หรืออาจจะกล่าวอีกแบบได้ว่า tubular bells ก็มีบุญคุณทำให้ชื่อเสียงของไมค์ เป็นที่รู้จักในระดับเดียวกัน

ลองเพลย์ที่มีแค่สองเพลง แต่ละเพลงเป็นเพลงบรรเลงยาวเกินยีสิบนาที นักดนตรีคนเดียวเล่นเครื่องดนตรีร่วม30ชิ้น และเขาคนนั้นยังเป็นเด็กหนุ่มอายุแค่17ปีที่เพิ่งได้ออกแผ่นเสียงเป็นครั้งแรก กับตราแผ่นเสียงที่เพิ่งมีงานออกมาเป็นชิ้นแรกเช่นกัน ด้วยปัจจัยเช่นนี้ดูจะไม่เอื้ออำนวยให้กับความสำเร็จแม้แต่น้อย

แต่นี่คือปี 1973 ปีแห่งโปรเกรสซีพร็อค ยุคแห่งมหากาพย์ยาวเหยียด ดนตรีที่ซับซ้อนซ่อนปม และคอนเซ็พท์อัลบั้มท้าทายจินตนาการ มันจึงเป็นไปได้ และเป็นไปแล้วที่ Tubular Bells จะกลายเป็นหนี่งในอัลบั้มเพลงบรรเลงขายดีที่สุดตลอดกาล และมันก็ขึ้นหิ้งไปเรียบร้อยในฐานะหนึ่งในอัลบั้มโปรเกรสซีพที่นักฟังทุกคนต้องมีและศึกษา

ความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ของมันอาจจะมีปัจจัยหลายอย่างช่วยเกื้อหนุน แต่เนื้อแท้ทางดนตรีของ Tubular Bells เป็นสิ่งที่ควรนำมาวิพากษ์วิเคราะห์ ถึงทุกวันนี้ ความน่าตื่นใจที่มันเป็นผลงานของเด็กหนุ่มที่เล่นดนตรีสารพัดชิ้นคนเดียวไม่น่าจะนำมาเป็นเหตุผลหลักถึงความดีงามของมัน มันไม่สำคัญสำหรับคนฟังเลยแม้แต่น้อยว่าสรรพเสียงสี่สิบกว่านาทีที่เขาได้ยินนั้นมันจะมาจากฝีมือของนักดนตรีกี่คน หรืออายุเท่าไหร่

Tubular Bells เป็นงานดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมาจากการประพันธ์ดนตรีแบบคลาสสิก แต่ไม่ได้เล่นด้วยเครื่องดนตรีคลาสสิกแท้ๆ มีธีมหลักจำนวนหนึ่งที่วนกลับมาเป็นระยะๆและพาร์ทสั้นๆที่เชื่อมต่อกันอย่างเห็นรอยต่อได้แต่ไม่รู้สึกสะดุด ไมค์เล่นเครื่องดนตรีหลากหลายด้วยฝีมือระดับเลิศ ความแปรผันของอารมณ์และลีลาของดนตรีในแต่ละช่วงประหนึ่งผู้ฟังท่องไปในคลื่นสมองของชายเสียสติ ตั้งแต่สงบนิ่งเยี่ยงนิพพาน,ร่าเริงเหมือนเด็กน้อย,ยิ่งใหญ่ระทึกขวัญ....จนกระทั่งไปถึงความคลุ้มคลั่งแทบควบคุมไม่ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะไม่มีความหมายเลยถ้างานชิ้นนี้ขาดสิ่งนี้ไป....ความไพเราะและสวยงามของท่วงทำนองที่มีให้ฟังตลอดอัลบั้มตั้งแต่ Theme แรกอันโด่งดังของพาร์ทแรกจนกระทั่งท่อนสุดท้ายใน Part 2 ที่เป็นการนำเอาเพลงพื้นเมือง Sailor’s hornpipe มาบรรเลงแบบเร่งเร้า


ไมค์ โอลฟิลด์เริ่มชีวิตนักดนตรีตั้งแต่อายุเพียง 14 ปีด้วยการตั้งวง Sallyangie กับพี่สาวแซลลี่ สองปีต่อมาเขาได้ไปเป็นมือเบสให้วง The Whole World ของเควิน อายเออร์ส ช่วงราวปี 1971-2 ไมค์ได้มีโอกาสใช้เวลาว่างใน Abbey Road Studio บันทึกเดโมของ Tubular Bells ที่ตอนนั้นเขาให้ชื่อเล่นๆว่า Opus One ไอเดียของไมค์คือเขาอยากให้มันเป็นงานในแนวซิมโฟนิคที่มีหลาย movements โดยเขาจะเล่นเครื่องดนตรีทั้งหมดด้วยตัวเองโดยอาศัยเทคนิคการโอเวอร์ดับ ด้วยเครื่องบันทึกเทปที่เขายืมมาจากเควิน ไมค์ใช้แผ่นการ์ดบอร์ดเล็กๆปิดทับหัวลบของตัวเทปเอาไว้ทำให้เขาสามารถบันทึกเสียงเครื่องดนตรีชิ้นใหม่ๆลงไปได้โดยไม่ลบของเก่า

Opus One ได้รับการปฏิเสธจากบริษัทแผ่นเสียงทุกแห่งที่ไมค์เอาไปนำเสนอ มีเพียง ริชาร์ด แบรนสันคนเดียวที่พอจะเห็นแวว ขณะนั้นแบรนสันทำกิจการร้านขายแผ่นเสียงอยู่และเพิ่งสร้างสตูดิโอส่วนตัวเสร็จ แบรนสันและ ทอม นิวแมนเจ้าของร่วมห้องอัดอีกคนได้ยินเดโมของไมค์ ทั้งสองชอบไอเดียนี้และจับไมค์เซ็นสัญญา

ไมค์ใช้เวลาหลายเดือนในสตูดิโอของแบรนสันและนิวแมนบันทึกเสียงงานชิ้นเอกของเขา ซึ่งปัจจุบันมีชื่อแล้วจากเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งที่ไมค์เองยังไม่ทราบชื่อในตอนแรก เขาบอกให้แบรนสันช่วยไปหาเจ้า “ท่อเหล็กยาวๆที่แขวนๆเรียงกัน” นั่นมาให้หน่อย

บันทึกเสียงเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะหาที่ทางในการขาย เป็นเรื่องน่าเศร้าอีกครั้งที่ไม่มีบริษัทแผ่นเสียงใดแยแสที่จะปั้มมันออกมา

แบรนสัน ตัดสินใจตั้งบริษัทแผ่นเสียงขึ้นมาเองในนาม Virgin Records และ Tubular Bells ก็เป็นแผ่นเสียงแผ่นแรกของสังกัด ออกเมื่อ 25 พ.ค. 1973 มันประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อในอังกฤษและยุโรป แต่ในอเมริกานั้นต้องรอจนมันไปโผล่ในหนัง The Exorcist ในแบบตัดตอนสั้นๆ3นาทียอดขายของ Tubular Bells ถึงได้พุ่งถึง 16 ล้านแผ่นในเวลาต่อมา

ไมค์ปฏิเสธที่จะดูหนังเรื่องนี้จนกระทั่งปลายๆยุค 80’s

เขาชอบมันไหม?

“ผมหัวเราะแทบขาดใจตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะตอนที่เด็กผู้หญิงนั่นเริ่มทำหัวหมุนไปรอบๆ” (นึกว่าขำตอนอ้วกสีเขียว) และไมค์คิดว่าดนตรีของเขาน่าจะไปอยู่ในหนังที่ชาญฉลาดกว่านี้

ท่านจะได้ยินเสียงของ Tubular Bells เพียงครั้งเดียวในแผ่นเสียง ท่อนสุดท้ายของพาร์ทแรก วิเวียน สแตนแชล แขกรับเชิญจากวง Bonzo Dog-Doo-Dah Band ประกาศเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก่อนที่ไมค์จะเล่นมันด้วยท่วงทำนองเดียวกัน เสียงดนตรีชิ้นใหม่จะซ้อนทับลงไปบนเสียงเดิม(ที่ถอยห่างออกไป) เริ่มจาก "Grand piano; reed and pipe organ; glockenspiel; bass guitar; double speed guitar; two slightly distorted guitars; mandolin! Spanish guitar, and introducing acoustic guitar

And plus….TUBULAR BELLS!

หน้าปกแผ่นเสียงเป็นภาพ Tubular Bells ที่หักงอบิดเบี้ยว ราวกับจะผูกมัดอะไรบางอย่างให้ติดกับมันไปตลอดกาล


Beatles ยึดอเมริกาในปี 1964 (พ.ศ. ๒๕๐๗)-2




ขณะที่นักข่าวของอังกฤษในตอนนั้นกำลังพยายามที่จะโค่นบีเทิลส์ลงจากบัลลังก์หลังจากที่พวกเขาปั้นสี่เต่าทองขึ้นมาจากศิลปินเดินดินธรรมดาๆ(เป็นเรื่องไม่น่าแปลกสำหรับสื่ออังกฤษในยุคนั้น)

สื่ออเมริกันกลับอยู่ในช่วงที่หิวกระหายข่าวจากวงป๊อบอังกฤษที่กุมหัวใจเด็กวัยรุ่นทั้งชาติมาแล้ว
นักข่าวอเมริกันชั้นแนวหน้าพากันแห่มาปารีส เพื่อสัมภาษณ์พวกเขา


ไบรอัน เอ็บสไตน์ก็มีแขกมาเยี่ยมเช่นกัน เขาคือ Norman Weiss , theartrical agent จากนิวยอร์ค Weiss ทำงานให้ General Artists Corporation

และเขาอยู่ในปารีสในฐานะผู้จัดการของ Trini Lopez ซึ่งเป็นศิลปินที่แสดงในรายการเดียวกับบีเทิลส์ที่โอลิมเปีย

ก่อนหน้านี้ Sid Bernstein ผู้ร่วมงานของ Weiss ที่ GAC และเป็นโปรโมเตอร์อิสระในนามของบริษัทของเขา-Theatre Tree Productions ได้แสดงเจตจำนงในการดึงตัวบีเทิลส์ไปเปิดการแสดงที่ Carnegie Hall ในนิวยอร์คมาก่อนแล้ว

ซิดถึงขั้นกำหนดวันให้ว่าเป็นวันที่ 12กุมภาพันธ์ แต่ไบรอันยังไม่อยากจะจองตัวให้บีเทิลส์เล่นที่ไหนจนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม

และขณะนี้เวลานั้นมาถึงแล้ว และ Weiss ในนามของ Bernstein ก็ได้ตกลงทำสัญญากับไบรอันเรียบร้อยในกรุงปารีส ด้วยค่าตัว 7,000ดอลลาร์ สี่เต่าทองตกลงจะแสดงสองรอบ

เวสส์ยังเซ็นสัญญาให้พวกเขาไปเปิดการแสดงรอบเดียวที่ Washington DC ในวันที่ 11กุมภาพันธ์อีกด้วย

ในวันที่ 3กุมภาพันธ์ ก่อนที่บีเทิลส์จะสิ้นสุดการแสดงสามสัปดาห์ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักของพวกเขาในปารีส สี่เต่าทองเดินทางไปที่สถานทูตอเมริกันในปารีสเพื่อทำวีซ่าและหนังสืออนุญาตที่จำเป็นในการเข้าเมืองและทำงานในอเมริกา

ในวันที่5 พวกเขาเดินทางกลับอังกฤษ

สองวันต่อมา ในวันศุกร์ที่7 กุมภาพันธ์ เวลาท้องถิ่น 13:20 นาฬิกา เครื่องบินโบอิ้ง 707 ของ Pan American เที่ยวบิน PA101 ได้นำผู้โดยสารจำนวนหนึ่งมาแตะพื้นสนามบิน John F Kennedy International Airport ในนิวยอร์ค

แน่นอน-สี่คนในบรรดาผู้โดยสารเที่ยวนั้นก็คือเด็กหนุ่มสี่คนผู้โด่งดังจากลิเวอร์พูล

การต้อนรับที่มีให้พวกเขานั้นน่าตื่นตระหนกนัก-แม้ว่าจะวัดจากมาตรฐานที่สุดโต่งของ Beatlemania แล้วก็ตาม
เสียงกรีดร้องอย่างดุเดือดจากแฟนๆสามหมื่นคนสาดกระหน่ำลงมาที่เต่าทองทั้งสี่

บีเทิลแต่ละคนให้ฉงนสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับการต้อนรับที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้

อเมริกาไม่ได้มีดาราเพียงพอต่อความต้องการของพวกเขาแล้วหรือ?
ไม่ใช่อเมริกาหรอกหรือ ที่สร้างสรรค์ดนตรีอันเป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อเดอะ บีเทิลส์ในตอนแรกเริ่ม

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำอยู่-แน่นอน-เป็นการมอบคืนกลับให้ชาวอเมริกัน ในสิ่งที่พวกเขามีอยู่แล้ว

สิ่งที่บีเทิลส์ไม่ได้ตระหนักก็คืออเมริกา,ในห้วงเวลาแห่งการอาดูรหลังการลอบสังหารประธานาธิบดีเคเนดี้,นั้น ยิ่งกว่าพร้อมที่จะต้อนรับบันเทิงคดีที่จะทำให้พวกเขาลืมความโศกนี้ได้

ราวกับว่าประชากรทั้งหมด(ออกจะฟังดูวิตถารไปหน่อย เมื่อมองจากยุคปัจจุบัน) ตกอยู่ในอำนาจของเดอะ บีเทิลส์โดยสิ้นเชิง--ด้วยความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า

ในวันที่9 กุมภาพันธ์ ต่อหน้าผู้ชมวัยรุ่นนิวยอร์ค 728คนที่อยู่ในอาการคลุ้มคลั่งสุดๆ เดอะ บีเทิลส์ได้แสดงสดในรายการ The Ed Sullivan Show เป็นครั้งแรก

มีรายงานจาก The A C Nielsen rating ว่าจำนวนบ้านที่เปิดดูรายการนี้คือ 23,240,000 หลัง , ก็คือประมาณว่า 73ล้านคน ทำลายสถิติโลกสำหรับจำนวนผู้ชมที่ชมทีวีมากที่สุด

สองวันหลังจากนั้น ท่ามกลางบรรยากาศโกลาหลสุดขีด เดอะ บีเทิลส์ก้าวขึ้นเวทีที่ Washington Coliseum และเปิดคอนเสิร์ทครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา

24ชั่วโมงต่อมา ความอลหม่านในระดับเดียวกันก็ย้ายมาต้อนรับพวกเขา ในการแสดงสองรอบที่ Carnegie Hall อันโด่งดัง ซึ่ง ณ ที่นี้ ต้องใช้ตำรวจถึง 362 นายมาอารักขาเพื่อให้แน่ใจว่าเดอะ บีเทิลส์จะไม่ได้รับภยันตรายใดๆจากแฟนเพลง

เมื่อบีเทิลส์บินออกจากอเมริกาในวันศุกร์ที่ 21กุมภาพันธ์ พวกเขาทิ้งชาวอเมริกันผู้ตกอยู่ในความหลงใหลยิ่งนักไว้เบื้องหลัง-มันเป็นความจริงที่อธิบายไม่ได้และไม่น่าจะเป็นไปได้

แต่ไบรอัน เอ็บสไตน์ผู้ซึ่งวางแผนแยบยลเกี่ยวกับการมาเยือนอเมริกาไว้ในใจล่วงหน้าแล้ว ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีผู้จัดการคนไหนเขาทำกัน

ไบรอันปฏิเสธข้อเสนอมากมายที่ต้องการให้บีเทิลส์กลับมายังอเมริกาโดยทันทีอย่างสิ้นเชิง (อันเป็นการเพิ่มค่าตัวในการปรากฏตัวทางโทรทัศน์ยิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียโอกาสดีๆในการโปรโมทไป)

ด้วยความกลัวที่จะเป็นอะไรที่โหลเกินไป และ การตระหนักถึงความต้องการในที่อื่นๆอีก เดอะ บีเทิลส์จึงไม่ได้กลับมาอเมริกาเหนืออีกจนกระทั่งเดือนสิงหาคม

ถ้าปี 1963เป็นปีที่บีเทิลส์ครองเกาะอังกฤษ 1964 ก็ต้องเรียกว่าเป็นปีที่พวกเขาครองโลก

หลังจากกลายเป็นอมตะไปแล้วในบ้านเกิดตัวเอง ผู้จัดการหนุ่ม ไบรอัน เอ็บสไตน์ เริ่มสอดส่ายสายตาไปยังที่หมายอื่น

ในวันที่9มีนาคม ขณะที่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานที่ NEMS' new London office (ซึ่งตั้งอยู่ถัดจาก London Palladium แบบมิได้มิจงใจ) เขาได้สำรวจกำหนดการแสดงที่ ออสเตรเลีย,ฮอลแลนด์, เดนมาร์ค,ฮ่องกง และ สวีเดน

ส่วน Arthur Howes โปรโมเตอร์ชาวอังกฤษก็รู้สึกคึกคักนักที่จะทำทัวร์ในบ้านเกิดอีกครั้ง

และไบรอันเองก็อยากที่จะให้มีการแสดงบนเวทีในแบบคริสต์มาสโชว์ในตอนปลายปีอีกครั้งหนึ่ง

และสุดท้ายแล้ว เดอะ บีเทิลส์ ก็ได้ทำทุกสิ่งที่ว่ามาหมดเกลี้ยงในปี1964นี้ และแถมยังบันทึกเสียงสองอัลบั้ม,ซิงเกิ้ลอีกจำนวนหนึ่ง และ ภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่อง