Thursday 24 November 2016

Hardwired... to Self-Destruct

โลหะโลกา โลกนี้ของเมทัลลิก้า
Metallica : Hardwired…to Self-Destruct ****
Genre: Thrash Metal
Producers: Greg Fidelman, James Hetfield, Lars Ulrich
Released : November 2016



จากความเป็นราชาแห่ง Thrash หรือ Speed Metal ที่ไม่มีใครไม่ยอมรับในฝีมือแต่ไม่อาจขยายวงได้กว้างกว่านั้น พวกเขายอมตัดความเวิ่นเว้อในการกระหน่ำดนตรียาวเหยียด ใส่จังหวะจะโคนที่ลดทอนความเร็วลงเหลือเท่าๆมนุษย์มนาทั่วไปและท่อนฮุ๊คสุดหนึบลงไปเพิ่ม และก้าวขึ้นครองโลกดนตรีร็อคหนักในปี 1991 ด้วยอัลบั้มชื่อเดียวกับวง “Metallica” หรือแฟนๆอาจจะเรียกกันติดปากว่า “Black Album” (คนไทยบางกลุ่มเรียกมันว่าอัลบั้ม “งูสปริง”)

แต่นับจากนั้นมา Metallica ไม่เคยครองความสำเร็จได้ในระดับเดิมอีก อัลบั้มถัดมาไม่ว่าจะเป็น Load, Reload, St. Anger ล้วนแต่สร้างความผิดหวังไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะ St. Anger ที่ทำให้หลายคนเลิกฟังพวกเขาไปเลย (เราจะไม่ซ้ำเติมพวกเขาตรงนี้อีก) Metallica ทำท่าจะกลับมาได้ในปี 2008 ด้วยงานที่ย้อนกลับไปทำดนตรีในยุคแรกๆกันอีกครั้งใน Death Magnetic แต่ก็เหมือนรหัสลับบางอย่างจะยังมาไม่เต็ม และที่ร้ายแรงและฆ่าอัลบั้มทั้งเป็นคือการทำมาสเตอร์ที่มีการคอมเพรสระดับหายนะ (เสียงดังจนแตกแทบฟังไม่ได้) กลายเป็นหนึ่งในตำนานแห่ง loudness war ที่ไม่น่าภูมิใจเอาเสียเลย

ตลอดเวลาแห่งความไม่สมหวังในผลงานจากห้องอัดนั้น เมื่อเราลองมาพิจารณาการแสดงบนเวทีของพวกเขา จะเห็นได้ว่าพลังและฝีมือทางดนตรีของ James, Kirk, Lars และ Robert ไม่ได้ถดถอยลงไปเลย แม้อายุอานามจะเข้าหลัก 50 ชัดเจนว่าปัญหาของพวกเขาคือทิศทางในการทำดนตรีใหม่ๆมากกว่าปัญหาไม่มีแรงจะเล่น

หลังจาก Death Magnetic Metallica ทิ้งช่วงไปอีก 8 ปี นี่คือการกลับมาที่คงจะสมบูรณ์แบบไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทั้งด้านการตอบรับจากแฟนเพลงและนักวิจารณ์ แฟนๆหลายคน,ทั้งๆที่ปลื้มปีติจนน้ำตาไหลพราก อาจจะอยากถามพวกเขาว่า ทำไมไม่ทำเพลงแบบนี้ตั้งนานแล้ว?

คำตอบ....ไม่รู้สิครับ อาจจะเป็นเพราะพวกเขาลองผิดลองถูกมาหมดในหลายปีที่ผ่านมา จนไม่เหลือทิศทางอื่นแล้ว นอกจากการทำดนตรีในแบบที่ตัวเองสนุกและถนัด โดยเก็บเอาข้อดีของแต่ละยุคที่ผ่านมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย ไม่ต้องไปคิดจะหาแนวทางใหม่ๆแหวกแนวให้แฟนๆด่ากันอีกต่อไป แก่นแท้ของสุ้มเสียงของ Hardwired… to Self-Destruct น่าจะยืนตรงจุดของ Metallica (1991) และตัดแปะ แทรกซึมด้วยสุ้มเสียงแห่งสมัยต่างๆตามความเหมาะสมในแต่ละแทร็ค

ชัยชนะข้อแรกของงานนี้คือ มันบันทึกเสียงมาดีมาก ไม่มีปัญหาอันปวดร้าวอย่างใน Death Magnetic ทุกเพลงหนักแน่นเต็มอิ่มทรงพลัง เร่งดังได้แม้ดนตรีจะอยู่ในช่วงกระหน่ำโกลาหล เป็นความเมามันในรูหูเหล็กๆของสาวกยิ่งนัก

Kirk Hammett มือโซโล่ดันทำไอโฟนของเขาหายก่อนหน้านี้ ซึ่งในนั้นมีการบันทึกเสียงไอเดียสำหรับท่อนริฟฟ์ของเขา 250 ชิ้นอยู่ (คนได้ไปจะรู้ค่าไหมนั่น) และเคิร์กก็ไม่ได้แบ็คอัพมันไว้ที่อื่นเลย นั่นทำให้เขาไม่มีอะไรในมือที่จะให้ในการประพันธ์บทเพลงสำหรับ Hardwired…. งานทั้งหมดจึงไปตกกับ James Hetfield และ Lars Urich แต่แม้จะไม่มีริฟฟ์ให้ การโซโล่ของเคิร์กในอัลบั้มนี้ยังโชติช่วงร้อนแรงสร้างสรรค์น่าตื่นเต้น อาจจะเต็มที่และดีกว่าหลายๆชุดที่ผ่านมาด้วยซ้ำ

Robert Trujillo มือเบสมีส่วนช่วยร่วมแต่ง 1 เพลง ใน ManUNkind นอกเหนือจากนั้นเป็นงานของเจมส์และลาร์สล้วนๆ

หายไป 8 ปี จะให้ฟังแค่อัลบั้มสั้นๆ 40-50 นาที ก็ไม่ใช่ Metallica สิ งานนี้เจ้าพ่อจึงจัดมาให้ 77 นาที แบ่งเป็นซีดีสองแผ่น (แม้จะใส่ในแผ่นเดียวได้) เพื่ออรรถรสในการฟัง เป็น 12 เพลงที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่ากันหมด แต่พูดได้ว่าไม่มีเพลงไหนเลวร้ายจนเรียกมันว่า filler บางคนฟังแล้วอาจจะอยากให้ตัดบางเพลงออกแล้วเหลือแค่ซัก 50 นาที แต่ผมไม่เห็นด้วยนะครับ แบบนี้สิ จุใจหายคิดถึง เพียงแต่คุณต้องใช้เวลาหน่อยในการย่อยสลายดูดซึมซับคุณภาพของงาน

ดิสก์แรก โหลดแรงด้วยเพลงดุ เร็ว ติดหู Hardwired ไทเทิลแทร็คและซิงเกิ้ลแรก สั้นกระชับที่สุดในชุด แต่แพ็คแน่นด้วยเอกลักษณ์แห่งพระบิดาแห่ง Thrash ทุกอณูโมเลกุล Atlas, Rise! และ Moth Into Flame เริ่มขยายขอบเขตออกไปในด้านความยาว แต่ความเมามันส์มิได้ลดถอย สามเพลงนี้อาจจะทำให้การฟังอีกหลายเพลงที่เหลือในรอบแรกๆจืดซีดลงไป แต่ไม่เกินรอบที่สองหรือสาม ความดีงามของ Now That We’re Dead และ Halo On Fire น่าจะลอยพ้นขึ้นมาให้ได้ยิน  ดิสก์สอง เล่นของดาร์ค ความยาว ความซับซ้อนเริ่มมา ทุกเพลงหนืด หน่วง หนัก แรง แต่ไม่มีเพลงไหนเร่งเร้าเท่าสามซิงเกิ้ลแรกนั้น Confusion จังหวะปานกลาง ริฟฟ์และโซโล่จากเคิร์คเป็นระดับพรีเมี่ยม, Murder One เพลงอุทิศให้ท่าน Lemmy แห่ง Motorhead ผู้ล่วงลับ, และ ManUNkind ของท่านโรเบิร์ตก็ไม่เลวเลยทีเดียว จวบจนแทร็คสุดท้าย Spit Out The Bone 7:09 นาทีสุดท้ายที่พวกพี่ๆเค้ากลับมาจัดเต็มเพียบอีกครั้ง เร็วจี๋ ยาวเหยียด ซับซ้อนเว่อร์ๆ และฝีมือสุดๆ ท่อนริฟฟ์ควบเป็นรถไฟเบรกแตกแล่นลงจากยอดเขาผนวกกับเสียงกลองกัมปนาทสุดระทึกและสุดอึกทึกจากลาร์ส มันคือทุกอย่างในความเป็น Metallica ที่เรารัก

แทบทุกเพลงมี music video ให้ดูอย่างเพลิดเพลิน (ทาง YouTube) ชมแล้วก็พอจะประเมินได้ว่าพวกพี่ๆเค้าสนุกกับการทำอัลบั้มนี้กันจริงจัง

ถ้า 12 เพลงยังไม่อิ่ม ใน deluxe edition มีแผ่นแถม ท่านจะได้ฟัง Lord of Summer ที่เป็นซิงเกิ้ลก่อนหน้านี้ , เมดลีย์การแสดงสดจากงานทริบิวต์ให้ Ronnie James Dio,  คัฟเวอร์ When A Blind Man Cries ของ Deep Purple (หวานพอที่จะเอาไปใส่ในเทปรวมเพลงเฮฟวี่บัลลาดได้ทุกม้วน) และ Remember Tomorrow ของ Iron Maiden และการแสดงสดจาก Rasputin Music, Berkeley เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา (อาทิ Helpless, Hit The Lights, The Four Horsemen)

คำว่า comeback หรือ return to form บางทีก็ใช้กันพร่ำเพรื่อไปหน่อยในวงการดนตรี แต่คราวนี้คงไม่ต้องไปหาคำอื่นหรอกครับ พวกเขากลับมาแล้วแน่ๆ ยินดีต้อนรับสู่โลกของพวกพี่ๆอีกครั้ง โลกาโลหะ....เมทัลลิก้าเวิร์ล

Tracklist

Disc One
1.      Hardwired
2.      Atlas, Rise!
3.      Now That We’re Dead
4.      Moth Into Flame
5.      Dream No More
6.      Halo On Fire
7.       
Disc Two
1.      Confusion
2.      ManUNkind
3.      Here Comes Revenge
4.      Am I Savage?
5.      Murder One
6.      Spit Out the Bone