Saturday 1 October 2016

Sheezus

"Mumback"


Lily Allen  |  Sheezus ***
Produced by Greg Kurstin, Dj Dahi และ Shellback
Released: May 2014
Genre: Pop

"นี่เป็นเหมือนการอาเจียนครั้งใหญ่สำหรับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันใน 4 ปีที่ผ่านมา" ลิลลี่ โรส คูเปอร์ หรือที่เรารู้จักกันในนามเดิมว่า ลิลลี่ อัลเลน สรุปอัลบั้ม 'Sheezus' ไว้ในประโยคเดียวสั้นๆด้วยภาษาและอารมณ์ในแบบของเธอ ผมเคยเขียนถึงอัลบั้มที่ 2 ของลิลลี่ It's Not Me, It's You ไว้ใน GM2000 เมื่อห้าปีก่อน (2009) ด้วยความชื่นชมพอสมควร (เพิ่งกลับไปอ่านเมื่อสักครู่) ตอนนั้นก็ไม่คิดสักนิดว่าลิลลี่จะจำศีลถอนตัวออกจากวงการดนตรีนานถึง 5 ปี เหตุผลหลักก็คือเธอใช้เวลาแทบจะทั้งหมดไปในการดูแลลูกสาว 2 คน แต่ในที่สุดเธอก็ทนความเย้ายวนของดนตรีไม่ไหว 5 ปีในวงการป๊อบมันยาวนานเหมือนชั่วชีวิต น่าสนใจว่าลิลลี่ยังจะกลับมาเป็นขวัญใจวัยรุ่นหรืออย่างน้อยก็รุ่นเดียวกับเธอได้หรือไม่ เธอไม่ใช่เด็กน้อยขี่จักรยานไปทั่วลอนดอนร้องเพลงเกี่ยวกับจ้าวโลกของแฟนเก่าอีกต่อไปแล้ว นี่คือคุณแม่ลูกสองวัย 29 ปีที่เด็กๆหลายคนอาจจะยังไม่เริ่มฟังเพลงตอนเธอออกอัลบั้มครั้งสุดท้าย Kate Nash ศิลปินหญิงที่ทำท่าจะตีคู่กับเธอมาในยุคนั้นก็เหมือนจะตกหล่นไปจากความสนใจเสียแล้ว ส่วนน้อง Ellie Goulding ที่เปี่ยมความสามารถเหลือล้น แต่เธอก็ไม่มีความแสบคันหรรษาเหมือนสาวอัลเลนของเรา ดังนั้น,มันจึงเป็นข่าวดีที่เราได้ลิลลี่ อัลเลนกลับมา!

ลิลลี่ตั้งชื่ออัลบั้มล้อเลียน (หรือจะใช้คำว่าแซวดีกว่า?) อัลบั้ม 'Yeezus' ของ Kanye West แต่นี่ไม่ใช่อัลบั้มที่พอกอีโก้มาจนมองไม่เห็นตัวศิลปินแบบของคันเย่ ผมมองว่าเธอตั้งใจให้มันออกมาขำๆแดกดันตัวเองมากกว่า โปรดิวเซอร์หลักของอัลบั้มนี้คือเจ้าเก่า Greg Kurstin (หนึ่งใน The Bird and The Bee) ที่ทำงานกับเธอมาตั้งแต่อัลบั้มแรก ซาวนด์ของ Sheezus จึงกลมกลืนและต่อเนื่องไปกับ It's Not Me, It's You คือเป็นอีเล็กโทรป๊อบที่เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนสีสันและของหวานโปรยปรายในสุ้มเสียง แต่ที่เพิ่มเข้ามาคืออิทธิพลของ M.I.A. และซาวนด์ในแบบสองอัลบั้มแรกของ Vampire Weekend

ลิลลี่เป็นคนเสียงเล็กบางไม่มีพลัง แต่เธอร้องเพลงเก่งในแบบของเธอ กึ่งร้องกึ่งพูด,ทักษะในการใช้จริตจะก้านในการร้อง และการแบ่งวรรคแบ่งตอนที่บางคนบอกว่าชวนให้นึกถึงนักร้องแจ๊ซในตำนานอย่าง Ella Fitzgerald หรือ Blossom Dearie โปรดิวเซอร์ของเธอทุกคนก็รู้จักวิธีในการ enhance เสียงร้องให้ อาทิการทำ double track หรือการมิกซ์เสียงให้โดดเด้ง จุดเด่นอีกอย่างของเธอก็คือลีลาการเขียนเพลง ทั้งมุมมองอันคมคายและภาษาทิ่มแทง พูดกันง่ายๆว่าเพลงของเธอ "ปากจัด" เหลือหลายตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ในวัยคุณแม่ ลิลลี่จะเลือกอะไรมาเม้าท์มอยใน Sheezus?

ปกอัลบั้มออกแนวอลังการ กร่างๆนิดๆเหมือนพวกศิลปินฮิปฮอป ลิลลี่ยืนอยู่หน้าประตูของคฤหาสน์ มือจูงสุนัข corgi สองตัว ที่บันไดมีคำจารึกไว้ว่า 'Divide et impera' หรือแปลเป็นไทยว่า "แบ่งแยกแล้วปกครอง" (หน้าปกมีหลายเวอร์ชั่น)
Sheezus ฉบับ special edition แบ่งเป็นซีดีสองแผ่น แผ่นแรกมีสิบสองเพลง ส่วนอีกแผ่นเป็นโบนัสแทร็ค 5 เพลง รวมถึง Somewhere Only We Know เพลง cover ของ Kean ที่ตัวเธอเองก็ยังไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ("ฉันยังไม่เข้าใจว่าฉันคิดอะไรอยู่ตอนนั้น") ส่วนอีก 4 เพลงก็ฟังเพลินๆและให้ความรู้สึกสองอย่าง 1) มันเหมือน demo, unfinished tracks 2) คุณภาพของเพลงก็เหมาะสมแล้วที่ถูกตัดออกจากแผ่นหลัก

12 เพลงใน Sheezus เป็นผลงานการร่วมแต่งและโปรดิวซ์ของ Kurstin เสีย 10 เพลง เว้นแต่ไทเทิลแทร็คที่ลิลลี่แต่งและโปรดิวซ์ร่วมกับ Dj Dahi (เคยร่วมงานกับ Drake และ Kendrick Lamar)  และใน Air Balloon เธอได้ Shellback โปรดิวเซอร์/นักแต่งเพลงสุดฮอตชาวสวีเดนมาช่วยงาน (เกียรติประวัติเคยทำเพลงให้ Pink, Maroon 5, Usher และ Avril Lavigne)
'Sheezus' เป็นเพลงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกของการกลับมาของเธอครั้งนี้-ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้สึกจริงๆหรือไม่ก็ตาม เธอยอมรับว่าตื่นเต้น แม้เธอจะเป็นมือเก่ามาก่อน แต่การหายไปนานๆก็ไม่ใช่ว่ากลับมาคว้าไมค์แล้วจะกลับมาดังเหมือนเดิมได้ง่ายๆ แล้วจู่ๆเธอก็เริ่มกัด divas คนอื่นๆเป็นชุด ไล่ตั้งแต่ Katy Perry , Beyonce, Lady Gaga ไม่เว้นแม้แต่หนู Lorde ก็ยังเจอหางเลขกับเขาด้วย ลงท้ายด้วยการขอมงกุฎมาครองหน้าตาเฉย 'Give me that crown bitch I wanna be Sheezus' ดีเจ Dahi ทำดนตรีออกมาในแนวของ M.I.A. ได้น่าฟัง แต่การไล่กัดชาวบ้านของลิลลี่มันฟังกระอักกระอ่วนชอบกล ไม่เหมือนกับที่ Eminem ทำ โชคดีที่เธอกลับเข้าสู่เกมอย่างรวดเร็วในสองเพลงต่อมา 'L8 CMMR' ชื่อเพลงไม่ใช่รหัสอะไรซับซ้อน มันคือ late comer ที่อุทิศให้คนรักคนล่าสุดของเธอ พ่อยอดสามี Sam Cooper นี่คือความเพอร์เฟ็คที่สุดที่ bubblegum pop จะทำได้ในจังหวะฟิวชั่นของแนวดนตรีใหม่เอี่ยม 'Moombahton' ที่เป็นลูกผสมของ dutch house และ reggaeton ที่ฟังแล้วเข้าได้กับลิลลี่เหมาะเจาะ เนื้อหาก็ออกแนวสรรเสริญและแสดงความเป็นเจ้าของคนรักอย่างออกนอกหน้าสุดๆ แต่ลิลลี่ก็ร้องออกมาได้น่ารักน่าชัง 'He's going nowhere 'till this fat lady sings' '

'Air Balloon' การหนีความวุ่นวายไปบนฟากฟ้า สูงยิ่งเกินกว่าจะมีฝน production ของ Shellback ให้ความเป็น high energy pop ที่สามารถนำไปวางสลับให้เคธี่ เพอรี่ร้องได้โดยไม่มีใครระแคะระคาย แต่เธอจะร้อง na na na na ได้กวนเท่าลิลลี่หรือไม่? (ไอเดียเพลงนี้เหมือนกับ Up On The Roof เพลงคลาสสิกจากการแต่งของ Goffin and King แต่....สูงกว่ามาก)  'Our Time' กลับสู่โปรดักชั่นเนี้ยบๆของ Kurstin ลิลลี่เปิดบ้านชวนเพื่อนๆมาปาร์ตี้กันแบบลืมโลก 'Insincerely Yours' ฟังกี้นุ่มๆ ลิลลี่ประกาศตรงๆถึงเหตุผลที่เธอมาอยู่ตรงนี้ 'Let's be clear, I'm here, to make money money'

'Take My Place' เมื่อลิลลี่จะทำเพลงช้าหวานรำพึงรำพันกับตัวเองเธอทำได้ดีเสมอ บางครั้งชีวิตมันก็เจ็บปวดเกินจะรับ เธอประกาศจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีเพื่อแลกกับการให้คนอื่นมารับความปวดร้าวที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ คอรัสออกจะกระหึ่มไปนิดสำหรับอารมณ์เพลง มีบางอย่างที่ทำให้นึกถึง Keane 'As Long As I Got You' ลิลลี่ในบูธคลุมถึงเข่าต้อนรับเสียงดนตรีแนว cajun และเสียง dobro ในเพลงที่เหมือนบทคัดย่อชีวิตรักระหว่างเธอกับแซม หนุ่มคนนี้รู้จักเธอมาตั้งแต่อายุ 15 แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ทนดูลิลลี่ทำลายชีวิตตัวเองต่อไปด้วยยาและปาร์ตี้ไม่ได้ แซมยื่นข้อเสนอให้ลิลลี่มาอยู่ด้วย และชีวิตเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ใน liner notes ของอัลบั้มนี้ ลิลลี่เขียนอุทิศให้ Amy Winehouse ศิลปินร่วมรุ่นผู้ล่วงลับ ถ้าไม่มีแซม ใครจะรู้ว่าลิลลี่ อัลเลนจะไปถึงไหนแล้วตอนนี้?

 'Close Your Eyes' slow jam ที่อาจจะเป็นเพลงที่เซ็กซี่ที่สุดที่เธอเคยทำมา 'When I'm standing there in my underwear / I know that I've let myself go / But I still feel sexy when you undress me...' ไพเราะและหวานในแบบ TLC ครับ 'URL Badman' แทร็คที่หลุดพ้นจากเรื่องชีวิตรักส่วนตัวและการจิกกัดชาวบ้านมาเป็นเพลงสนุกๆเกี่ยวกับเหล่า "เกรียนอินเตอร์เน็ต" (นี่เป็นแทร็คที่นักวิจารณ์ดูจะชื่นชมกันมากมาย) 'Silver Spoon' ก็คนมันคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ลิลลี่คงไม่ได้หมายถึงชีวิตของเธอหรอก เพราะแม้จะเป็นลูกสาวคนดังแต่ชีวิตในวัยเยาว์ของเธอนั้นก็ไม่ได้ง่ายดายเลย ถึงตรงนี้เห็นปัญหาอย่างหนึ่งใน Sheezus- ผู้ฟังเริ่มไม่แน่ใจว่าตรงไหนเรื่องจริงเรื่องแต่ง?  'Life For Me' เป็นแทร็คที่ผมยกให้ดีที่สุดในแง่การเขียนเพลง ลิลลี่เขียนถึงชีวิตของตัวเองและตั้งคำถามกับความรู้สึกที่เธอมีในแบบที่จอห์น เลนนอนน่าจะชอบ ดนตรีได้รับอิทธิพลจาก Vampire Weekend อย่างแจ่มชัดแต่ก็มีความรู้สึกของลิลลี่ในอัลบั้มแรกอยู่ไม่น้อย (ไม่แปลกอะไรเพราะทั้งสองอย่างมีจุดร่วมกันที่ดนตรีแนวสกาและบรรยากาศเปิดโล่ง) 'Hard Out Here' ที่เปิดตัวเป็นซิงเกิ้ลแรกตั้งแต่ปีก่อนพร้อมกับมิวสิกวิดีโอที่ฮือฮาและทำให้ลิลลี่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเหยียดผิว เป็นไอเดียที่ดีที่นำมันมาปิดอัลบั้ม มันคือแดนซ์แทร็คในแบบเต้นกันปิดฟลอร์ สำหรับเพลงนี้ถ้าจะให้ดีต้องหาฟังในแบบ uncensored นะครับ เหม่ ถ้าต้องถูกดูดเสียงในคำสำคัญๆอย่าง balls และ tits และต้องเปลี่ยน bitch เป็น chic นี่มันหมดพลังของเพลงไปมากมายพอๆกับที่เพลง Fuck You ของ Cee Lo Green เจอเมื่อหลายปีก่อน

ในแง่ดนตรีนี่เป็น pop album ที่ฟังร่วมสมัยและสุดจะ catchy ในแบบที่ลิลลี่ทำได้ดีเสมอ แม้ว่าอาจจะฟังเชยและไม่มีอะไรใหม่ไปสักนิดเมื่อเทียบกับความจี๊ดจ๊าดของสองอัลบั้มแรก แต่ก็น่าจะให้อภัยสำหรับการเคาะสนิมของเธอในครั้งนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอเสียรังวัดไปไม่น้อยก็คือเนื้อหาของมัน โดยเฉพาะการไปหาเรื่องชาวบ้านโดยไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆ และที่น่าเป็นห่วงก็คือคนที่เธอไปท้าชกด้วยนั้นแต่ละคนล้วนมีดีกรีน่าเกรงขามยิ่งนัก อัลบั้มใหม่ของ Beyonce ได้รับการยกย่องถึงขนาดว่าเป็นงานศิลปะที่ดึงความเป็นอัลบั้มกลับมาอีกครั้ง ส่วนงาน debut ของ Lorde นั้นก็ลึกซึ้งและคมคายเหลือเชื่อ ไม่น่าไปท้าต่อยท้าตีกะเค้าเลยลิลลี่เอ๋ย (เธอให้ความเห็นว่าการแต่งเพลงแบบ social commentary ในยุคนี้ ถ้าไม่เอ่ยชื่อบุคคลขึ้นมา มันจะไม่มีพลังใดๆเลย อืมม์ ก็ฟังดูมีเหตุผล)

ลิลลี่ให้สัมภาษณ์ว่าเธอไม่ได้หวังอะไรกับอัลบั้มนี้มาก นอกจากให้มันขายดีพอที่สังกัดจะจ้างเธอมาทำอัลบั้มต่อ หลายอย่างใน Sheezus แสดงถึงความเติบโตทางความคิดและความเป็นไปในชีวิตของคุณแม่ยังสวยคนนี้ ไม่รู้สินะ เธอมีอะไรบางอย่างที่ไม่พบในศิลปินสาวคนอื่นๆ เธออาจจะไม่ใช่ดีว่าในความรู้สึกของใคร งั้นก็ให้เธอเป็นชีซัสของเธอไปก็แล้วกัน แฟนเก่าๆตั้งแต่สมัย myspace คงยังไม่ทอดทิ้งกันนะครับ ส่วนนักฟังใหม่ๆ หรือแฟนเพลงของสาวๆที่เธอท้าชนด้วยทั้งหลายในอัลบั้มนี้ทั้งหมดนั่นแหละ,ก็น่าจะชอบ Sheezus.

Tracklist:
1.            Sheezus | Lily Allen
2.            L8 CMMR | Lily Allen, Greg Kurstin
3.            Air Balloon | Lily Allen, Shellback
4.            Our Time | Lily Allen, Greg Kurstin
5.            Insincerely Yours | Lily Allen, Greg Kurstin
6.            Take My Place | Lily Allen, Greg Kurstin & Karen Poole
7.            As Long As I Got You | Lily Allen, Greg Kurstin & Karen Poole
8.            Close Your Eyes | Lily Allen, Greg Kurstin
9.            URL Badman | Lily Allen, Greg Kurstin
10.          Silver Spoon | Lily Allen, Greg Kurstin
11.          Life for Me | Lily Allen, Greg Kurstin & Karen Poole
12.          Hard Out Here | Lily Allen, Greg Kurstin