Showing posts with label boxset. Show all posts
Showing posts with label boxset. Show all posts

Friday, 25 September 2009

The Beatles In Mono


The Beatles In Mono: The Fab Four Director’s Cut


ถ้ากล่องสีขาวบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มซีดีบางๆ10แผ่นนี้ข้างในเป็นภาพยนตร์ ก็คงไม่ผิดอะไรที่จะเปรียบเปรยว่า The Beatles In Mono นี้เป็นฉบับที่ตัดต่อโดยตัวผู้กำกับเอง เพราะในยุค 60’s ที่เป็นรอยต่อของการบันทึกเสียงแบบ Stereo/Mono The Beatles มักจะใส่ใจใน mono mix เสมอมา จวบจนกระทั่งปี 1968 และในที่สุดพวกเขาก็เลิกสนใจทำ mono mix ไปโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่อัลบั้มซาวนด์แทร็ค Yellow Submarine ดังนั้นกล่อง The Beatles In Mono นี้จึงหยุดเวลาไว้ที่อัลบั้มสุดท้ายที่มีการทำ mono mix อย่างเป็นทางการ ‘The Beatles’ หรือที่มีชื่อเล่นที่ทุกคนรู้จักกันในนาม ‘The White Album’


กล่องนี้จึงเป็นการรวมเพลงทุกเพลงของ Beatles ที่ได้รับการผสมเสียงในแบบโมโน แต่ไม่ครบทุกเพลงทุกอัลบั้ม ถ้าท่านต้องการสะสมงานของพวกเขาในแบบครบครันโดยไม่สนใจเรื่องมิกซ์ว่าจะเป็นสเตอริโอหรือโมโนก็น่าจะควักตังค์ซื้อ “กล่องดำ” stereo box มากกว่า


แต่ถ้าท่านอยากศึกษาผลงานการบันทึกเสียงของ Beatles อย่างจริงจังและดูดดื่ม ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้อง “ฟัง” ดนตรีในกล่องขาวนี้ เพราะมันมีแง่มุมและอารมณ์ที่แตกต่างจากสเตอริโอเวอร์ชั่นอยู่ไม่น้อย


แต่ขอขัดจังหวะในเรื่องของหีบห่อเสียก่อน


นักฟังรุ่นใหม่ๆอาจจะสนใจในเรื่องของหน้าปกแผ่นหรือแม้กระทั่งตัวซีดีเองน้อยลง แต่ในยุคของ Beatles สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและเป็นส่วนร่วมในตำนานของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ package ของสเตอริโอบอกซ์เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นออริจินัลและการดีไซน์ใหม่ๆที่เสริมเข้ามา แต่อาร์ทเวิร์คในกล่องโมโนนี้กลับเป็นการยึดมั่นกับอดีตอย่างซื่อตรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทุกอย่างของปกซีดีเป็นการถ่ายทอดจากปกแผ่นเสียงทุกกระเบียดนิ้ว ไล่ตั้งแต่โทนสีของหน้าปกที่ออกครึ้มๆไม่ฉูดฉาด ต่างจากสเตอริโออย่างเห็นได้ชัด (โดยเฉพาะ Sgt. Pepper’s) ปกหลัง,สันปก การพับกระดาษใน gatefold,ตัวโลโกกลางแผ่นเสียงที่กลายมาเป็น CD label หรือแม้กระทั่งซองกระดาษที่ใส่แผ่น อะไรที่เคยมีแถมใน White Album หรือ Pepper กล่องนี้ก็มีมาให้หมด


แน่ละ สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่มีผลอะไรกับดนตรีโดยตรง แต่การเสพดนตรีของมนุษย์นั้นซับซ้อนกว่าแค่การฟังอย่างเดียวโดยตัดปัจจัยต่างๆออกไปสิ้น สมองของปุถุชนคนเราไม่ฉลาดถึงขนาดนั้น!


นักฟังรุ่นใหม่ๆอาจจะไม่ได้ความรู้สึกถวิลหาอดีตกับการฟังกล่อง The Beatles In Mono นี้มากเท่ากับผู้ที่เติบโตมากับเสียงแบบนี้ (เท่าที่ได้คุยกับแฟนเพลงรุ่นใหญ่ที่เป็นชาวไทยท่านก็บอกว่าบ้านเรานิยม stereo มาตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว ใครฟัง mono ถือว่าหลงยุค) รวมทั้งตัวผมเองด้วย


ผมเคยฟัง Beatles ในแบบโมโนมาพอสมควร จากสี่อัลบั้มแรกของพวกเขาที่ออกมาแบบโมโนตั้งแต่ปี 1987 และ EP Collection รวมทั้งการได้ฟังจากแผ่นเสียงเก่าๆในบางอัลบั้ม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้ฟัง Beatles ในแบบที่พวกเขาอยากให้เราฟังแบบครบชุด


ทีมงาน “รีมาสเตอร์” ให้ข้อมูลว่าในการเตรียมมาสเตอร์ใหม่เพื่อทำกล่องโมโนนี้ พวกเขาแทบไม่ได้ไปดัดแปลงแก้ไขอะไรกับสุ้มเสียงเดิมๆในมาสเตอร์เทปเลย เรียกว่าคงความคลาสสิกเอาไว้ไม่ต่างอะไรจากที่เขาทำกับ artwork ในขณะที่ใน stereo box พวกทีมงานรีมาสเตอร์ได้เหยาะเครื่องปรุงเอาไว้ไม่น้อย

จึงไม่แปลกอะไรที่ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว เสียงใน mono box จะบางเบากว่า stereo ที่ส่วนหนึ่งทำเพื่อเอาใจคนใน generation นี้ที่ต้องการความ “ดัง” และพลังของเสียง คุณจึงต้องเร่ง volume ของเครื่องเสียงคุณขึ้นอีกสักเล็กน้อยเมือฟังซีดีจากกล่องขาวนี้


แฟนๆเต่าทองทั่วโลกยังถกกันไม่เลิกแม้จะผ่านมา 40 กว่าปีแล้ว ว่าในแต่ละอัลบั้มเวอร์ชั่นโมโนหรือสเตอริโอเยี่ยมกว่ากัน ในสองอัลบั้มแรก Please Please Me และ With The Beatles พวกเขาบันทึกเสียงกันด้วยแค่เทป 2 แทร็ค ดังนั้นสเตอริโอเวอร์ชั่นของสองอัลบั้มนี้จึงฟังดูแปลกๆไม่เป็นสเตอริโอที่สมบูรณ์แบบ ผมชอบ mono ของ Please Please Me แต่ใน With the Beatles กลับฟังสนุกกว่าในแบบ stereo


A Hard Day’s Night น่าจะให้สุ้มเสียงที่ดีกว่านี้ใน stereo เท่าที่เคยฟังจากแผ่นเสียงเก่าๆ แต่ในรีมาสแตอร์นี้โมโนกลับน่าฟังกว่า Beatles For Sale นั้นยอดเยี่ยมในทั้งสองแบบ Help! Mono นั้นเสียงออกจะกระป๋องหน่อย แต่กลับได้อารมณ์ดิบๆมากกว่า และยังมี Yesterday ที่ใครได้ฟังแบบโมโนแล้วต้องติดใจทุกราย


ห้าอัลบั้มในครึ่งหลังถือเป็นช่วงที่พวกเขาเริ่มกลายเป็นเซียนในห้องอัดเต็มตัว ตั้งแต่Rubber Soul, Revolver, Sgt. Pepper’s, Magical Mystery Tour, White Album ทุกอัลบั้มให้ feel ที่แตกต่างไปจากสเตอริโอ รวมไปถึงความแตกต่างเล็กๆน้อยๆจนถึงมากๆในแต่ละเพลง ถ้าคุณเคยรักอัลบั้มเหล่านี้ในแบบ stereo นี่อาจจะไม่ต่างอะไรกับการได้ใกล้ชิดกับน้องสาวของคนที่คุณรัก...หน้าคล้ายๆกัน แต่มีเสน่ห์ไปคนละแบบ....!!!


การทำโมโนมิกซ์นั้นจะว่าง่ายก็ใช่ เพราะไม่ต้องคิดถึงการวาง image ของเสียงดนตรี แต่ก็จะมีความยากในการทำให้แต่ละเสียงโดดเด่นไม่ซ้อนทับกันจนฟังไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะเมื่อดนตรีมากชิ้นขึ้นอย่าง I Am The Walrus หรือ A Day In The Life แต่ George Martin และทีมงานของเขาก็ฝากผลงานไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่เสียดายก็คือ พวกเขาไม่ได้ทำอัลบั้ม “เพลงหงส์” Abbey Road ไว้ในแบบ mono กล่องนี้จึงเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป


สรุปว่าควรจะหามาฟังกันเป็นอย่างยิ่งครับ สำหรับผู้ที่รักดนตรีของ Beatles ในแบบมากกว่าแฟนเพลงทั่วไป (คือต้องบ้าขึ้นมาอีกระดับ) กล่องนี้ไม่มีการขายแยกแผ่น ถ้าจะซื้อก็ต้องยกกล่องกันอย่างเดียวครับ!

Sunday, 22 February 2009

Elvis Presley | The Complete 50's Masters (3-Final)




Disc: 3 1. That's When Your Heartaches
Begin 2. Take My Hand, Precious Lord 3. It Is No Secret (What God Can Do) 4.
Blueberry Hill 5. Have I Told You Lately That I Love You 6. Is It So Strange 7.
Party 8. Lonesome Cowboy 9. Hot Dog 10. One Night Of Sin 11. (Let Me Be Your)
Teddy Bear 12. Don't Leave Me Now 13. I Beg Of You 14. One Night 15. True Love
16. I Need You So 17. Loving You 18. When It Rains, It Really Pours 19.
Jailhouse Rock 20. Young And Beautiful 21. I Want To Be Free 22. (You're So
Square) Baby I Don't Care 23. Don't Leave Me Now 24. Blue Christmas 25. White
Christmas 26. Here Comes Santa Claus (Right Down Santa Claus... 27. Silent Night
28. O Little Town Of Bethlehem 29. Santa Bring My Baby Back (To Me) 30. Santa
Claus Is Back In Town 31. I'll Be Home For Christmas
ดิสก์สามเริ่มด้วยเพลงกอสเพลที่ตกค้างจากปลายแผ่นที่แล้ว ก่อนเข้าสู่การบันทึกเสียงเพื่อภาพยนตร์เรื่องถัดไป ‘Loving You’ ซึ่งมีเพลงไทเทิลที่ประทับใจไม่เบา รวมทั้งเพลงสนุกๆสไตล์เดิมๆที่ยังไม่มีอะไรสร้างสรรค์ขึ้นกว่าเดิมอย่าง Teddy Bear หรือ Got A Lot O’ Livin’ To Do! One Night เป็นซิงเกิ้ลหน้าเอที่มีการปรับเนื้อร้องให้สุภาพขึ้นกว่าเดิม และดูจะเป็นเพลงโปรดที่เอลวิสนำกลับมาร้องอีกหลายครั้งในภายหลัง ภาพยนตร์เรื่องต่อมาคือ Jailhouse Rock ที่ทุกคนรู้จัก ไทเทิลของมันน่าจะเป็นเพลงที่หนักหน่วงที่สุดในภาพยนตร์ของเอลวิสทั้งหมด Young And Beautiful เป็นเพลงช้ามากๆที่ร้องอย่างไพเราะ ส่วน Treat Me Nice และ Baby I Don’t Care ก็ร่วมกันเป็นเพลงประกอบให้ซาวนด์แทร็คชุดนี้เป็นหนึ่งในงานประกอบหนังที่ดีที่สุดของเขา ว่ากันว่า บิล แบล็คมือเบสตะบะแตกในเพลงหลังสุดนี้ถึงกับขว้างเบสทิ้งเพราะไม่สามารถเล่นได้ถูกซะที แต่เอลวิสกลับเห็นเป็นเรื่องตลกและหยิบเบสตัวนั้นมาเล่นบันทึกเสียงเอง คุณจะได้ฟังเอลวิสร้องเพลงคริสต์มาสเป็นครั้งแรกในเพลงที่ 24 –31 ซึ่งก็ไม่ค่อยต่างจากการร้องเพลงกอสเพลแบบสไตล์เขานัก Leiber/Stoller ที่ขณะนั้นเป็นนักแต่งเพลงป้อนให้เอลวิสประจำได้โชว์ฝีมือการแต่งเพลง ‘Santa Claus Is Back In Town’ สดๆในห้องอัดในช่วงเวลาแค่ 10-15 นาทีตามคำขอของเอลวิสที่ต้องการร้องเพลงคริสต์มาสใหม่ๆบ้าง
Disc: 4 1. Treat Me Nice 2. My Wish Came True 3. Don't
4. Danny 5. Hard Headed Woman 6. Trouble 7. New Orleans 8. Crawfish 9. Dixieland
Rock 10. Lover Doll 11. Don't Ask Me Why 12. As Long As I Have You 13. King
Creole 14. Young Dreams 15. Steadfast, Loyal And True 16. Doncha' Think It's
Time 17. Your Cheatin' Heart 18. Wear My Ring Around Your Neck 19. I Need Your
Love Tonight 20. A Big Hunk O' Love 21. Ain't That Loving You Baby 22. (Now And
Then There's) A Fool Such As I 23. I Got Stung 24. Interview With Elvis

Don’t เพลงช้าที่โรแมนติกที่สุดเพลงหนึ่งของเขา บันทึกเสียงในวันเดียวกับเพลงคริสต์มาสในดิสก์ที่สาม และเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ผุ้ประพันธ์ Leiber/Stoller ภาคภูมิใจ Elvis เริ่มปี 1958 ด้วย King Creole อันเป็นซาวนด์แทร็คที่มีน้ำเสียงต่างออกไปด้วยเครื่องเป่าฉูดฉาดและการวางวงแบบบิ๊กแบนด์ เพลงที่โดดเด่นที่สุดในเซสชั่นนี้คือ Hard Headed Woman และ Trouble

กลับมาที่ Radio Recorders ใน Hollywood วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เอลวิสบันทึกซิงเกิ้ลใหม่ได้หนึ่งแผ่นคือ Wear My Ring Around Your Neck/Doncha’ Think it’s Time เพลงหลังนี่เป็นเพลงโปรดส่วนตัวของผมที่เอลวิสร้องในสไตล์สะอึกสะอื้นอีกครั้ง เขายังได้นำเพลงคลาสสิกของแฮงค์ วิลเลี่ยมส์ ‘Your Cheatin’ Heart’ มาเล่นด้วย แต่กว่าจะออกมาขายก็ถูกดองไว้อีกเจ็ดปี ว่ากันว่าเอลวิสไม่ค่อยพอใจกับการบันทึกเสียงในวันนี้นัก 10 มิถุนายน 1958 เป็นวันสุดท้ายในยุค 50’s ที่เอลวิสเข้าห้องบันทึกเสียงในเพลงที่ 19-23 ในดิสก์นี้ซึ่งต่อมาได้ออกเป็นซิงเกิ้ลล้วนๆ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องอัดไปในเช้าตรู่ของวันที่ 11 มิถุนายน เพื่อไปรับใช้ชาติในนาม Private Elvis ทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้ Tom Parker ผู้จัดการ และ Steve Sholes แห่งอาร์ซีเอ ให้จัดการกับเรื่องราวทั้งหมด รอวันที่เขาจะกลับมา ดิสก์สี่ปิดท้ายด้วยบทสัมภาษณ์ยาว 12 นาทีกว่าๆจาก press conference ในวันที่ 22 กันยายน 1958
Disc: 5 1. That's When Your Heartaches Begin (acetate
1953) 2. Fool, Fool, Fool (acetate 1955) 3. Tweedle Dee (live, Texas 1954) 4.
Maybellene (Live, Louisiana 1955) 5. Shake, Rattle And Roll (live Texas 1955) 6.
Blue Moon Of Kentucky (early take) 7. Blue Moon (unreleased outtake) 8. I'm
Left, You're Right, She's Gone (outtake) 9. Reconsider Baby (Million Dollar
Quartet unreleased) 10. Lawdy, Miss Clawdy (Unreleased Outtake) 11. Shake,
Rattle And Roll (Unreleased Outtake) 12. I Want You, I Need You, I Love You
(Unreleased Outtake) 13-16 Live at Las Vegas 1956 13. Heartbreak Hotel 14. Long
Tall Sally 15. Blue Suede Shoes 16. Money Honey 17. We're Gonna Move (Unreleased Outtake) 18. Old Shep (alternate master) 19. I Beg Of You (alternate master) 20.
Loving You (Slow Version) (previously unreleased master) 21. Loving You (Uptempo Version) (previously unreleased alternate take) 22. Young And Beautiful
(previously unreleased alternate master) 23. I Want To Be Free (previously
unreleased alternate master) 24. King Creole (alternate master) 25. As Long As I
Have You (alternate master) 26. Ain't That Loving You Baby (Fast Version)
(outtake)

อ่านในวงเล็บกันเองนะครับ สำหรับความหายากและแปลกประหลาดของแต่ละแทร็คในแผ่นที่ห้านี้ สำหรับแฟนๆที่มีทุกเพลงในสี่แผ่นแรกอยู่แล้ว แผ่นห้านี้แผ่นเดียวก็คงต้องทำให้คุณต้องไปซื้อบอกซ์นี้มาจนได้ จะเรียกว่า”แค่แผ่นเดียวก็คุ้ม”ได้ไหมครับนี่?

เอลวิส เพรสลี่ย์กับชื่อเสียงและความนิยมของเขาในบ้านเรานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังขา
ในบรรดาศิลปินรุ่นเดอะด้วยกัน แม้แต่เดอะ บีเทิลส์ก็ไม่อาจเทียบความดังได้ ส่วนใหญ่เพลงที่ฮิตในบ้านเราจะเป็นช่วงที่เขาหันไปร้องเพลงป๊อบในแนวผู้ใหญ่มากขึ้นในยุคซิกซ์ตี้ส์มากกว่า เพลงในยุค 50’s นี้ถูกนำมาร้องและเล่นกันไม่มากนัก แต่ถ้าคุณอยากศึกษางานของเอลวิสในแง่ของความเป็นราชาแห่งร็อคแอนด์โรล นี่คือประวัติศาสตร์ที่พลาดไม่ได้ มันคือ boxset แห่ง boxset ที่ถ้าจะมีการจัดอันดับ Rock’s greatest boxset of all-time The King Of Rock ‘N’ Roll-The Complete 50’s Masters ต้องติดอันดับ 1 ใน 5 อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากคุณค่าในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว เนื้อแท้ของดนตรีก็ยังทรงพลังและให้ความครึกครื้นในการฟังไม่เสื่อมคลายทั้งๆที่เป็นผลงานที่ผ่านห้วงเวลามาแล้วร่วมครึ่งศตวรรษ นี่คือหลักฐานที่ไม่ต้องการการชันสูตรว่าเอลวิสไม่เป็นแต่เพียง icon เท่านั้น (อย่างที่คนทั่วไปในยุคนี้มีแนวโน้มจะคิดกับเขาเช่นนั้น) เขาเป็น true artist ‘The King Of Rock ‘N’ Roll’ ไม่ใช่บ๊อกซ์ที่จะเก็บไว้ขึ้นหิ้งบูชา แต่ควรจะซื้อหามาวางไว้ใกล้มือพร้อมจะเปิดฟังกันเสมอๆ บทเพลงของเอลวิสในชุดนี้สามารถทำให้วันที่ย่ำแย่และเหนื่อยล้าของคุณสดใสขึ้นมาได้-ไม่มากก็น้อย

Elvis Presley | The Complete 50's Masters (2)


Disc: 2 1. Lawdy, Miss Clawdy 2. Shake, Rattle And Roll 3. I Want You, I Need You, I Love You 4. Hound Dog 5. Don't Be Cruel 6. Any Way You Want Me (That's How I Will Be) 7. We're Gonna Move 8. Love Me Tender 9. Poor Boy 10. Let Me 11. Playing For Keeps 12. Love Me 13. Paralyzed 14. How Do You Think I Feel 15. How's The World Treating You 16. When My Blue Moon Turns To Gold Again 17. Long Tall Sally 18. Old Shep 19. Too Much 20. Anyplace Is Paradise 21. Ready Teddy 22. First In Line 23. Rip It Up 24. I Believe 25. Tell Me Why 26. Got A Lot O' Livin' To Do! 27. All Shook Up 28. Mean Woman Blues 29. (There'll Be) Peace In The Valley (For Me)



แผ่นที่สองเป็นการก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของราชาร็อคแอนด์โรลด้วยซิงเกิ้ลเขย่าโลก Hound Dog/Don’t Be Cruel ที่ไม่มีนักฟังคนไหนไม่รู้จัก Hound Dog นั้นทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพลงจากยุคฟิฟตี้ส์ กีต้าร์ของสก็อตตี้แผดเสียงสนั่น ขณะที่ริธึ่มเซกชั่นจากบิล แบล็ค และ ดีเจ ฟอนตานา ก็หนักแน่นเหมือนรถไฟทั้งขบวน เสียงร้องประสานและเสียงปรบมือจาก The Jordanaires ก็เหมาะเจาะกับบทเพลงอย่างที่สุด เอลวิสร้องอย่างเอร็ดอร่อยในเพลงนี้เทคแล้วเทคเล่าและแต่ละเทคที่ผ่านไปความดิบและคมกริบก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ จนเขาถึงที่สุดแห่งความพอใจในเทคที่ 31 ว่ากันว่าทุกคนในห้องถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่ง ส่วน ‘Don’t Be Cruel’ นั้นเป็นอีกอารมณ์หนึ่งเลย เอลวิสโชว์ทักษะการร้องด้วยเสียงสูงคล้ายๆ falsetto แต่ไม่ใช่ ทั้งเพลง รวมทั้งการ”เปลี่ยนเกียร์”ของเพลงในวินาทีที่ 48 ด้วยเสียง hmmmmmmmm… ที่ไม่มีใครทำได้เสมอเหมือน Anyway You Want Me เป็นเพลงช้าๆที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนักที่เอลวิสร้องได้ถึงอารมณ์มากอีกเพลงหนึ่ง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาได้มีโอกาสร้องเพลงโซลแท้ๆในยุคนั้นจะเป็นอย่างไร ภาพยนตร์เริ่มเป็นเป้าหมายต่อไปของผู้พันปาร์คเกอร์ ผู้จัดการของเอลวิส และหนังเรื่องแรกของเขาก็คือ ‘Love Me Tender’ ที่ไม่มีใครไม่รู้จักบทเพลงชื่อเดียวกันนี้ ในการบันทึกเสียงของซาวนด์แทร็คนี้เอลวิสต้องไปเล่นดนตรีกับวงที่เขาไม่รู้จักมาก่อนด้วยกฏเกณฑ์บางอย่างทำให้เขาไม่อาจใช้วงดนตรีประจำตัวได้ รวมทั้งไม่มีสิทธิเสียงในการเลือกตัวเพลงนักด้วย ผลออกมาจึงไม่ค่อยประทับใจนัก แต่ก็เป็นโอกาสเดียวที่จะได้ฟังเอลวิสร้องเพลงแบบ hillbilly ในเพลง Let Me กลับมาสู่การทำอัลบั้มด้วยวงดนตรีประจำตัวในวันที่ 1-3 กันยายน 1956 เพลงที่น่าสนใจในเซสชั่นนี้คือ Love Me ทั้งๆที่ผู้แต่งคือ Leiber/Stoller ไม่ค่อยจะแยแสกับตัวเพลงนี้นัก เหมือนเขาจะแต่งให้เป็นเพลงล้อเลียนตลกๆเท่านั้น แต่เอลวิสไม่คิดเช่นนั้น เขามองมันอย่างจริงจัง และสร้างเวอร์ชั่นอมตะออกมาที่ภายหลังผู้ให้กำเนิดก็ต้องเปลี่ยนแปลงความคิด (ในโพลของนิตยสาร Mojo ครั้งหนึ่ง เคยยกให้ประโยคแรกของเพลงนี้เป็นช่วงเวลา”ที่สุด” แห่งการร้องเพลงของเอลวิส) ปกติเพลงในการบันทึกเสียงของเอลวิสที่ปรากฏในแผ่นมักจะไม่ใช่เทคเดียว แต่ใน Old Shep เพลงที่เขาเคยร้องประกวดได้ที่ห้าตอน 10 ขวบ มาสเตอร์คือเทค 1 เด็กอะไรเลือกเพลงเศร้าเป็นบ้าขนาดนี้มาร้อง! Elvis จบปี 1956 ลงด้วยความสำเร็จที่ไม่รู้จะพรรณนาอย่างไรดี เขาเริ่มต้นการบันทึกเสียงในปี 1957 ในวันที่ 12-13 มกราคม โดยมีเป้าหมายที่การทำ เพลงในแนว Gospel ที่เอลวิสหลงใหลมานาน สัก 1 อีพี และซิงเกิ้ลอีกสักเพลงสองเพลง และอีพีที่ว่าก็คือ Peace In The Valley อันประกอบไปด้วย (There’ll Be) Peace In The Valley (For Me), It Is No Secret (What God Can Do),I Believe, Take My Hand, Precious Lord เป็นเรื่องขัดกันอย่างรุนแรงสำหรับนักร้องร็อคแอนด์โรลผู้อื้อฉาวด้วยท่าสะบัดสะโพกที่ผู้ปกครองรับไม่ได้กับการขับร้องเพลงศาสนาที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธา และทำได้อย่างเลิศเลอทั้งสองอย่าง! (ถ้าคุณชอบเขาร้องเพลงสวด แนะนำชุด Amazing Grace) ส่วนซิงเกิ้ลทีเด็ดจากเซสชั่นนี้คือ ‘All Shook Up” ที่มาในสไตล์ ‘Don’t Be Cruel’ และเป็นไปได้ว่า The Beatles จะนำคำว่า ‘Yeah’ อันกระฉ่อนโลกมาจากเพลงนี้ อันเต็มไปด้วยเสียงบ่งบอกอารมณ์ที่ไม่มีในพจนานุกรมเหล่านี้เต็มไปหมด

Elvis Presley The Complete 50's Masters (1)


Elvis PresleyThe King Of Rock ‘N’ Roll
The Complete 50’s Masters (RCA 66050-2/4) released date- 1992





เมื่อสักสองสามปีก่อน รายการเกมโชว์ชื่อดัง-“แฟนพันธุ์แท้”ได้จัดการแข่งขันเพื่อหาสุดยอดแฟนของราชาร็อคแอนด์โรลผู้ยิ่งยงผู้นี้ ผมจำไม่ได้แล้วล่ะว่าใครได้แชมป์ไป
แต่จำได้ดีว่าหนึ่งในของรางวัลสำหรับผู้ที่ได้ตำแหน่งชนะเลิศคือ สิ่งที่พิธีกรบอกว่าหายากเหลือเกินและผู้ที่ได้ไปต้องสูดปากซี้ดด้วยความสะใจในความยิ่งใหญ่ของรางวัลนี้
รางวัลที่ว่าก็คือ boxset นี้ล่ะครับ ผมเห็นผู้ชนะเลิศทำหน้าปูเลี่ยนๆ ไม่ใช่ว่า
boxset นี้ไม่ดี ความสุดยอดของมันไม่มีใครกล้าปฏิเสธ และผมก็ไม่คิดว่าจะมีแฟนตัวจริงของเอลวิสคนไหนจะมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากมัน พูดง่ายๆก็คือคุณแฟนพันธุ์แท้คนนั้นก็ต้องเป็นเจ้าของมันอยู่ก่อนแล้วอย่างแน่นอนที่สุด


บอกซ์นี้ปรากฎแก่สายตาชาวโลกในปี 1992 ก่อนหน้านี้งานของเอลวิสไม่เคยได้รับการจัดระเบียบให้เป็นเรื่องเป็นราว อาร์ซีเอจับเพลงของเดอะคิงมารวมกันให้เปรอะไปหมด และการที่จะเก็บงานของเอลวิสให้ครบถ้วนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและเงินตราอย่างมหาศาลทีเดียว จนกระทั่ง The King Of Rock ‘N’ Roll-The Complete 50’s Masters ออกมาถมช่องว่างตลาดตรงนี้ให้เต็ม 140 แทรคในซีดีห้าแผ่นนี้อาจจะไม่ใช่ทุกสิ่งที่เอลวิสบันทึกเสียงไว้ในยุคฟิฟตี้ส์ มันอาจจะตกหล่นแผ่นอะซิเตทบางส่วนที่มาค้นพบภายหลัง และ alternate takes อีกมาก รวมทั้งจาก sun sessions แต่ก็พูดได้เลยว่ามาสเตอร์ทั้งหมดที่ออกมาในนามของเขาในยุค50’s ได้ถูกรวบรวมไว้ ณ ที่นี้หมดแล้ว แผ่นที่ห้าจะรวมเพลงหายากที่คัดสรรแล้วและการแสดงสดในยุคนั้นเอาไว้ในชื่อ Rare and Rockin’ ส่วนอีกสี่แผ่นจะเป็นการไล่เรียงตามห้วงเวลานับตั้งแต่เอลวิสเดินเข้ามาบันทึกเสียงใน Sun studio ที่เมมฟิสเป็นครั้งแรกเพื่อร้องเพลงอัดแผ่นให้คุณแม่ของเขา, การบันทึกเสียงใน Sun sessions กับ Sam Philips ทุกเพลงที่ออกมาเป็นซิงเกิ้ลและที่ไม่ได้ออกด้วยที่นักวิจารณ์และแฟนเพลงหลายคนยกย่องว่าเป็นจุดสูงสุดในอาชีพของเอลวิส จวบจนเขาย้ายไปค่ายใหญ่กว่า-อาร์ซีเอและก้าวเข้าสู่บัลลังก์แห่งร็อคแอนด์โรลอย่างแท้จริง จนกระทั่งเซสชั่นสุดท้ายแห่งยุค 50’s ในเดือนมิถุนายน 1958 ก่อนที่เขาจะปิดฉากความยิ่งใหญ่ของความเป็นราชาร็อคด้วยการหั่นผมและจอนอันลือลั่นจนสั้นจู๋เดินเข้าสู่กองทัพเพื่อรับใช้ชาติ และ-บางคนเคยเอ่ยเปรียบเปรยไว้-เสียชีวิตแห่งราชาในนั้น เพราะแม้ว่าเขาจะยังคงสร้างงานอันยอดเยี่ยมได้อีกมากมายหลังจากยุค 50’s แต่พลังแห่งความเป็นร็อคแอนด์โรลอันฉกรรจ์กร้าวนั้น ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงในยุคนี้เท่านั้น

Disc: 1 1. My Happiness 2. That's All Right 3. I Love You Because 4. Harbor Lights 5. Blue Moon Of Kentucky 6. Blue Moon 7. Tomorrow Night 8. I'll Never Let You Go (Little Darlin') 9. I Don't Care If The Sun Don't Shine 10. Just Because 11. Good Rockin' Tonight 12. Milkcow Blues Boogie 13. You're A Heartbreaker 14. Baby Let's Play House 15. I'm Left, You're Right, She's Gone 16. Mystery Train 17. I Forgot To Remember To Forget 18. Trying To Get To You 19. When It Rains, It Really Pours 20. I Got A Woman 21. Heartbreak Hotel 22. Money Honey 23. I'm Counting On You 24. I Was The One 25. Blue Suede Shoes 26. My Baby Left Me 27. One-Sided Love Affair 28. So Glad You're Mine 29. I'm Gonna Sit Right Down And Cry (Over You) 30. Tutti Frutti


บอกซ์นี้เริ่มขึ้นด้วยเพลง ‘My Happiness’ ที่เป็นการบันทึกเสียงในห้องอัดครั้งแรกของเอลวิสที่ Memphis Recording Service ของ Sam Philips เจ้าของ Sun Records ในวันหนึ่งของฤดูร้อนของปี 1953 ขณะหนุ่มเพรสลี่ย์อายุได้ 18 ปี เขาร้องคนเดียวสดๆและเล่นกีต้าร์คลอไปด้วย และบันทึกเสียงลงแผ่นครั่ง (acetate) โดยมีด้านหลังของแผ่นคือเพลง ‘That’s When Your Heartache Begins’ (อยู่ในแผ่นที่ห้าของบอกซ์นี้) ทุกวันนี้เริ่มจะเป็นที่เชื่อกันว่าเอลวิสไม่ได้ไปบันทึกเสียงให้แม่ของเขาตามที่ตำนานเล่า แต่เป็นการโปรโมทตัวเองให้”ใครสักคน” ที่กำลังมองหานักร้องสักคนไปบันทึกเสียงมากกว่า ในวันนี้ที่เอลวิสได้พูดคุยกับ Marion Keisker เจ้าหน้าที่หญิงที่ทำงานให้แซม และบทสนทนาระหว่างเขาและเธอก็กลายเป็นอมตะไปแล้ว “เธอร้องเพลงประเภทไหน?” Marion ถาม “ผมร้องทุกประเภท” “เธอมีเสียงร้องเหมือนใครล่ะ?”“ผมเสียงไม่เหมือนใคร” แม้คำตอบของเอลวิสอาจจะดูเว่อร์ไปนิดในฤดูร้อนของปีนั้น แต่ในอีกไม่กี่ปีถัดมา ใครจะปฏิเสธถึงความสามารถในการร้องเพลงได้หลายรูปแบบและในขณะเดียวกันก็ดำรงในความเป็นเอกลักษณ์ของน้ำเสียงที่ใครฟังก็ต้องจำได้และ-ไม่มีใครทำได้เหมือน การโปรโมทตัวเองของเอลวิสในวันนั้นดูจะไม่ได้เรื่องอะไร แม้ว่ามารีออนจะโน้ตไว้ในสมุดบันทึกของเธอว่า “นักร้องบัลลาดชั้นดี จับตา” ก็ตาม มกราคมปีต่อมา เอลวิสก็แวะเข้ามาบันทึกเสียงแบบเดิมนี้อีกครั้งในเพลง ‘I’ll Never Stand In Your Way” และ ‘It Wouldn’t Be The Same Without You” (ทั้งสองเพลงไม่มีในบอกซ์นี้ แต่อยู่ใน ‘Sunrise’ และ ‘Platinum: A Life In Music”) 26 มิถุนายน ความพยายามของเขาก็เป็นผล เมื่อมารีออนโทรไปเรียกเขา ถามว่าเขาจะมาที่สตูดิโอตอนบ่ายสามได้หรือไม่? ซึ่งเอลวิสได้กล่าวติดตลกภายหลังว่า เขาไปโผล่ที่นั่นทันทีที่เธอวางหูโทรศัพท์ลง แซม ฟิลิปส์ได้ลองทดสอบการร้องเพลงของเอลวิสในวันนั้น และเขาก็พบว่าเด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างแต่เขายังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร สิ่งหนึ่งที่แซมมั่นใจว่าตัวเขาเองมีคือ-พรสวรรค์ในการมองหาพรสวรรค์ในตัวใครสักคน และถ้าคนๆนั้นมีพรสวรรค์ดังว่า แซมก็มีอีกความสามารถหนึ่งที่จะดึงเอาพรสวรรค์ของคนๆนั้นออกมาให้ได้ แซมไม่อาจทำได้ในวันนั้น แต่ในอีกราวสิบกว่าวันต่อมา เขาก็ค้นพบสิ่งนั้นในตัวเอลวิส เขาแนะนำให้เอลวิสได้รู้จักกับมือกีต้าร์ในสังกัดของเขา Scotty Moore และมือเบส Bill Blackและหลังจากได้ไปแจมกันเล็กน้อยที่บ้านของสก็อตตี้ในวันอาทิตย์ต่อมา ในวันที่ 5 มกราคม 1954 เอลวิส เพรสลี่ย์, สก็อตตี้ มัวร์ และ บิล แบล็ค ก็ได้อยู่ในห้องบันทึกเสียงของ Sun Studio ใน Memphis ร่วมกันเป็นครั้งแรก และ 18 เพลงในดิสก์1นี้ก็คือประวัติศาสตร์ที่ทริโอวงนี้ทำเอาไว้ ตั้งแต่เพลง ‘That’s All Right’ ที่เกิดมาจากการแจมเล่นๆโดยแท้ แต่กลายมาเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์ร็อคแอนด์โรลไปแล้ว จนกระทั่งเพลงสุดท้ายคือ ‘When It Rains, It Really Pours’ เอลวิสและสหายอาจจะไม่ใช่ผู้คิดค้นดนตรีร็อคแอนด์โรล แต่ผลงานทั้งหมดที่พวกเขาร้องและเล่นกันไว้ในนี้ก็เป็นอะไรที่ฉีกขนบเดิมของดนตรีอเมริกัน เป็นพลังแห่งจังหวะและเสียงร้องที่ผสมผสานความเป็นคันทรี่ กอสเพล และดนตรีของคนดำเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับพวกเขาเล่นเพลงแบบนี้มาชั่วชีวิต ซึ่งความลื่นไหลและเป็นธรรมชาติดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอีกเลย หลังจากเอลวิสถูก “ซื้อตัว” ไปอยู่กับอาร์ซีเอแล้ว ไม่ว่าโปรดิวเซอร์หรือวิศวกรจะพยามเท่าไหร่ก็ไม่อาจสร้างเสียงแบบ “ซันซาวนด์” ได้อีก



เอลวิสเริ่มชีวิตการบันทึกเสียงให้อาร์ซีเออันเป็นสังกัดสุดท้ายในชีวิตของเขาในวันที่ 10 มกราคม 1956 ด้วยความเป็นศิลปินดาวรุ่งที่ทุกคนจับตามอง และยังย้ายสังกัดมาด้วยค่าตัวที่แพงเป็นประวัติการณ์ทำให้การบันทึกเสียงในวันนั้นค่อนข้างจะตึงเครียด แต่เอลวิสเองดูจะผ่อนคลาย ในสองวันนี้พวกเขาบันทึกเสียงกันห้าเพลง รวมทั้งเพลงบลูส์พันธุ์ทาง ‘Heartbreak Hotel’ ที่กลายมาเป็นซิงเกิ้ลแรกอันยิ่งใหญ่และหนึ่งในเพลงประจำตัวของเขาในยุคแรก ‘I Got A Woman’ เป็นการนำเพลงของเรย์ ชาร์ลส์มาตีความเป็นร็อคแอนด์โรลได้อย่างสนุกสนาน ในเซสชั่นที่สองของอาร์ซีเอ ทีมงานพยายาม”เพลย์เซฟ” ด้วยการนำเพลง ‘Blue Suede Shoes’ ที่กำลังโด่งดังของคาร์ล เพอร์กินส์มาบันทึกเสียง ในกรณีที่ ‘Heartbreak Hotel’ แป้ก พวกเขาวางแผนจะออกเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ล แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีใครจำเวอร์ชั่นของเพอร์กินส์ได้แล้ว ถ้าใครอยากจะลองฟังว่าเทคนิคการร้องแบบ”เอลวิส” นั้นมีอะไร และเป็นอย่างไรบ้าง ผมขอแนะนำให้ฟังได้ใน ‘One-Sided Love Affair’ ที่เอลวิสร้องประชันไปกับเปียโนบูกี้อันเร่าร้อนของ Shorty Long คุณจะได้ฟังเอลวิสขุดทุกอย่างที่เขามีออกมา การร้องแบบสะอึกๆ การเน้นวลีและตัดคำในประโยคแบบแปลกๆ ทำเสียงเล็กเสียงใหญ่สลับกันไปอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ ผมก็อดยิ้มไปกับความสนุกของเขาไม่ได้ เอลวิสดูจะถูกชะตากับเพลงที่เป็นงานประพันธ์ของ Arthur Crudup เพราะใน ‘So Glad You’re Mine’ เขาก็ร้องได้ยอดเยี่ยมพอๆกับที่ทำไว้ใน ‘That’s All Right’ ดิสก์หนึ่งจบลงที่การ cover เพลงประจำตัวของ Little Richard ‘Tutti Frutti’ ซึ่งแม้ว่าเอลวิสจะโยกอย่างเมามันส์อย่างไร ก็ยังไม่ได้ความ”คลั่ง”กับที่ตาริชาร์ดกรี้ดเอาไว้

Friday, 20 February 2009

Motown The Complete #1s Boxset


Various Artists-Motown: The Complete NO.1’s ****


ออกปี-2008
จำนวน-10 แผ่น (digipacks)
Compilation produced by Harry Weinger
Mastered By Kevin Reeves



สนนราคาของบอกซ์ MotownThe Complete #1s นั้นปาเข้าไปเกือบๆครึ่งหมื่น
มันก็ไม่ได้แพงเกินซีดีทั่วไปหรอกครับ แต่เป็นเพราะกล่องซีดีชุดนี้บรรจุซีดีไว้ถึง
10 แผ่นด้วยกัน
แฟนเพลงที่จะเป็นเจ้าของบอกซ์นี้จึงต้องเป็นผู้มีรายได้เกินกว่าที่จะต้องการความจุนเจือจากรัฐบาลหรือนักการเมืองใดๆ
นั่นเป็นประการแรก ด่านแรกที่ต้องผ่าน ถ้าคุณไม่มีปัญหาในการซื้อซีดี 10
แผ่นพร้อมๆกันแล้ว ก็ต้องถามตัวเองว่าคุณชอบเพลงในสไตล์ "โมทาวน์" ขนาดไหน
กล่องนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นแฟนเข้ากระดูกของโมทาวน์ที่สะสมทุกอย่าง
หรือไม่ก็เป็นผู้คิดจะเริ่มฟังแต่อยากเก็บเฉพาะเพลงสุดฮิตของค่ายนี้เอาไว้เปิดฟังรวดเดียว
(ใช้เวลากว่าครึ่งวันถ้าคุณเปิดไม่หยุด)
ก่อนที่ท่านจะคิดว่าผู้เขียนเป็นพวกไหนกันแน่ ก็ขอประกาศขอบคุณ คุณสัมพันธ์
โตสว่างไว้ตรงนี้เสียเลย ที่ให้ยืมแผ่นชุดนี้มาเขียนครับ!


ถ้านับว่าเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 คือเพลงที่มีคุณค่ามีราคากว่าเพลงดาษๆทั่วไปล่ะก็ กล่องนี้ไม่แพงหรอกครับ เพราะมันรวมเพลงที่ขึ้นสู่ยอดชาร์ตเข้าไว้ด้วยกันมากกว่า 200 เพลง ผมไม่คิดว่าจะมีกล่องซีดีชุดไหนจะมีเพลงอันดับ1เอาไว้ในชุดมากมายขนาดนี้ ใครพบวานบอกด้วยนะครับ


แต่เดี๋ยวก่อน! เรื่องอันดับ 1 นี่ต้องดูคำจำกัดความกันหน่อย ในกล่องนี้ คำว่าอันดับ 1 ของเขานั้นกว้างไพศาล กินความไปถึงทุกชาร์ต (ทุกแนวดนตรี) ของทุกประเทศที่ทีมงานคนทำกล่องพอจะหามาได้ (นี่ขนาดไม่มีประเทศไทยนะ) แถมเพลงโมทาวน์ที่ไม่เคยขึ้นอันดับ1โดยตัวศิลปินโมทาวน์เอง แต่ศิลปินค่ายอื่นเอาไปร้องแล้วขึ้นที่1ได้ ก็ยังมารวมเอาไว้ในกล่องนี้ในฐานะโบนัสแทร็คด้วย ไม่งั้นเราคงไม่ได้มีเพลงดีๆอย่าง Dancing In The Street หรือ This Old Heart Of Mine ในกล่องนี้ (ไม่น่าเชื่อว่าเพลงระดับดังมากๆหลายเพลงกลับไม่เคยขึ้นอันดับ 1 ) นั่นเป็นเรื่องสนุกๆทางสถิติ แต่เพลงอันดับ1มันก็คือเพลงที่ฮิตที่สุดในเวลานั้นๆจากการรวบรวมข้อมูลของใครบางคน และมันก็หลายสิบปีมาแล้ว คุณค่าจริงๆของเพลงสองร้อยกว่าเพลงในกล่องนี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลยครับ


คงไม่ต้องบรรยายว่าเพลงแบบโมทาวน์เป็นอย่างไร ทุกท่านคงเคยฟังเพลงดังๆอย่าง My Girl ของ Temptations, Stop! In The Name Of Love ของ The Supremes หรือ I Heard It Through The Grapevine ของ Marvin Gaye กันมาแล้ว โมทาวน์ยุคแรกผลิดเพลงฮิตกันเป็นอุตสาหกรรมจริงๆ แทบจะไม่สำคัญว่าศิลปินคนร้องจะเป็นใคร เพราะทุกเพลงต้องผ่านคิวซีของทีมผลิตโมทาวน์มาก่อน นโยบายของโมทาวน์ในยุคนั้นไม่มีการพูดถึงศิลปะหรือการทำเพลงเอาใจตัวเอง ทุกเพลงทุกอัลบั้มมีเป้าหมายอย่างเดียวคือเพลงฮิตติดตลาด เนื้อหาของบทเพลงก็แทบจะเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆล้วนๆ แต่เพลงแบบนี้แหละ ที่อยู่ยงคงกะพันมาจนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับเพลงหวานๆโหลๆของ Carpenters ไม่ว่าคุณจะทำเพลงเอาใจตลาดหรือเพลงฟังยากจริงจัง ถ้าคุณภาพของบทเพลงมันดีจริง ผมคิดว่ามันย่อมมีที่ทางในดวงใจของแฟนเพลงอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มีข้อสังเกตนิดนึงว่าการเขียนเนื้อเพลงของโมทาวน์จะมีลักษณะการดำเนินเรื่องคล้ายๆเพลงคันทรี่ของคนขาวอยู่เหมือนกัน ซึ่งทีมแต่งเพลงของค่ายก็ออกมายอมรับ ด้วยเหตุผลที่ว่ามัน “ติดดิน” ดี อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เพลงของค่ายนี้มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ เพลงส่วนใหญ่เล่นแบ๊คอัพด้วยวงดนตรีวงเดียวกันคือ The Funk Brothers


Berry Gordy บิดาแห่งโมทาวน์คือผู้ริเริ่มและประธานตัวจริงตลอดกาลของโมทาวน์ เขาได้ไอเดียในการทำเพลงแบบนี้จากการไปมองสายพานการผลิตรถยนต์ ที่เริ่มจากโครงเปล่าๆก่อน แล้วค่อยๆใส่เครื่องเคราลงไปทีละชิ้น จนเมื่อสุดสายพาน ก็จะได้รถยนต์ที่มีคุณภาพทัดเทียมกันทุกคันไปทุกครั้ง ก็สมดีกับชื่อ Motown ที่มาจาก motor town - เมืองดีทรอยท์ที่ๆค่ายนี้ตั้งอยู่อันเป็นเมืองผลิตรถตัวยงของอเมริกายุคนั้น กอร์ดี้เป็นนักแต่งเพลงมือดีมาก่อนด้วย เขาเป็นนักธุรกิจตัวยงที่มีนโยบาย win-win ในทุกสถานการณ์ การคัดเลือกทีมงานของกอร์ดี้ก็ถือว่าสุดยอด ทั้งการเลือกตัวศิลปิน และนักแต่งเพลง โมทาวน์ในยุค 60's และข้ามมาถึง 70's จึงเป็นโรงงานผลิตเพลงฮิตที่ไม่มีใครกล้าต่อกร


กล่อง Complete #1s นี้ทำเป็นแพ็คเกจใส่ไว้ในกล่องรูปบ้านเล็กๆที่ชื่อว่า Hitsville USA อันจำลองมาจากที่ทำงานดั้งเดิมของค่ายนี้ ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเล็กๆนั้นจะเป็นออฟฟิซที่ทำงานทุกอย่างในยุคแรกของโมทาวน์ออกมา คุณภาพเสียงของเพลงในกล่องนี้ผ่านการรีมาสเตอร์เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ แต่หลายๆแทร็คสุ้มเสียงกระจ่างใสและมีน้ำมีนวลมากกว่าที่เคยฟังจากที่ใดๆมาก่อน แม้ว่าซีดีแผ่นหลังๆในกล่องนี้อาจจะไม่มีความคลาสสิกเท่ายุคแรก เพลงก็จะไม่ค่อยมีเอกลักษณ์ในแบบโมทาวน์เท่าไหร่แล้ว แต่โดยรวมแล้วนี่ก็ยังเป็นกล่องรวมเพลงที่สมบูรณ์ที่สุดชุดหนึ่งครับ ถ้าคิดว่ามันแพงเกินไป ก็ลองไปเลือกหากล่องที่เล็กลงกว่านี้ได้ เห็นมีแบบ 3 หรือ 5 แผ่น ฉลองครบ 50 ปีของค่ายนี้ด้วย


ทุกวันนี้ค่ายโมทาวน์ก็ยังอยู่ดี แม้จะไม่ใช่โรงงานผลิตเพลงฮิตอีกต่อไปแล้ว แต่ก็อย่าประมาทชายชราชื่อ Berry Gordy ในวัย 80 ปี ได้ข่าวว่าเขาเพิ่งกลับมาจากการเกษียณอายุอีกครั้ง เพื่อทำงานกับศิลปินหญิงวัยรุ่นหน้าใหม่ที่ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อแซ่ มีแต่เสียงกระซิบจากเจ้าพ่อโมทาวน์ว่า เธอคนนี้คือปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ ถ้าไม่ใช่ราคาคุยก็ต้องจับตามองกันล่ะครับ


ทิ้งท้ายไว้ด้วย 10 เพลงโมทาวน์ที่ผมรักที่สุดครับ และคิดว่ามันคงเป็นตัวแทนของ”เสียงแห่งโมทาวน์” ได้เป็นอย่างดี และแน่นอนมันต้องเคยเป็นเพลงอันดับ1ที่ไหนสักแห่งในโลกมาก่อน และอยู่รวมในกล่องนี้ด้วย


1.My Guy-Mary Wells
2.My Girl-The Temptations
3.I Second That Emotion-Smokey Robinson
4.I Want You Back-Jackson 5
5.Please Mister Postman-The Marvelettes
6.Let's Get It On-Marvin Gaye
7.For Once In My Life-Stevie Wonder
8.Just My Imagination-The Temptations
9.Penny Lover-Lionel Richie
10.You Are The Sunshine Of My Life-Stevie Wonder