Friday 25 March 2016

"Truth"

Gwen Stefani | This Is What The Truth Feels Like ***1/2

Genre: Pop
Released: March 2016


Producers:

·         Tim Blacksmith
·         Danny D
·         Teal Douville
·         Mike Green
·         Greg Kurstin
·         Mattman & Robin
·         J.R. Rotem
·         Stargate

Tracklist:

1.  Misery
2.  You're My Favourite
3.  Where Would I Be
4.  Make Me Like You
5.  Truth
6.  Used To Love You
7.  Send Me A Picture
8.  Red Flag
9.  Asking 4 It
10.  Naughty
11.  Me Without You
12.  Rare


  ถ้าเราจะพูดถึงอัลบั้ม ‘Truth’ (ขอเรียกสั้นๆ) นี้ของ Gwen Stefani โดยไม่สนใจเรื่องชีวิตส่วนตัวของเธอเลย ก็คงจะเป็นรีวิวที่สั้นจู๋ แต่แฟนเพลงป๊อบคงไม่ชอบอะไรแบบนั้น โดยเฉพาะกับ ‘Queen of Confession Pop’ อย่าง Gwen ที่ศิลปะของเธอ ไปด้วยกันกับชีวิตเสมอ อัลบั้มนี้จึงเป็นเสมือนหนึ่ง status บอกเล่าเรื่องราว ณ จุดหนึ่งในชีวิตของผู้หญิงวัย 47 ปีที่ยังดูอ่อนเยาว์นักคนนี้



   ศิลปินทำอัลบั้มเพลงเศร้าหลังจากอกหัก? อัลบั้มแห่งความชื่นมื่นในรักอันมาจากความดูดดื่มของเจ้าของอัลบั้มกับคนรักใหม่เอี่ยม? สิ่งเหล่านี้พบได้ไม่ยากในประวัติศาสตร์ของเพลงป๊อบ แต่จะหาอัลบั้มไหนที่จับเรื่องราวและห้วงเวลาใน “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” นั้น และมีทั้งเรื่องหัวใจอันรวดร้าวแสนสาหัสคลุกเคล้าไปกับหัวใจพองโตเป็นสีชมพู---หาได้ยาก และนี่คงเป็นสิ่งที่ Gwen Stefani อยากจะบอกว่าเราว่า “มันคืออะไรที่ทำให้รู้สึกได้ว่าความจริงแท้นั้นเป็นอย่างไร”


    อัลบั้มที่สามของ Gwen ที่ทิ้งช่วงห่างจากอัลบั้มที่แล้ว The Sweet Escape ถึง 10 ปี ตอนเธอกลายมาเป็นศิลปินเดี่ยวในช่วงแรกๆ ถ้าไม่ติดว่าเธอเริ่มต้นช้าไปหน่อย ผมแอบคิดว่าเธออาจจะมาแทน Madonna ได้ทีเดียว แต่แล้วเธอก็ไม่สนุกกับการออกอัลบั้มในนามตัวเองอีกต่อไป หลังจาก Sweet Escape ที่ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ไม่เปรี้ยงนัก เมื่อเทียบกับ L.A.M.B. (Love. Angel. Music. Baby) อัลบั้มแรก  Gwen ก็หันไปสู่โปรเจ็คอื่นๆ -- ให้กำเนิดบุตรชายให้สามี Gavin Rossdale (ร็อคเกอร์แห่งวง Bush) ถึงสามคน, ไป feat. ในเพลงต่างๆของศิลปินอื่นๆอีกมากมาย และคืนสู่เหย้า ในการรียูเนี่ยนของ No Doubt วงดนตรีที่เธอแจ้งเกิดไว้ตั้งแต่ปี 1995 กับเพลง “Don’t Speak” และอัลบั้ม  “Tragic Kingdom” มันเป็นอะไรที่แทรกผ่ากลาง ฝ่าวงอัลเทอร์เนทีพและกรันจ์ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง ดนตรีสกาผสมป๊อบร็อคของ No Doubt เมื่อประดับด้วยเสียงร้องระดับ mezzo-soprano ที่เจือหวานเศร้า และ vibrato ทรงเสน่ห์ของ Gwen คือความแตกต่างที่งดงามและสุด catchy แต่..กลับมาที่การรียูเนี่ยนของวงในปี 2012 (อัลบั้ม “Push and Shove”) มันไม่ได้ฮือฮาอะไรอย่างที่คาดหวัง ดังนั้นมันน่าจะถึงเวลาแล้วที่ศิลปินหญิงเดี่ยว Gwen Stefani จะกลับมาอีกครั้ง


  ชาวบ้านร้านช่องในยุคหลังอาจจะรู้จักเธอในบทบาทของโค้ช “The Voice” มากกว่าศิลปินนักร้องจริงๆเสียอีก แต่นั่นก็ถือเป็นใบเบิกทางอย่างดีในการหวนคืนวงการ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องหยุดทุกอย่าง Gwen แยกทางกับ Gavin ในปี 2015 นี้เอง และเธอเก็บพับเพลงในอัลบั้มใหม่ทั้งหมด ก่อนที่จะรื้อเอามาทำใหม่ เพื่อให้อัพเดทกับ status ในปัจจุบันของเธอ โชคดีที่เธอได้พบกับรักใหม่อย่างไม่ต้องรอนานนักกับนักร้องคันทรี่หนุ่มร่างสูงใหญ่ ที่เป็นโค้ช The Voice เหมือนกัน—Blake Shelton พ่อหม้ายหมาดๆที่เพิ่งหย่าร้างจากMiranda Lambert ศิลปินคันทรี่สาวชื่อดังแห่งยุค โชคดี.... ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้ฟังแต่เพลงอกหักแรงๆเต็มอัลบั้ม “Truth” นี้ไปหมดก็เป็นได้ อนึ่ง แม้การหย่าร้างเลิกรากันในวงการนี้จะไม่ถือเป็นเรื่องช็อกโลกอะไร แต่สำหรับคู่ Gwen-Gavin นี่ก็จัดว่าเหนือความคาดหมาย เพราะดูจะรักใคร่กันดีมานานโข แถมมีทายาทกันถึงสามคน.... แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับ ว่าภาพภายนอกที่ดูดีนักของชีวิตคู่แต่ละคู่ มันมีฉากหลังยังไง? – ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน จนกระทั่งหลายๆบทเพลงในอัลบั้มนี้ของ Gwen เหมือนจะบอกอะไรเรามาไม่น้อยทั้งทางตรงและอ้อม


  ซิงเกิ้ลเปิดตัว “Used To Love You” พร้อมกับมิวสิกวิดีโอในสไตล์ของ “Nothing Compares

 U” เพลงในยุค 80’s ของ Sinead O’Connor นั้น เป็นเพลงอกหักที่ขาดแค่บอกชื่อ Gavin ลงไปในเนื้อเพลงเท่านั้นที่จะไม่ทำให้มันเป็นเพลงที่ direct ไปที่เขา น้ำเสียงของ  Gwen ตอนร้องชื่อเพลงทำได้สุดยอด แทบจะเห็นน้ำตากระเด็นออกมากับประโยคนั้นด้วย วรรคทองอีกวรรคคือ “I guess nobody taught you how to love.”

   ก่อนที่จะคุยกันถึงเรื่องเพลงอื่นๆ ต้องบอกก่อนนะครับ ว่าท่านไม่จำเป็นต้องไปซีเรียสลงลึกกับเนื้อเพลงหรือติดตามประวัติศาสตร์ชีวิตรักของเธออย่างลึกซึ้ง จึงจะเข้าถึง “Truth” ได้ ตรงข้ามเลย ฟังเฉยๆ เอาทำนองและดนตรีอย่างเดียวก็ผ่านแล้วครับ มันอาจจะไม่ได้เป็นงานป๊อบทันสมัยจ๋าหรือล้ำยุคอะไร แต่ก็ฟังเพลิน แคทชี่ และไม่เชย ผมว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้งานชุดแรกของเธอ และ Rock Steady ของ No Doubt แม้จะไม่ซาบซ่าน จี๊ดจ๊าดเท่า ก็เป็นไปตามวัยของศิลปินล่ะนะ


   เพลงที่เหลือก็แทบจะแบ่งกันไปได้เลย ระหว่างเพลงร้องไห้ใส่ Gavin และเพลงอี๋อ๋อกับ Blakeที่แฮปปี้ชื่นมื่นที่สุดก็น่าจะเป็นเพลงดิสโก้ไลท์ “Make Me Like You” อันมีมิวสิกวิดีโอที่แสนจะชื่นรักเช่นกัน Gwen แสดงออกถึงคนที่กำลังอินเลิฟสุดๆได้อย่างสมบทบาท (ก็แน่ล่ะ เธอกำลังอินจริงๆนี่) เนื้อร้องแสดงถึงความรักที่ถาโถมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เธอก็รับมันไว้เต็มเปา แม้จะยังหวาดหวั่นอยู่ในที


Hey, wait a minute No, you can't do this to me

Wait a minute No, that's not fair Hey, wait a minute You're on me like jewelry I really like you, but I'm so scared



   ‘Misery’ เพลงเปิดอัลบั้ม อาจจะเป็นเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นช่วง ‘transition’ จริงๆ ชื่อเพลงเศร้า แต่มันไม่หมองหรอก เพราะนี่คือการเรียกคนรักใหม่เข้ามาลากเธอออกไปจากบรรยากาศมาคุของความร้าวรานนี่อย่างรวดเร็วเถิด


So put me outta my misery Hurry up, come see me
Put me outta my misery Hurry up, come see me
Enough, enough of this suffering Hurry up, come see me

Put me outta of my misery Put me outta my misery

‘Misery’ มันมีทุกอย่างที่เพลงเปิดอัลบั้มป๊อบชั้นดีควรจะมี....

   “You’re My Favorite” (ฉันผ่านอะไรมามากมายแล้วในชีวิต แต่นายนั่นแหละที่เป็นสุดโปรดของฉัน) “Where Would I Be” (ถ้าไม่มีเธอป่านนี้ฉันจะเป็นยังไงนะ-เพลงนี้เหมือน No Doubt ที่สุดในอัลบั้ม )   “Send Me A Picture”  (อยู่ห่างกันมันคิดถึง ส่งรูปมาให้ดูเดี๋ยวนี้ได้ไหม) “Rare” (เธอเป็นของหายากที่ฉันแทบจะไม่อยากเชื่อว่ามีในโลก และหญิงโง่เง่าเท่านั้นที่จะปล่อยของหายากอย่างนี้ไป) ล้วนแล้วแต่เป็นเพลง ‘for Blake’


   ส่วนเพลง ‘for Gavin’ ที่เหลือนอกจาก “Used To Love You” แล้วก็มี “Truth”, “Asking4It”, “Red Flag”, “Naughty” และที่ชัดเจนที่สุด Me Without You (และนี่ไง ฉันที่ไม่มีเธอ ดูสิ ฉันยังหายใจได้นะ) เพลงเหล่านี้ทำให้เหล่าแฟนเพลงสามารถตามรอยไปได้ว่า อะไรหนอที่ทำให้ชีวิตสมรสของเธอและ Gavin พัง ไม่มีอะไรพลิกล็อคหรอก ไม่พ้นเรื่องนอกใจซุกซนไปทั่ว และเงินๆทองๆ


   ขณะที่เขียนอยู่นี่ มีข่าวมาว่าอัลบั้ม …Truth… มีลุ้นจะได้ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดในเดือนเมษายน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเป็นอัลบั้มแรกของ Gwen Stefani ที่ทำได้ แม้การขึ้นอันดับ 1 ในทุกวันนี้จะมีความหมายน้อยกว่าวันวานก็ตามที ยังไงก็ยินดีกับเธอด้วย แน่ล่ะ แม้ว่าอัลบั้มที่เป็น post-breakup จาก Gavin จะทำให้เราได้ฟังเพลงดีๆหลายเพลง แต่เราก็ยังไม่อยากได้ยินเพลง post-breakup จาก Blake ในเร็ววันนี้หรอกนะ

No comments: