Thursday 25 May 2017

ชีวิต ความรัก และ เลือดเนื้อ


Imelda May:: Life Love Flesh Blood ***
Released : April 2017
Producer: T-Bone Burnett
Genre: Pop Rock



ว่ากันว่าสตรียามผ่านช่วงเปลี่ยนแปลงในชีวิตรัก (หรือเรียกง่ายๆว่าอกหัก) สิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ที่พวกเธอมักจะทำกันก็คือการเปลี่ยนทรงผม รวมถึงรูปลักษณ์อื่นๆ มันอาจจะไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าช่วยให้เธอมีกำลังใจในการที่จะผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นไปให้ได้ การเปลี่ยนทรงผมปอมปาดูร์สีบลอนด์อันเป็นเอกลักษณ์มาตลอดของ Imelda May นักร้องสาว (ใหญ่)ชาวไอริช วัย 42 ปี มาเป็นทรงบ๊อบเรียบง่ายสีบรูเน็ตต์บนปกอัลบั้มใหม่นี้ก็น่าจะเข้าข่าย เพราะเธอเพิ่งเลิกราไปกับสามี Darrel Higham มาได้ไม่นาน เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่สามีเท่านั้น แต่ดาเรลล์ยังมีส่วนในการทำเพลงให้เมย์มาตลอด รวมทั้งโปรดิวซ์และเล่นกีต้าร์ให้ด้วย การขาดเขาไปจึงส่งผลอย่างแรงต่อทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตดนตรีของไอเมลด้า เมย์

Life Love Flesh Blood เป็นอัลบั้มชุดที่ห้าของเมย์ สี่อัลบั้มที่ผ่านมา เธอสร้างชื่อเสียงในฐานะนักร้องเสียงดี ในแนวร็อคอะบิลลี่ยุคใหม่ที่ผสมผสานความสนุกสนานแห่งยุค 50’s เข้ากับพลังแรงๆของนิวเวฟยุค 80’s และเมื่อจะร้องแจ๊สเธอก็ทำได้ดี จนมีสื่อเอาเธอไปเทียบเคียงกับบิลลี่ ฮอลิเดย์ นั่น (ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่) แนวดนตรีจากสี่อัลบั้มแรกแทบจะไม่มีให้ได้ยินอีกใน Life Love Flesh Blood เหมือนเธออยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยทุกอย่างที่ใหม่หมด ตั้งแต่ทรงผมจรดแนวดนตรี

ไอเมลด้า เมย์ จัดเป็นนักร้องคนโปรดที่ศิลปินต่างๆชอบดึงไปร่วมงานด้วยมากมาย ด้วยเสียงร้องและลีลาที่ไว้ใจได้เสมอ (ไม่ต่างจากจอสส์ สโตน) จึงไม่ต้องห่วงว่าเมื่อเธอไม่มีดาเรลล์แล้วจะไปไม่รอด งานนี้เมย์ดึงโปรดิวเซอร์ระดับเทพ T-Bone Burnett มาควบคุมการผลิตให้  และทีโบนก็ยกทีมวงดนตรีของเขามาบรรเลงให้ด้วยเสียเลย อันประกอบด้วยตัวเขาเองเล่นกีต้าร์ร่วมกับ Marc Ribot, Dennis Crouch เล่นเบส, Jay Bellerose กลอง และคีย์บอร์ดโดย Patrick Warren แน่นอนว่าฝีมือของวงดนตรีวงนี้อยู่ในระดับเชื่อมือได้ เมื่อเห็นว่าทีโบนมาโปรดิวซ์ผมค่อนข้างสบายใจว่าอัลบั้มนี้ต้องออกมาดีแน่ๆ แต่ก็กังวลเล็กน้อยกับซาวด์แบบแห้งๆที่แกชอบนักหนา สิ่งที่ผมสบายใจนั้นเป็นจริง คืองานออกมาดี และสิ่งที่กังวลนั้นก็ไม่เกิด เพราะทีโบน,ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ, กลับละทิ้งสุ้มเสียงแห้งๆนั้นไป สิ่งที่ได้ยินคืออัลบั้มที่มีคุณภาพเสียงอิ่มเอิบเปิดกว้าง ขัดกับแนวทางของแกอย่างยิ่ง (แต่ผมชอบ)

ด้วยรูปการณ์แห่งเรื่องราวในชีวิตของศิลปิน มันค่อนข้างจะมีเหตุผล ถ้าเราจะคาดเดาว่า นี่น่าจะเป็นอัลบั้มแห่งความปวดร้าว บทเพลงแห่งหัวใจแตกสลาย ถ้าท่านเดาอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องอย่างนั้นเท่านั้น ดั่งที่ชื่ออัลบั้มบอกเป็นนัยไว้ มันเป็นเรื่องราวแห่งชีวิตและความเป็นตัวตนของเธอในช่วงนี้  ทั้งความผิดหวังในรัก, ความหวังในรักใหม่, พฤติกรรมแย่ๆของตัวเธอเองแต่นำเสนออย่างสนุกๆ และเพลงที่มองย้อนไปในวัยเยาว์คู่ขนานไปกับการมองชีวิตลูกสาวตัวน้อย.....แต่ก็หนักไปที่เพลงอกหักนั่นแหละ  เธอมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงทุกเพลงใน 11 เพลงของอัลบั้มนี้ (โดยที่ 6 เพลงเป็นเพลงที่เธอแต่งคนเดียว)

โทนของเพลงใน Life Love Flesh Blood คือป๊อบร็อคที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีพื้นๆ มีความเป็นบลูส์ในแบบที่ Etta James เคยคร่ำครวญเอาไว้ได้อย่างสุดยอด มีท่วงทำนองหวานซึ้งในลีลาของ Roy Orbison ในยุค 60’s ความสนุกสนานของโมทาวน์โซล และบางขณะ คุณอาจจะได้ยิน “กำแพงเสียง” ในแบบของ Phil Spector ต้องชมทีโบนที่คุมโทนของดนตรีทั้งหมดได้อยู่หมัด ไม่ได้หนักไปทางใดทางหนึ่ง และคุณบอกได้ทันทีว่านี่มันต่างจากร็อคอะบิลลี่ และ นิวเวฟที่เธอเคยทำไว้ทั้งหมด มันดูจริงจังขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้งานผ่านๆมาของเธอเหมือนเป็นแค่เพลงสนุกๆที่ฟังผ่านๆไปเท่านั้น Life Love Flesh Blood มีสัดส่วนของเพลงบัลลาดโซลหวานเศร้ากับเพลงป๊อบร็อคสนุกๆในอัตราพอๆกัน

แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็ย่อมต้องเป็นเสียงร้องของเธอ เมย์เป็นคนที่ร้องเพลงตรงไปตรงมา ชัดถ้อยชัดคำมีพลังในทุกท่วงทำนอง และบทเธอจะกรีดร้องเมื่อถึงเวลาเธอก็ทำได้อย่างน่าสะพรึงกลัวไม่แพ้ใคร ความหวานและกังวานในแก้วเสียงของเธอ ถ้าต้องรสนิยมของใคร รับรองว่าฟังได้ไม่มีเบื่อหน่าย

อย่างที่บอกว่าเธอเป็นคนมีมิตรสหายเยอะ งานนี้ก็มีรุ่นใหญ่มาช่วยด้วยสองท่าน Jeff Beck ฝากฝีมือสไลด์กีต้าร์เวิ้งว้างไว้ใน Black Tears และ Jools Holland เล่นเปียโนในเพลงกึ่งกอสเพล When It’s My Time

ไม่ขอลงรายละเอียดในแต่ละเพลง แต่บอกได้เลยว่ามีมาตรฐานและคุณค่าในการฟังทุกแทร็ค เนื้อเพลงไม่ยากนัก ใช้คำง่ายๆที่เข้าใจได้ถึงอารมณ์เพลงทันที ถ้าจะมีข้อติติงบ้างก็คงเป็นความ “คาดเดาง่ายเกินไป” ของทำนองเพลงของเธอ ที่แน่นอนว่าติดหูง่าย แต่บางทีมันก็ท้าทายคนฟังน้อยไปหน่อย

อัลบั้มชุดนี้บันทึกเสียงกันแค่ 7 วัน โดยมีแขกรับเชิญอีกท่านที่คอยแนะนำและให้กำลังใจตลอด แม้จะไม่ได้มาแต่งเพลงหรือร้องด้วย เขาคือเพื่อนบ้านชาวไอริช โบโน แห่งยูทู (ที่ตัวเองก็ไม่เคยมีงานเดี่ยวกับเขาเสียที)

ถ้าคุณเคยฟังเพลงของเธอมาก่อน หรือเป็นแฟนเก่าของเธอ ผมคิดว่าคุณจะยังชอบอัลบั้มชุดนี้อยู่ แม้จะเปลี่ยนแนวทางไป แต่ตัวตนของเมย์ก็ยังอยู่ในบทเพลงของเธออยู่ไม่ไปไหน ส่วนใครถ้าคิดจะเริ่มต้นฟังไอเมลด้า เมย์ หรืออยากฟังป๊อบร็อคย้อนยุคซักเล็กน้อย ดนตรีเล่นกันด้วยฝีมือเนื้อๆ หรืออยากฟังเพลงอกหักเปี่ยมอารมณ์ที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงและคลาสส์ คุณจะไม่ผิดหวังครับกับ Life Love Flesh Blood

Tracklist:

1
Call Me
3:28
2
Black Tears
Featuring – Jeff Beck
4:04
3
Should’ve Been You
3:38
4
Sixth Sense
4:15
5
Human
3:40
6
How Bad Can a Good Girl Be
3:27
7
Bad Habit
4:42
8
Levitate
3:34
9
When It's My Time
Featuring – Jools Holland
5:17
10
Leave Me Lonely
4:01
11
The Girl I Used To Be


ใน deluxe edition จะมีเพลงแถมอีก 4 เพลง คือ The Longing, Flesh and Blood, Game Changer และ Love And Fear. ที่ดีพอจะอยู่ใน standard edition ทุกเพลง (แล้วจะตัดออกมาทำไม?)

No comments: