Sunday, 9 May 2010

AC/DC Iron Man 2 ****



ออกจำหน่าย-เมษายน 2010

แนวดนตรี-ฮาร์ดร็อค

โปรดิวเซอร์ -

Robert John "Mutt" Lange, George Young, Harry Vanda, Malcolm Young, Angus Young, Bruce Fairbairn, Brendan O'Brien

เอซีดีซีมีหลายอย่างเหมือนเครื่องดื่มยาคูลต์ ทั้งสองแบนด์และแบรนด์ค้นพบสูตรสำเร็จของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน และพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนสูตรนั้น ทั้ง รสชาติ และวิธีการนำเสนอ เอซีดีซีแก้ปัญหาความเลี่ยนและซ้ำซากด้วย การออกงานมาในปริมาณและช่วงเวลาที่พอเหมาะส่วนยาคูลต์ก็ยังอยู่ในขวดเล็กๆกินเท่าไหร่ก็ไม่เคยพออยู่ร่ำไป และ ยังดูเหมือนว่าตราบใดที่ยังมีสาวยาคูลท์ปั่นจักรยานส่งเครื่องดื่มแลคโตบาซิลลัสนี้ตามบ้านอยู่ แองกัส ยังก็ยังคงใส่ชุดนักเรียนขาสั้นดีดดิ้นพุ่งพล่านบนเวทีไปกับดนตรีบูกี้-เมทัลของวงต่อไป หลายปีผ่านมา มียาคูลต์เทียมออกมาไม่น้อย เช่นเดียวกับวงเมทัลหน้าใหม่ๆที่พยายามเดินตามรอยป๊ะป๋าขาสั้น แต่ก็คงทราบกันว่า ไม่มีอะไรจะเลิศเท่าของแท้และดั้งเดิม

แต่แม้แต่ยาคูลต์ในบางประเทศก็ยังมีหลายรสชาติให้เลือก และขนาดของขวดก็ไม่เท่ากันเสมอไป เอซีดีซีก็คงต้องมีอะไรแปลกใหม่มาให้แฟนๆหายคิดถึงกันบ้าง หลังจากกวาดชื่อเสียงเก่าๆกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์แบบใน Black Ice (2008) พวกเขามีงานเพลงเก็บตกออกมาในปีถัดมาในชื่อ Backtrack และในปีนี้ กับอัลบั้มที่ใกล้เคียงกับคำว่า Greatest Hits ที่สุดในตำนานของวงร็อคอมตะจากออสเตรเลียวงนี้ เอซีดีซีอาจจะเป็นวงร็อคระดับพรีเมียร์วงเดียวในโลกที่ไม่เคยมีงานรวมฮิตมาก่อน วงอื่นอาจจะออกงานรวมเพลงมาเพื่อโกยเงิน แต่เอซีดีซีมีความสุขกับการขายอัลบั้มหลักของเขาอย่างนิ่มๆไปเรื่อยๆดีกว่า ส่วนตัวคิดว่าเป็นความชาญฉลาดทางธุรกิจของพวกเขา เชื่อได้ว่าถ้าเอซีดีซีมีงานรวมเพลง อัลบั้มอย่าง Back In Black (1980) หรือ For Those About To Rock , We Salute You (1981) คงจะขายไม่ได้มากมายต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้แน่

และอีกอย่าง การมีงานรวมเพลง อาจจะเป็นการประจานตัวเองอ้อมๆ ว่ากี่ปีกี่ชาติ วงนี้ไม่เคยมีพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำเพลงเลยสักนิด! เอกลักษณ์ของวงนี้คือเนื้อร้องที่เว้ากันซื่อๆ เป็นเพลงเพื่อชีวิตแท้ๆของลูกผู้ชาย(โฉด) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเซ็กซ์ การดื่มกิน การต่อสู้ และนรก แต่ทั้งหมดนี้จะไม่มีความหมายถ้าไม่ได้การเล่นกีต้าร์ที่ฟังดูแสนง่ายดายแต่สุดจะเมามันทุกครั้งที่เขาโซโลของแองกัสยัง และห้องเครื่อง ของวงที่หนักแน่นเข้มแข็งราวกับทหารเดินสวนสนาม และนำทัพด้วยเสียงร้องนำที่กรีดทะลุเพดาน

Iron Man 2 คือซาวนด์แทร็คประกอบหนังแอ็คชั่นเรื่องดังที่สร้างจากการ์ตูนของมาร์เวล ประกอบไปด้วย 15 เพลงของ AC/DC ล้วนๆ แค่ไอเดียนี้อย่างเดียวก็ต้องยอมรับว่าเวิร์คมากๆแล้ว เพลงของพวกเขาหลายเพลงราวกับสร้างมาเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งๆที่จริงแล้ว 15 เพลงนี้เป็นเพลงต่างกรรมต่างวาระ และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหนัง Iron Man 2 แต่อย่างใด เพลงเก่าแก่ที่สุดคือ T.N.T. ย้อนกลับไปในปี 1976 และใหม่ที่สุดคือ War Machine จากอัลบั้มล่าสุด Black Ice เมื่อสองปีก่อน เราคงไม่อาจเรียก Iron Man 2 ว่าเป็นงานรวมเพลงฮิตหรือเพลงเอกของวงได้อย่างเต็มปาก เพราะแม้จะมีเพลงเด็ดๆอย่าง Back In Black, Have A Drink On Me, Highway To Hell แต่ก็ยังมีเพลงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่าง Cold Hearted Man หรือ Rock ‘N’ Roll Damnation และก็ยังขาดเพลงชั้นยอดของวงอีกหลายเพลง ที่น่าเสียดายคือไม่มีเพลงใหม่เอี่ยมเลย ทางวงเคยทำเพลงประกอบหนังมาแล้วครั้งหนึ่งในอัลบั้ม Who Made Who (1986) สำหรับภาพยนตร์ Maximum Overdrive ที่ยังมีเพลงใหม่และเพลงบรรเลงอยู่ถึง 3 เพลง

ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะยังมองไม่เห็นว่าซาวนด์แทร็ค-รวมเพลงชุดนี้จะมีคุณค่าใดๆในการแสวงหามาครอบครอง? เอาล่ะ แม้มันจะมีข้อบกพร่องหรือเรื่องน่าเสียดายบางประการดังกล่าว แต่ Iron Man 2 ก็ยังเป็นอัลบั้มฮาร์ดร็อคที่ทรงคุณค่าด้วยตัวบทเพลงเอง ทุกเพลงจัดมาแบบเน้นๆว่าให้แป็นการประกอบหนัง action โดยเฉพาะ ชนิดดูชื่อเพลงก็สอบผ่านแล้ว อาทิ If You Want Blood (You’ve Got It) , Evil Ways หรือ The Razors Edge อานิสงค์อีกประการของอัลบั้มที่บุรุษผู้หนึ่งรับไปเต็มๆคือ Bon Scott นักร้องนำคนแรกของวงที่เสียชีวิตไปหลังจากอัลบั้ม Highway To Hell Iron Man 2 มีเพลงยุคที่ Bon ร้องถึง 7 เพลง แฟน AC/DC ยุคหลังๆอาจจะได้รู้จักเสียงของเขามากขึ้นในคราวนี้ เสียงและลีลาการร้องของ Bon และนักร้องคนปัจจุบัน Brian Johnson มีความคล้ายคลึงกันไม่น้อย เพียงแต่ Bon อาจะฟังดูกวนทีนส์และมีชีวิตชีวามากกว่า ส่วน Brain นั้นมีพลังเสียงที่แสบสันต์และเลวทราม(ขออภัย)ได้อย่างน่ารักน่าชัง ก็ลองเปรียบเทียบกันดู และการเรียงเพลงดูจะพยายามสลับนักร้องสองคนนี้กันไป-มาอย่างจงใจ อาจจะมีปัญหาเรื่องคุณภาพเสียงที่ลักหลั่นกันบ้างเป็นธรรมดาของงานรวมเพลงหลายๆยุค แต่ความเมามันส์ของดนตรีก็ช่วยกลบจุดด้อยนี้ไปได้สนิท

ข้อกล่าวหาที่ว่า AC/DC เป็นวงดนตรีประเภท เนื้อเดียว ทำนองเดียว แม้จะมีส่วนถูก แต่ลองฟังเพลงอย่าง Thunderstruck และ The Razors Edge ในอัลบั้มนี้ ถ้าคุณไม่เคยฟังมาก่อน ถ้า แองกัสและผองเพื่อน ต้องการจะทำจริงๆ ผมว่า AC/DC ยังมีดีที่เราไม่เห็นอีก แต่ก็อย่างว่า..ถ้ามันไม่เสีย...แล้วจะซ่อมมันทำไม?

Tracklist:

Shoot To Thrill 5:19

Rock 'n' Roll Damnation 3:38

Guns For Hire 3:26

Cold Hearted Man 3:36

Back In Black 4:17

Thunderstruck 4:54

If You Want Blood (You've Got It) 4:35

Evil Walks 4:25

T.N.T. 3:35

Hell Ain't A Bad Place To Be 4:15

Have A Drink On Me 4:00

The Razor's Edge 4:24

Let There Be Rock 6:08

War Machine 3:11

Highway To Hell 3:29

Saturday, 8 May 2010

Jeff Beck-Emotion & Commotion****







ออกจำหน่าย-มีนาคม 2010

แนวดนตรี- Rock, Classical, New Age

โปรดิวเซอร์- Steve Lipson, Trevor Horn


จิมี่ เฮนดริกซ์ราตรีสวัสดิ์ครั้งสุดท้ายไปหลายทศวรรษแล้ว เอริก แคลปตันก็วุ่นวายกับการทำเพลงป๊อบและการเดินตามหาอดีต ส่วน จิมมี่ เพจก็ยังไม่อาจสลัดคำว่า Led Zeppelin ออกจากหัวใจ และแทบจะไม่มีผลงานใหม่ๆออกมาเลย แต่เทพกีต้าร์องค์สุดท้ายจากยุค 60's Jeff Beck ก็ยังคงรักษาสถานะของการเป็น "นักกีต้าร์ขวัญใจนักกีต้าร์" อยู่ไม่เสื่อมคลาย เขาอาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงป๊อบปูลาร์เท่าเทพองค์อื่น (ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการที่เขาไม่ร้องเพลง และการทำเพลงตามใจตัวเองเป็นหลัก) แต่ถ้าวัดกันโน้ตต่อโน้ตแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครอยากดวลกับเขาตัวต่อตัวบนสังเวียน...!!! (ความจริงแล้วนักดนตรีระดับนี้เวลาเล่นด้วยกันบนเวทีเขาไม่มาเข่นฆ่ากันหรอกครับ แต่มักจะออกมาในแนวผลัดกันแลกภูมิปัญญาและฝีมืออย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยเสียมากกว่า)

Emotion & Commotion คืออัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวชุดที่ ๑๐ ของเขา และเป็นงานสตูดิโอชุดแรกในรอบ 7 ปี เจฟฟ์หันเหจากแนวทางกีต้าร์อีเล็กโทรนิกาในสองอัลบั้มก่อน มาเล่นกับดนตรีเน้น soundscape กับออเคสตร้า 64 ชิ้น และลีลากีต้าร์ที่สุขุมอลังการ พร้อมแขกรับเชิญสาวๆสามท่านเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดไปในความเป็นเจฟฟ์ (ใครที่เคยได้ยินเจฟฟ์พยายามร้องเพลงบอกเสียงเดียวกันว่าให้เขาเล่นกีต้าร์อย่างเดียวต่อไปน่ะดีแล้ว!)

น่าเสียดายที่สองเพลงจากการขับร้องของ Joss Stone "I Put A Spell On You" และ "There's No Other Me" แม้จะเป็นโซล-ฟังค์กรู๊ฟที่น่าสนใจ แต่มันเป็นอะไรที่มาขัดจังหวะความต่อเนื่องทางอารมณ์ของอัลบั้ม ผิดที่ผิดทาง ทำให้ Emotion & Commotion ดูด้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย เพลงแรกเป็นการ cover เพลงของ Screamin’ Jay Hawkins ที่ไร้ที่ติ ส่วนอีกเพลงเป็นเพลงใหม่ที่จอสส์ร้องได้สุดคอหอยและ band performance ที่น่าตื่นหูตื่นใจ แต่เพลงกลับจบลงอย่างค้างคาเหมือนทำไม่เสร็จ คาดว่าเจฟฟ์ใส่สองเพลงนี้มาเพื่อขยายฐานแฟนเพลง ก็อาจจะได้ในแง่นั้น แต่ภาพรวมกลับเป็นการทำลายเอกภาพของอัลบั้มไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับตัว Joss Stone นี่เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ว่าตัวเธอคือนักร้องโซล-บลูส์รุ่นใหม่ชั้นยอดที่ยังมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่ความล้มเหลวในงานส่วนตัวของเธอเองที่ยิ่งออกมาก็ยิ่งดำดิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ทีมงานและตัวเธอเองจะต้องหาคำตอบให้ได้

กลับมาที่อีก 8เพลงที่เหลือใน Emotion & Commotion โปรดิวเซอร์ Steve Lipson และ Executive Producer Trevor Horn ทำสุ้มเสียงออกมาได้ยิ่งใหญ่กึกก้องในแบบที่แฟนของฮอร์นเข้าใจได้ดี เปิดอัลบั้มอย่างโอฬารด้วย Corpus Christi Carol เพลงโบราณจากการประพันธ์ของ Benjamin Britten หนึ่งในสองเพลงจากอัลบั้ม Grace ของ Jeff Buckley ที่เจฟฟ์ เบ็ค นำมาเล่นในอัลบั้มนี้ (เบ็คเพิ่งได้ฟังอัลบั้มนี้เมื่อเร็วๆนี้) ดนตรีนุ่มนวลเปิดกว้างด้วยคีย์บอร์ดและออเคสตร้าปูพรมให้เสียงกีต้าร์ไฟฟ้าอ่อนหวานแช่มช้อยของเจฟฟ์กรีดยาวไปทั่วนภากาศ จะเรียกว่าเป็นเพลงแบบนิว-เอจก็ไม่น่าจะผิดอะไร แต่เจฟฟ์เหมือนจะรู้ว่าแฟนๆคิดถึงการโซโล่แบบถึงพริกถึงขิง (แก่) ของเขา เพลงต่อไป Hammerhead ที่เจฟฟ์แต่งร่วมกับมือคีย์บอร์ด Jason Rebello จึงดุดันขึ้นด้วยริฟฟ์มันส์ๆ เสียงเอ็ฟเฟ็ควาห์-วาห์สุดเก๋าและการบดขยี้สายกีต้าร์อันดุเดือดแม่นยำในแบบของเจฟฟ์ ชื่อเพลงชวนให้คิดถึงฉลามหัวฆ้อนแต่นัยหนึ่งเป็นการให้เกียรติแก่ Jan Hammer อดีตมือคีย์บอร์ดคู่บุญของเจฟฟ์ นี่คือเพลงที่มีความเป็น "กีต้าร์ฮีโร่"ที่สุดในอัลบั้ม Never Alone เพลงถัดมายังคงความต่อเนื่องในแบบไร้ช่องว่างระหว่างเพลง เสียงกลองและเพอร์คัสชั่นโดดเด่นฝีมือ Vinnie Colaiuta และ Luis Jardim เจฟฟ์เล่าให้ฟังว่าพาร์ทคีย์บอร์ดในเพลงนี้เป็นการพยายามเล่นเสียงประสานมนุษย์ในแบบของวง The Swingle Singers แต่คงไม่มีใครสนใจนักในเมื่อเสียงกีต้าร์ของเจฟฟ์ที่เล่นเสียงอ้วนท้วนเน้นอักขระแบบเดวิด กิลมอร์ (Pink Floyd) ดูจะกลบบทบาทของดนตรีชิ้นอื่นหมด บรรยากาศของเพลงเหมือนนั่งรถไฟเดินทางไกลไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

เจฟฟ์นำเพลงอมตะจากภาพยนตร์ Wizard Of Oz 'Over The Rainbow' มาเล่นกับคีย์บอร์ดและออเคสตร้า เขาเล่าไว้ใน liner notes ว่าเขาเพิ่งค้นพบว่าทำไมเวอร์ชั่นดั้งเดิมของ Judy Garland ถึงได้เข้าถึงจิตใจผู้คนมากกว่าที่ใครจะนำไปร้อง...เพราะเสียงของ Judy มีการเล่นลูกคอที่ไม่สม่ำเสมอ (unsteady vibrato)ผมคิดว่าเจฟฟ์พยายามจะให้กีต้าร์ของเขาทำเสียงแบบนั้นในเพลงนี้ นี่คือเพลงที่ไม่ว่าใครจะนำไปร้อง-เล่นก็มักจะน่าฟังเสมอ และเวอร์ชั่นของเจฟฟ์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เสียงกีต้าร์ของเขาลอยสูงและอยู่ไกลเกินเอื้อมอยู่ในที่ไหนสักแห่งเหนือสายรุ้งขึ้นไป

Olivia Safe นักร้องโอเปร่ามาให้เสียงในอัลบั้มนี้สองเพลง ใน Serene เสียงเธอเป็นแบ็คกราวนด์เบาบาง ในเพลงที่มือเบสดาวรุ่ง Tal Wikenfeld ย่ำสายอย่างโดดเด่น ส่วน Jeff เล่นไปกับ effect time blender อย่างเพลิน Olivia มาเด่นมากๆในเพลงสุดท้าย Elegy For Dunrik ที่ยิ่งใหญ่สุดพรรณนา ในขณะที่เจฟฟ์เล่นกับสำเนียงในแบบที่ชวนให้คิดถึงนักกีต้าร์แจ๊ซอย่าง Pat Metheny, Bill Frisell หรือ John Scofieldสาวรับเชิญอีกคนคือ Imelda May ในเพลง Lilac Wine ที่ Jeff Buckley ร้องไว้ใน Grace อีกเพลง เป็นแทร็คที่เด่นมากๆอีกแทร็ค เสียงร้องเธอนุ่มนวลสง่างาม ขณะที่โซโล่ท่อนสุดท้ายของเบ็คนั้นทำให้คนฟังคนนี้แทบลืมหายใจไปหลายวินาที อีกแทร็คที่น่าประทับใจคือ Nessun Dorma ผลงานของ Puccini จากอุปรากร Turandot ที่เบ็คดัดแปลงท่อนเชลโลมาเป็นกีต้าร์ไฟฟ้าได้อย่างเนียนแนบ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสักวันเขาน่าจะมี Guitar Concerto Album ออกมา

อยากจะขมวดบทแนะนำอัลบั้มนี้ด้วยคำเปรียบเปรยเว่อร์ๆว่าเจฟฟ์นั้นถึงขั้นน่าจะเป็นรัฐบุรุษของวงการกีต้าร์ได้แล้ว แต่เกรงว่าไม่เหมาะสมและไม่จำเป็น เขาอาจจะเป็นแค่ผู้ชายอายุ 65 ปี ที่เป็นหนึ่งในหลายล้านคนบนโลกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกีต้าร์อย่างแท้จริง เจฟฟ์ผ่านมาแล้วแทบทุกแนวดนตรีและดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้เขาต้องค้นหาหรือพิสูจน์อีก แต่ Emotion & Commotion กลับแสดงทิศทางใหม่ของการใช้กีต้าร์ไฟฟ้าประกอบกับเครื่องดนตรีคลาสสิกวงใหญ่ แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนแรก แต่แนวทางของเจฟฟ์นั้นน่าสนใจและมีแนวโน้มว่าจะทำได้สมบูรณ์กว่านี้ในอนาคต พวกเราโชคดีที่ได้เกิดมาร่วมสมัยของนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ครับ

Track listing

"Corpus Christi Carol" (Benjamin Britten)

"Hammerhead" (Jeff Beck, Jason Rebello)

"Never Alone" (Jason Rebello)

"Over the Rainbow" (Harold Arlen, E. Y. Harburg)

"I Put a Spell on You" (featuring Joss Stone) (Screamin' Jay Hawkins)

"Serene" (featuring Olivia Safe) (Jeff Beck, Jason Rebello)

"Lilac Wine" (featuring Imelda May) (James Shelton)

"Nessun Dorma" (Giacomo Puccini)

"There's No Other Me" (featuring Joss Stone) (Jason Rebello, Joss Stone)

"Elegy for Dunkirk" (featuring Olivia Safe) (Dario Marianelli)

Wednesday, 21 April 2010

Ellie Goulding – Lights ***1/2


แนวดนตรี- Electropop, Folktronica

โปรดิวเซอร์-Starsmith, Frankmusik, Fraser T. Smith, Richard Stannard

ออกจำหน่าย 1 มีนาคม 2010

สาวน้อยผมบลอนด์ชาวอังกฤษท่าทางทะมัดทะแมงเต็มไปด้วยความมั่นใจวัย 23 ปีผู้นี้ เป็นศิลปินหญิงอีกคนในรอบสอง-สามปีที่ผ่านมาที่มีชื่อเสียงก้องประเทศก่อนที่จะออกอัลบั้มเสียอีก เหมือนกับ Adele และ Florence and the Machine ก่อนหน้านี้ เธอมีรางวัลรับประกันความสามารถจากนักวิจารณ์ “Critic’s Choice” จาก Brit Award 2010 และ “Sound of 2010” จาก BBC ที่คณะกรรมการพิจารณาจากผลงานซิงเกิ้ลและอีพีของเธอที่ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และลีลาในการแสดงสดบนเวที สองรางวัลนี้เป็นทั้งใบเบิกทางและอะไรที่ค้ำคอเธอไว้ในเวลาเดียวกัน (คู่แข่งของเธอในรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง Marina and the Diamonds, Delphic, The Drums ก็ล้วนแล้วแต่มีผลงานออกมาแล้ว และทำออกมาได้น่าสนใจทั้งสิ้น ซึ่งผมอาจจะนำมาพูดถึงในเวลาต่อไปครับ)

ด้วยความคาดหวังสูงเสียดฟ้านี้ ทำให้เสียงวิจารณ์อัลบั้มนี้ออกมาในสองแนวทางใหญ่ๆคือ 1) ค่อนข้างผิดหวัง ทำได้แค่นี้เองหรือกับสองรางวัลใหญ่ที่เธอได้มา 2) เสมอตัว แต่ก็ยังแอบหวังว่าอัลบั้มต่อไปจะทำได้ดีกว่านี้

เอลลี่จับกีต้าร์ครั้งแรกตอนเธออายุ 15 ปี แต่เริ่มมาสนใจในดนตรีแนวอีเล็กโทรนิคส์ตอนศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย Kent ‘Wish I Stayed’ เป็นเพลงแรกที่เธอประพันธ์ และด้วยความช่วยเหลือของนาย Frankmusik ศิลปินและโปรดิวเซอร์แนวอีเล็คโทรนิคก็ทำให้เอลลี่มีพัฒนาการในการทำดนตรีและแต่งเพลงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอสร้างชื่อเสียงมาจากผู้ตามนับล้านใน myspace และได้เซ็นสัญญากับ Polydor ในเดือนกันยายน 2009 ‘Under The Sheets’ เป็นซิงเกิ้ลแรกในชีวิตของเธอที่โปรดิวซ์โดย Starsmith (ผู้ซึ่งรับผิดชอบงานโปรดิวซ์ส่วนใหญ่ในอัลบั้ม) ไปได้ถึงอันดับ 53 ในอังกฤษ เธอเริ่มออกแสดงโดยเป็นศิลปินสนับสนุนให้ Little Boots ศิลปินแนวเดียวกันที่ได้รางวัลเดียวกันมาก่อนในเดือนตุลาคม และการได้ออกอากาศในรายการทีวี Later… ของ Jools Holland ก็ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักหน้าค่าตาเธอทั่วประเทศ (ในรายการนั้นเธอเล่นเพลง Under The Sheets พร้อมกับกลองชุดเล็ก และเล่นกีต้าร์ใน Guns And Horses คุณสามารถหาชมได้จาก youtube เอลลี่ออกจะตื่นเต้นเล็กน้อยและร้องได้ไม่ดีนัก แต่ก็ถือว่าสอบผ่าน)

และต้นปี 2010 ทุกคนก็รู้จักเธอในฐานะศิลปินที่น่าจับตามองที่สุดของอังกฤษในปี 2010 จากสองรางวัลดังกล่าว เอลลี่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อที่ถามว่าเธอกดดันไหมว่า ฉันก็พยายามจะสงบใจให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เหมือนทุกอัลบั้มและทุกเพลงในโลก ทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นเพียงน้ำจิ้มและความคิดเห็นของผู้อื่น ผมพยายามฟัง Lights แบบทำใจให้ว่างที่สุด มันเป็นอัลบั้มแนว Electropop ที่ไม่ใช่ dance music หรือ pop เฮฮาดาดๆ ผมออกจะชอบที่มีคนเลือกให้มันอยู่ในหมวด Folktronica เพราะมีหลายเพลงที่พอจะจินตนาการได้ว่าตอนที่เอลลี่แต่งมันกับกีต้าร์และเสียงร้องของเธอก่อนที่จะใส่บีทและสรรพเสียงทางอีเล็กโทรนิคส์มันก็น่าจะเป็นเพลงโฟล์คดีๆนี่เอง

เอลลี่มีเสียงร้องที่อ่อนเยาว์สดใสแต่คล่องแคล่วพร้อมจะไต่ขึ้นลงไปตามตัวโน๊ตดั่งใจต้องการ เสียงเธออาจไม่อลังการเท่า Florence Welch หรือแสบสันต์เท่า La Roux แต่ก็น่าฟังไปอีกแบบ (มีการใช้เครื่อง auto-tune ไม่น้อยใน Lights) สำเนียงเธอบางคำอาจฟังดูแปร่งๆเดาว่าอาจจะมาจากความเป็นเวลส์ที่เธอไปอยู่ในวัยเด็ก เอลลี่ยังร่วมแต่งเพลงทุกเพลงในอัลบั้ม และทุกเพลงก็สอบผ่านในด้านเมโลดี้ที่สวยงามน่าฟังและ pop sense สมบูรณ์แบบชนิดที่ถ้าไม่บอกก็ชวนให้คิดถึงเพลง Electric Pop จากวงแถบสแคนดิเนเวียน สื่อบางเจ้าสรุปว่าแนวทางของเอลลี่อยู่ระหว่าง Florence และ Little Boots และสรุปว่าเธอคือ Dido คนใหม่ไปเลย แต่ผมไม่เห็นด้วย ดนตรีและเสียงร้องของเอลลี่มีสีสันกว่า Dido ที่ขายอารมณ์นิ่งๆและลึกซึ้งมากกว่า ผมอยากจะบอกว่าเธอเหมือนกับ Bjork ในภาคที่ Pop สุดเหวี่ยง....ถ้าจะให้เปรียบจริงๆ จะว่าไปการเปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบนี้ก็ไม่ค่อยจำเป็นแล้วในยุคที่คุณสามารถคลิกฟังเพลงใดๆจาก youtube ได้ในพริ้วนิ้วเดียว

เอลลี่สรุปเองว่าอัลบั้มนี้เป็นเรื่องของ ส่วนผสมของความรักและการอกหักและความขัดข้องใจและความหมดหวังและความคิดถึงบ้านและความคิดถึงชนบท ในด้านเนื้อหานี่เป็นอัลบั้มที่เปิดเผยและจริงใจเกินกว่าอัลบั้ม Pop ธรรมดา แต่สุ้มเสียงอีเล็กโทรนิคอย่างนี้ก็น่าสงสัยว่าจะมีใครมาสนใจเนื้อร้องกันสักเท่าไหร่

คุณจะชอบ Lights ถ้าคุณรักดนตรีป๊อบที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีอีเล็กโทรนิคส์ยืนพื้นมีกีต้าร์และเปียโนโปรยปราย ฟังแล้วพอเต้นรำได้แต่ไม่จี๊ดจ๊าดอย่าง Lady Gaga แต่มีความละเมียดละไมพอที่จะนั่งหาความหมายหลายๆรอบทั้งด้านดนตรีและเนื้อหา ผมเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นของ Ellie Goulding ที่มองเห็นว่าเธอน่าจะไปได้อีกไกลครับ


Tracklist:

1. Guns And Horses

2. Starry Eyed

3. This Love (Will Be Your Downfall)

4. Under The Sheets

5. The Writer

6. Every Time You Go

7. Wish I Stayed

8. Your Biggest Mistake

9. I'll Hold My Breath

10. Salt Skin

She & Him - Volume Two ***1/2



She & Him : Volume Two

แนวดนตรี : Indie Pop , Folk
โปรดิวเซอร์: M. Ward
ออกวางจำหน่าย: มีนาคม 2010




ไม่ว่าคุณจะอายุสิบขวบหรือหกสิบ อารมณ์หวนหาอดีตอันแสนหวานย่อมมีเสน่ห์จับใจเสมอ และนี่คือนโยบายหลักของคู่ดูโอ She & Him อัลบั้มที่สองของเธอและเขายังคงดื่มด่ำอยู่กับสายลมแสงแดดและนิยามรักในวันคืน ของสังคมป๊อบอเมริกันยุคทศวรรษที่ 60 ถึง 70 แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากอัลบั้มแรก Volume One เมื่อปี 2008 (ช่างนานเหลือเกิน) แต่เชื่อได้ว่าจะไม่มีแฟนเพลงคนไหนบ่น เพราะความแหวกแนวล้ำยุคไม่ใช่แนวทางของ วงอยู่แล้ว ขอเชิญท่านขึ้นไทม์แมชชินลำน้อยที่มี M. Ward โปรดิวเซอร์และนักดนตรีสารพัดเครื่องเป็นกัปตัน (เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกวงซุปเปอร์กรุ๊ป Monsters of Folk) และสาวน้อยตาลูกกวาง Zooey Deschanel เป็น hostage นำท่านสู่แคลิฟอร์เนียย้อนกลับไปสี่สิบปี....

ผมเคยเขียนถึงอัลบั้มแรกของ She & Him ไปแล้วเมื่อสองปีก่อนด้วยความชื่นชม Zooey เป็นดาราที่หันมาจับไมค์ไม่กี่คนที่ทำได้ดีจนไม่ต้องใช้ชื่อเสียงจากการแสดงภาพยนตร์มาดึงแฟนๆ ส่วน M. Ward ก็ทำหน้าที่ผู้ชายเท้าหลังได้อย่างน่ายกย่อง เขาสร้างฉากเสริมบรรยากาศด้วยเสียงกีต้าร์ล่องลอย ออเคสตร้าบางเบา และเสียงประสานหน่อมแน้มอ้อยสร้อย ช่วยขับให้เสียงร้องทรงเสน่ห์ของ Zooey โดดเด่น ประหนึ่งจับดีเอ็นเอของเส้นเสียงนักร้องรุ่นพี่หลายๆคนทั้ง Karen Carpenter, Linda Ronstadt, Carly Simon, Carole King มาเย็บต่อกันใหม่ และเชิญท่าน Phil Spector ออกจากคุกมาชั่วคราวเพื่อแนะนำการโปรดิวซ์

นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกกับ Volume One แต่เมื่อฟัง Volume Two จบไปหลายๆรอบ ก็ได้คิดว่าการเปรียบเทียบเยี่ยงนั้นเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป She & Him สามารถสร้างเสียงของตัวเองได้แล้ว และฝีมือการทำดนตรีของ Ward ก็หลากหลาย เต็มไปด้วยฝีมือและรสนิยมเกินกว่าที่จะไปติดอยู่กับคำว่า Spector’s Wall of Sound หรือเสียงแบบแคลิฟอร์เนียที่ไบรอัน วิลสันทำไว้กับ The Beach Boys ผมอยากจะบอกว่า Ward ตอบโจทย์ในแต่ละเพลงของ Zooey อย่างคนที่สนุกกับดนตรี เขาพร้อมที่จะพลิกผันแนวทางการเรียบเรียงให้เข้าไปกับเนื้อหาและอารมณ์รวมถึงความหลักแหลมในการหยอดลูกกวาดหวานๆให้ผู้ฟังเสนาะหูกันเป็นระยะๆ

Zooey เป็นผู้ประพันธ์ 11 จาก 13 เพลงในอัลบั้มนี้ และถ้าไม่ทราบมาก่อนคงยากที่จะคาดเดาว่าสองเพลงที่เธอไม่ได้แต่งนั้นคือเพลงไหน เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่พ้นเรื่องของผู้หญิงที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆแห่งรัก หนักไปทางผิดหวัง แต่ไม่ฟูมฟายอาดูร เนื้อเพลงอย่าง “Sometimes lonely isn’t sad’ ในเพลงเปิดอัลบั้ม Thieves คือประโยคที่นำไปเป็นคำโฆษณาอัลบั้มได้เลย

และ Thieves *****ก็เป็น retro-50’s love song ที่สมบูรณ์แบบไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว... จังหวะร็อคอะบิลลี่เนิบๆ เครื่องสายเบาบาง เสียงร้องที่เหมือนกระซิบให้ตัวเองฟังในใจเศร้าพองามแบบนางเอกละครของ Zooey กีต้าร์โปร่งและไฟฟ้าแบ่งข้างกันปูพรมสนับสนุน “That won’t stop me crying over you…” ประโยคสุดท้ายของเพลงเป็นการจบแบบโบราณๆไม่มีการเคอะเขิน เป็นเพลงที่ฟังอ่อนหวานและเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดหยุมหยิมมากมายอย่างเหลือเชื่อ กีต้าร์ไฟฟ้ามีบทบาทมากขึ้นใน In The Sun *** จังหวะจะโคนหนักแน่นเป็นร็อคมากขึ้น กีต้าร์ไฟฟ้าเร่งเครื่องวาดลวดลายตลอดเพลงแต่ก็ยังนิ่มนวลอ่อนหวานทั้งเสียงร้องและเนื้อหาสมกับการเป็นซิงเกิ้ลแรก เสียงประสานสไตล์ถาม-ตอบขานรับซื่อๆถูกนำมาใช้อย่างได้ผลในท่อนสร้อย Don’t Look Back*** เต็มไปด้วยรายละเอียดหนาแน่นและมากมายทั้งเปียโนเครื่องสายและเสียงร้องสลับซับซ้อน เหมือนเป็น Wall of sound แห่งศตวรรษที่ 21 ที่ไม่ได้เรียงกันมาเป็นหน้ากระดานแบบยุค Phil Spector แต่วางชั้นของเครื่องดนตรีไว้ได้อย่างน่าฟัง Ridin’ In My Car*** เพลงเก่าของ NRBQ ที่ She & Him นำมาทำเป็นของตัวเองได้อย่างแนบเนียน เพลงนี้นาย Ward ได้โอกาสเดียวในอัลบั้มร้องคู่กับ Zooey

Me And You ***เปลี่ยนมุมมองจากเพลงรักหนุ่มสาวเป็นเพลงสไตล์สอนน้องเหมือนกับบางเพลงใน Volume One เพลงแบบนี้ถ้าคนร้องไม่มีเสน่ห์พอคงจะกระอักกระอ่วนพิลึก Gonna Get Along Without You Now*** เพลงเก่าของ Skeeter Davis ที่ Zooey ร้องแบบคันทรี่-โฟล์คได้อย่างสนุกสนาน นอกจาก Thieves แล้ว Lingering Still *****เป็นเพลงที่ผมประทับใจที่สุดในอัลบั้ม ไม่ได้มีอะไรพิลึกพิลั่น แต่ท่วงทำนองและความลงตัวของมันสามารถบอกได้ว่าออกมาจากตึก Brill Building โรงงานผลิตเพลงป๊อบชั้นยอดของยุค 60’s ได้เลย เพลงสุดท้าย If You Can’t Sleep*** น่าจะเป็น She ผู้เดียวไม่มี Him Zooey ร้องกับเสียงร้องแบ็คอัพ multi-track ของตัวเธอเอง.... คงจะไม่มีปัญหา อัลบั้มนี้ฟังแล้วนอนหลับสบายฝันดีไม่มีเครียด และอยากจะตื่นเช้ามาพบกับ Volume 3 เสียพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

ถ้าคุณเคยชอบ Volume One และไม่คาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลง ฟันธงว่าคุณจะรัก Volume Two ไม่น้อยกว่า นี่เป็นงานคลายร้อนที่เหมาะสำหรับนักฟังผู้กระหายความงดงามของเมโลดี้และดนตรีโปร่งบางแต่ไม่น่าเบื่อหน่าย....และเสียงร้องสวยๆของสาวที่งามพอๆกับเสียงครับ

Tracklist: ทุกเพลง Zooey แต่งเอง เว้นที่มีวงเล็บท้ายเพลง

"Thieves" — 4:08
"In the Sun" — 2:51
"Don't Look Back" — 3:23
"Ridin' in My Car" (Alan G. Anderson) — 3:15
"Lingering Still" — 3:02
"Me and You" — 3:20
"Gonna Get Along Without You Now" (Milton Kellem) — 2:32
"Home" — 4:41
"I'm Gonna Make It Better" — 3:32
"Sing" — 3:14
"Over It Over Again" — 3:30
"Brand New Shoes" — 3:05
"If You Can't Sleep" — 2:49

Saturday, 2 January 2010

ชื่อไทยๆของหนัง A Hard Day's Night ตั้งโดย Beatles Facebook Thailand

รอบนี้ยังไม่หินนัก จะว่าไปก็อาจจะง่ายกว่ารอบแรกเสียอีก กติกามีดังนี้ ให้ผู้ที่ผ่านรอบแรกมาแล้วทุกท่าน....

1.ตั้งชื่อหนัง A Hard Day's Night เป็นภาษาไทย โดยให้คิดว่ามันเป็นหนังใหม่ที่จะฉายในปัจจุบัน จะสร้างสรรค์ อลังการ คลาสสิก จิกกัด หรือซาบซึ้ง อย่างไรก็แล้วแต่ท่าน

2.มีคำโฆษณาหนังเรื่องนี้พอสังเขปต่อท้ายด้วยเช่น "สี่เต่าทองดิ้นพล่าน"เพลงไพเราะ หนังสนุกอร่อย เป็นกำลังใจให้กับวันคืนชุลมุนของสี่หนุ่มเต่าทอง(ไม่จำเป็นต้องเขียนให้สะเหร่อเหมือนตัวอย่างนะ)

(คลิกแต่ละ comment เพื่อขยายอ่านได้ครับ)