Friday 5 November 2010

Robert Plant - Band of Joy ****



Released -September 2010

Genre -Folk Rock, Blues, Bluegrass

Producer -Robert Plant, Buddy Miller

ขอคารวะหัวใจศิลปินของผู้ชายผู้มีนามเต็มๆว่า Robert Anthony Plant การตัดสินใจบนเส้นทางดนตรีของเขาช่างเด็ดเดี่ยวและไม่อ้างอิงถึงเงินตราหรือชื่อเสียงที่แสนจะยั่วยวน ปัจจัยเดียวที่แพลนต์ดูจะแคร์ก็คือ ก้าวต่อไปของเขา มันตื่นเต้นและทำให้เขารู้สึกถึงการผจญภัยเพียงพอหรือไม่ ดั่งเพลงหนึ่งในอัลบั้มใหม่นี้ที่อาจจะมีความหมายเป็นนัยๆถึงแนวทางของเขา “You Can’t Buy Me Love”

ในวัย 62 ปีและการทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยวมาตั้งแต่ปี 1980 แต่สร้อยต่อท้ายชื่อเขาที่ยังไม่อาจสลัดออกไปได้เวลาคนเรียกขานนามก็คือ อดีตนักร้อง Led Zeppelin ผู้ยิ่งใหญ่ แพลนต์กลับมาร่วมงานดนตรีกับ จิมมี่ เพจ และ จอห์น พอล โจนส์ บวกกับ เจสัน บอแนม ลูกชายของ จอห์น บอแนม ผู้ล่วงลับ ในการแสดงครั้งเดียวที่ O2 ในลอนดอนเมื่อปลายปี 2007 เพื่ออุทิศให้ Ahmet Erthegun ผู้เคยเซ็นสัญญาพวกเขาเข้าสู่สังกัด Atlantic มันเป็นการ reunion ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งร็อค และทุกคนดูจะหวังว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาทำเพลงร่วมกันอีกครั้งของ Led Zeppelin รวมทั้งการออกตระเวณแสดงที่มีแฟนนับล้านคอยเฝ้าชมทั่วโลก แต่แพลนต์เป็นคนเดียวที่ไม่แยแสจะทำอะไรในนาม Zep ต่อ เขามองว่ามันเป็นการแสดงครั้งเดียวจบที่มีช่วงเวลาอันน่าประทับใจและไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะทำในสิ่งที่เขาทำมาแล้วอีกครั้ง ไม่ว่าเพจและโจนส์จะพยายามอ้อนวอนแค่ใดหรือแม้แต่ใช้ลูกขู่ว่าจะหานักร้องคนอื่นมาแทนก็ตามที!

โรเบิร์ต แพลนต์อาจจะมีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากที่เขากล่าวมา สังขารก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่ง การร้องเพลงที่ต้องใช้พลังระดับ Zep ในค่ำคืนเดียว มันคนละเรื่องกับการออกทัวร์และต้องตะเบ็งร้องแบบนั้นทุกคืน เป็นเดือนๆ มัน เป็นอะไรที่นักร้องต้องแบกรับมากกว่ามือกีต้าร์และมือเบสอย่างแน่นอน แพลนต์ตัดสินใจถูกต้องที่เลือกจะร้องเพลงในแนวทางที่เหมาะสมกับวัยตัวเอง ไม่ต้องการพลังและเสียงที่สูงปรี้ด แต่เน้นลีลาในการถ่ายทอดอารมณ์บทเพลง อัลบั้ม Raising Sands ที่เป็นผลงานของเขาคู่กับ Alison Krauss กลายเป็นผลงานสำคัญแห่งชีวิตของทั้งสองศิลปิน เสียงร้องของหนุ่มสาวต่างวัยคู่นี้โอบอุ้มกันไปอย่างงดงามในบทเพลงคันทรี่-บลูส์-รู๊ท ที่โปรดิวซ์โดยมือทองของ ที-โบน เบอร์เน็ตต์ มันเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง ทั้งเงินและกล่อง

แต่แพลนต์ก็ยังไม่คิดจะทำภาคต่อของ Raising Sands หรือแม้แต่กลับไปทำงานกับ The Strange Sensation ที่เคยทำงาน Mighty Rearranger กันออกมาได้ดีมากๆ เขากลับเลือกที่จะย้อนกลับไปสู่ยุคแรกของการทำงานของเขากับจอห์น บอแน่ม สมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักคำว่า Led Zeppelin นั่นคือการกลับไปรื้อฟื้นวง ‘Band of Joy’ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันก็คงเป็นในนามเท่านั้น เพราะสมาชิกของ Band of Joy ยุค 2010 นี้มีเพียงคนเดียวที่เป็น original member ก็คือตัวแพลนต์เอง แพลนต์ได้ บัดดี้ มิลเลอร์ มาเล่นกีต้าร์และช่วยโปรดิวซ์ร่วม เขามีส่วนสำคัญในสุ้มเสียงของอัลบั้มนี้ทีเดียว อีกคนที่หลายคนคงรู้จักคือ แพ๊ตตี กริฟฟิน ที่มาฝากเสียงสวยๆของเธอไว้หลายเพลง ทำให้คิดถึงเสียงของอลิสันเหมือนกัน เพียงแต่แพ๊ตตี้ไม่ได้ร้องประกบกับแพลนต์เหมือนอลิสันใน Raising Sands เพียงแต่เป็นการประสานเสียงหวานๆบางเบาเท่านั้น

Band of Joy เป็นการต่อยอดของแนวทางของ Raising Sands ที่กว้างขวางและเข้มข้นกว่าเดิม มันอาจจะไม่มีเสน่ห์เคลิบเคลิ้มเหมือนอัลบั้มหนุ่มสาวชุดนั้น แต่เซนส์ของการผจญภัยไปในดินแดนดนตรีอันสาบสูญของ Band of Joy นั้นเป็นประสบการณ์ดนตรีที่ท่านไม่ควรจะพลาดจริงๆ หลายเพลงพาคุณหลุดเข้าไปในยุคต้นๆของการก่อตัวของเพลงบลูส์ , บางอารมณ์กระเจิงไปกับอารมณ์รักบริสุทธิ์ของบทเพลงในยุค 50’s แต่บางจังหวะคุณเริ่มเอะใจว่าแพลนต์หักมุมพาคุณหลบหนีพุ่งทะยานสู่อนาคต หรืออย่างน้อยมันก็เป็นดนตรีที่คุณไม่อาจระบุยุคสมัย เสียงร้องของแพลนต์ในอัลบั้มถือว่าอยู่ในฟอร์มสดมากๆ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาได้ร้องในคีย์ที่เขารับมือได้แต่น้ำเสียง,พลัง และลีลาของเสือเก่าก็ยังไม่ส่อแววถดถอยแม้แต่น้อย

เพลงส่วนใหญ่เป็น cover หรือไม่ก็เพลง traditional หรือเพลงที่แพลนต์เอามาต่อยอด

Angel Dance เพลงเก่าอายุสิบขวบของ Los Lobos แพลนต์ชอบลักษณะการเดินเพลงแบบอาขยานของเพลงนี้และเสกมนต์ขลังของอคูสติกบลูส์ในแบบ Led Zeppelin ชุดที่สามเข้าไป ต่อเนื่องทางอารมณ์ในแนว Southern Gothic ในเพลง House of Cards ของริชาร์ด ทอมป์สัน Central Two O Nine เพลงเดียวในอัลบั้มที่เป็นเครดิตการแต่งของแพลนต์และมิลเลอร์ แต่ก็เป็นการต่อยอดจากเพลงบลูส์ของ Lightnin’ Hopkins Band of Joy แจมกันได้สนุกในเพลงนี้

แพลนต์เลือกเพลงของ Low จากอัลบั้ม The Great Destroyer ในปี 2005 มาเล่นในชุดนี้ถึงสองเพลงคือ Silver Rider ที่หลอกหลอนเวิ้งว้างกับ Monkey ที่อึกทึกครึกโครมอลหม่าน สองเพลงนี้กลืนไปกับเพลงบลูส์โบราณรอบๆมันอย่างแนบเนียน

ใครที่อยากฟังแพลนต์ร้องเพลงหวานๆเหมือนสมัย Honey Drippers คงจะได้โอกาสใกล้เคียงใน I’m Falling In Love Again เพลงเก่าจากปี 1966 ของ The Kelly Brothers เป็นดูว็อปที่ออดอ้อนน่าฟังที่ไพเราะไม่แพ้ Sea of Love หรือ Young Boy Blues ต่อกันได้กับ The Only Sound That Matters ของ Milton Mapes ที่เศร้าหวานงดงาม

จากปี 1965 เพลงของ Barbara Lynn ดาวรุ่งอาร์แอนด์บีของเท็กซัสในยุคนั้นในเพลง You Can’t Buy Me Love น่าจะเป็นเพลงที่เรียกเหงื่อแพลนต์ได้มากที่สุด ไม่ถึงกับเป็นเพลงที่ฟังแล้วลุกขึ้นเต้น แต่ก็กระฉึกกระฉักที่สุดในแผ่น แพลนต์บอกว่ามันคือ “Black American Pop จาก New Orleans ปี 1963ร็อคเบาๆตามมาคือ Harms Swift Way ที่ฟังคล้ายงานของ Traveling Wilburys เพลงท้ายๆในชีวิตของ Townes Van Zandt

แพลนต์มักจะพิถีพิถันกับเพลงท้ายๆของอัลบั้มเสมอ และใน Band of Joy ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น Satan Your Kingdom Must Come Down เป็นเพลง traditional blues แบนโจให้เสียงชวนขนลุกคลอไปกับการขับร้องที่ไร้ที่ติของแพลนต์

เพลงสุดท้าย Even This Shall Pass Away ฉีกแนวไปเลยจากเพลงอื่น มันเป็นการนำบทกวีในปี 1867 ของ Theodore Tilton มาใส่ทำนอง การบรรเลงของ Band of Joy ในเพลงนี้ราวกับแพลนต์จะเปิดไฟเขียวให้นักดนตรีทุกคน ใส่ กันได้ตามแต่จะเห็นงาม สุ้มเสียงแปลกๆจึงผุดขึ้นมาเต็มไปหมด หลายช่วงทำให้นึกถึงงานยุค Mighty Rearranger

Robert Plant สามารถทำมาหากินง่ายๆและได้เงินมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการทัวร์สักรอบกับ Led Zeppelin หรือร้องเพลงเก่าๆในแบบ Rod Stewart หรือไม่ก็ไปร้องคู่กับอลิสันอีกซักอัลบั้ม แต่เขากลับเลือกทางที่ดูจะ ขาย ยากที่สุดกับ Band of Joy ผลลัพธ์: มันเป็นงานที่แฟนเพลงและตัวเขาเองควรภาคภูมิใจและเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เยี่ยมที่สุดแผ่นหนึ่งในปี 2010 ครับ

Tracklist

01 Angel Dance
02 House of Cards
03 Central Two-O-Nine
04 Silver Rider
05. You Can’t Buy my Love
06 I’m Falling In Love Again
07 The Only Sound That Matters
08 Monkey
09 Cindy, I’ll Marry You One Day
10 Harms Swift Way
11 Satan Your Kingdom Must Come Down
12 Even This Shall Pass Away

No comments: