Friday, 20 March 2015

รักครั้งแรก


ปี ๒๕๒๓ (เอ๊ะหรือ ๒๕๒๔)
เพื่อนสนิทคนหนึ่งที่โรงเรียนบดินทรเดชาบังคับให้ผมยืมเทปม้วนนี้มาฟัง วงชื่อเชยๆ หน้าปกเบลอๆ กับชื่ออัลบั้มที่เชยยิ่งกว่า เทปอีเอ็มไอราคา 60 บาท เปิดดูด้านในก็พบว่าเนื้อเทปมีอยู่นิดเดียว ช่างค้ากำไรเกินควรนัก ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียนอกจากเวลา ผมก็รับเทปม้วนนั้นมาฟัง
และจากวันนั้นมา ผมก็กลายเป็นแฟนเพลงป๊อบง่ายๆที่เป็นเครื่องหมายหนึ่งของเพลงไทยในยุค80's ชาตรี....ได้กลายมาเป็น แฟนฉัน
".......รักครั้งแรก เป็นอัลบั้มที่สร้างชื่อสูงสุดให้กับวงชาตรี ชุดนี้พวกเขาโด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย ทำยอดขายได้ถล่มทลาย(ได้รับการการันตีจากค่ายต้นสังกัดว่าสามารถขายเทปได้เกินกว่า 1 ล้านตลับ) อัลบั้มนี้ดนตรีฟังทันสมัยขึ้น เสียงคีย์บอร์ดฟังเด่นได้ใจ ในขณะที่เสียงกีตาร์โปร่งตีคอร์ดแบบโฟล์คซองบทบาทลงไปมาก
อัลบั้มรักครั้งแรก มีเพลงอมตะอย่าง “บทเรียนรัก” และ “ยากยิ่งนัก” 2 เพลงไพเราะหวานใน 2 อารมณ์ ในท่วงทำนองสวยงาม ภาษาโดนใจ และเพลง“รักครั้งแรก” ที่ดังเหลือหลายกลายเป็นตำนานมาจนทุกวันนี้
เพลงรักครั้งแรก ลงตัวด้วยเนื้อหาโรแมนติกคมคาย ภาษาสวยมีเสน่ห์ มีลูกเล่น เล่นคำ วรรณยุกต์ สัมผัส ได้เป็นอย่างดี มีท่อนฮุคเด็ดโดนใจ ผสมกับท่วงทำนองที่นำมาจากเพลงญี่ปุ่นและดนตรีกระชับสนุกทำให้ฟังติดหูง่าย(มาก) ชนิดแค่ขึ้นเสียงคีย์บอร์ด กีตาร์ เล่นอินโทรนำมา แฟนเพลงชาตรีก็คลอทำนองตามได้แล้ว ในขณะที่ลีลาการร้องนำของน้าป้อมนั้นก็สุดยอด ยากยิ่งนักที่ใครจะเลียนแบบ
ทั้ง 3 เพลงดังในชุดรักครั้งแรก มีความพิเศษอีกอย่างตรงที่ เนื้อเพลงเขียนโดย เด็กหญิง“วันทนา วุฑากร” นักเรียนชั้น ม.1 จากโรงเรียน มาแตร์เดอี ที่ยุคนั้นมีอายุเพียง 13 ขวบเท่านั้น นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย(ในยุคนั้น)พอสมควร......"
(ข้อมูลจาก manager.co.th โดยคุณ บอน บอระเพ็ด)
คนรุ่นใหม่กว่า อาจจะรู้จักเพลงรักครั้งแรกนี้จากหนังดัง "แฟนฉัน" และคนรุ่นนั้นก็อาจจะกลับมารักเพลงนี้อีกทีจากหนังเรื่องนี้ แต่สำหรับผมนั่นคือรักครั้งแรกของผมกับชาตรี ต้องยอมรับว่าเสียงร้องของคุณป้อมคฑาวุธนี้ไพเราะและมีเสน่ห์เหลือหลายในการร้องเพลงแบบนี้ เนื้อเพลงจากด.ญ. วันทนา มีความลึกซึ้งเข้าใจหัวอกของนักรักวัยกระเตาะ ที่แท้จริงแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ First time love... แต่รักครั้งแรกนี้หมายถึง... Love at First Sight.
เพลงรักง่ายๆเพลงนี้มีหลายๆอย่างในอารมณ์รัก ความเอ่อล้นในความสุขของการแอบรัก, ความพะวักพะวนและเคอะเขินในการแสดงออกและบอกเขา และความคาดหวังในวินาทีที่เราจะบอกออกไป...อยากได้ยินเธอตอบกลับว่า
"รักเช่นกันต่างรักเมื่อวันก่อน..."
************
แอบมองไปเจอ
ฉับพลันนั้นเธอก็เหม่อมองสบสายตา
เธอต้องอุราให้ฉันคิดรัก
เธอในแรกเราพบกัน
ใจตรงกับใจ สายตาที่บอก
คิดยืนยันแอบรักเมื่อวันก่อน
เกิดเป็นความรัก ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอติดยังฝังตรึง
ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน
อยากบอกเธอ รักครั้งแรก
จากวันเป็นเดือน
จิตยังฝังเตือนให้แอบพะวงถึงเธอ
ไม่กล้าเสนอว่ารัก
เธอเปี่ยมล้นจนเต็มหัวใจ
วันคืนผ่านไป หัวใจจะบอก
รักจำนรรแต่ฉันไม่กล้าเอ่ย
เกิดเป็นความรัก
ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอคิดยังฝังตรึง
ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน
อยากบอกเธอ รักครั้งแรก
หวั่นใจเพียงใดไม่กล้า
เผยคำพร่ำเอ่ยสุนทรวจี
อัดอั้นเต็มทีจึงลองถาม
นิดว่าเธอรักใครหรือยัง
คำเดียวที่คอย หวังเธอจะบอก
รักเช่นกันต่างรักเมื่อวันก่อน
เกิดเป็นความรัก
ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอคิดยังฝังตรึง
ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน
อยากบอกเธอ รักครั้งแรก

Rebel Heart




“Dial M for Madonna”

Madonna: Rebel Heart ****
Genre: Electro-Pop
Producer:  Avicii/ Diplo/ Blood Diamonds/ Billboard/ DJ Dahi/ Toby Gad/ Madonna/ Ariel Rechtshaid/ Sophie Ryan/ Tedder/ Kanye West
Released: 6 มีนาคม 2015

33....13....56

ตัวเลขจากซ้ายไปขวา : จำนวนปีนับจากปีแรกที่เธอออกอัลบั้มแรก (Madonna) ในปี 1982 จนถึงปีนี้.....จำนวนสตูดิโออัลบั้มทั้งหมดของเธอ...และอายุปัจจุบันของควีนออฟป๊อบหนึ่งเดียวตลอดกาล Madonna Louise Ciccone

ครั้งล่าสุดที่ผมได้มีโอกาสเขียนถึงงานของเธอ ต้องย้อนกลับไปที่อัลบั้ม Hard Candy ในปี 2008 ที่ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับแทบไม่เหลืออะไรในความทรงจำ นอกจากภาพปกอัลบั้มที่ท่านจะเห็นมาดอนน่าโพสท่าสุดเซ็กซี่นั่น ผมไม่ได้เขียนถึงเธอในอัลบั้มถัดมา MDNA (2012) ที่โด่งดังในระดับที่เจ๊แม่น่าจะพึงพอใจพ่วงด้วยความอื้อฉาวชุลมุนอีกชุดใหญ่ๆ

ใน Rebel Heart มาดอนน่าในวัยใกล้ 60 ดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เธอยังไม่ยอมตกกระแสป๊อบ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวล้ำหน้ายุคสมัย นี่เป็นอัลบั้มที่รู้สึกได้ว่าเธอทำเพลงในแบบที่เธออยากจะทำ มากกว่าทำเพลงในแบบที่เธออยากจะให้ฮิต บางสื่ออาจจะพยายามบอกว่ามันเป็น concept album ที่แยกเป็นสองธีมในชุดเดียวคือเพลงที่เป็นแนวขบถ (rebel) ฝั่งหนึ่ง และเพลงแห่งหัวใจ (heart) ในอีกฟาก แต่ผมคิดว่านั่นอาจเป็นการพยายามมองให้มันเป็นมากไปหน่อย

มาดอนน่าก็ยังคงเป็นมาดอนน่าคนเดิม เพลงของเธอยังวนเวียนอยู่กับเรื่องรักใคร่ ความ”มั่น”ของผู้หญิงคนหนึ่ง(หรือทั้งหมด) เรื่องเซ็กซ์ที่หวามสยิวถึงกึ๋น และถ้ามีเวลาว่าง เธอก็จะเดินไปแตะหัวข้ออื่นๆบ้าง เช่นเรื่องยาเสพติด, ปรัชญา และการครุ่นคิดอย่างลุ่มลึกในความหมายแห่งชีวิต (มีจริงๆนะ)

ผมฟัง Rebel Heart ด้วยความรู้สึกสบายๆ ไม่รู้สึกถูกกดดันด้วยโปรดักชั่นแรงๆเหมือนสองอัลบั้มก่อน แต่ก็ไม่ได้ติดหูประทับใจทันทีเหมือนอัลบั้มดิสโก้เขย่าฟลอร์ Confessions on the Dancefloor (2005) และเมื่อฟังผ่านพ้นรอบที่สาม ความดีงามและละเมียดละไมถึงขีดสุดของ Rebel Heart ก็เริ่มแสดงตนให้ประจักษ์ พูดอย่างไม่ลีลามากก็คือ มันไม่ใช่อัลบั้มป๊อบที่จะจับใจในทันที (ยกเว้นบางแทร็ค) แต่เป็นงานที่ต้องใช้เวลาละเมียดและพินิจพิเคราะห์ในเนื้อดนตรีและเนื้อหาพอสมควร แม้ว่ามันจะเป็นแค่งาน pop, EDM ในหน้าฉากก็ตามที

มาดอนน่าเริ่มทำงานนี้จริงๆจังๆในตอนต้นปี 2014 นี้เอง และนี่เป็นอัลบั้มที่เธอว่าจ้างชักชวนนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์มาร่วมสังคายนามากมายเป็นพิเศษ ความที่เป็นคนที่เล่นกับสื่อเก่งมาตลอด มาดอนน่าใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตในการปล่อยข่าวยั่วยวนถึงความคืบหน้าออกมาตามลำดับ รวมทั้งภาพปกที่เป็นหน้าเธอถูกมัดด้วยลวดสีดำ สื่อให้ถึงการยืนหยัดเอาชนะการผูกมัดใดๆ ที่แฟนๆเอาไปทำต่อกันจนเป็นเรื่องนิดหน่อย เมื่อลวดนี้ไปมัดอยู่บนผู้นำทางจิตวิญญาณอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์, เนลสัน แมนเดลล่า และ ราชาเร็กเก้ บ๊อบ มาร์ลีย์ แต่นั่นก็กลับกลายเป็นการกระพือข่าวชั้นดีให้ Rebel Heart และเจ๊เองก็ออกมายืดอกภูมิใจที่ได้รับการเปรียบเทียบกับบุคคลเหล่านี้ และย้ำว่าเธอเองก็เป็น “ผู้ต่อสู้เพื่อสันติภาพ” เช่นกัน

ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี ก่อนที่จะเริ่มมีการสะดุด เริ่มจากการหลุดรั่วของเพลงในชุดนี้ที่ยังทำไม่เสร็จดีออกมาทางอินเตอร์เน็ตถึง 30 เพลงในเดือนธันวาคม 2014 เจ๊แม่ฉุนจัดกับกรณีนี้และเรียกมันว่าเป็นการ”ข่มขืน”ทางศิลปะ แต่มาดอนน่าแก้ลำด้วยการเร่งรีบขัดเกลาเพลงที่เหลือ (ด้วยตัวเอง เพราะตอนนั้นไม่มีโปรดิวเซอร์คนไหนว่าง) แล้วปล่อยอีพี 6 แทร็คออกมาทาง iTunes และก็ทำยอดดาวน์โหลดได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ตัวอัลบั้มจริงจะมีกำหนดออกในเดือนมีนาคม 2015 ซึ่งเธอโปรโมตในโค้งสุดท้ายด้วยการแสดงในงานมอบรางวัลแกรมมี่และ Brit Awards แต่ในงาน Brit เจ๊ก็เป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อผ้าคลุมของเธอสร้างปัญหา ทำให้มาดอนน่าถูกกระชากตกบันไดลงมาต่อหน้าแฟนเพลง เสียงร้องของเธอเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่เจ๊จะลุกขึ้นมาร้องต่อ ช่างเข้ากับเนื้อหาของเพลง ‘Living For Love’ ที่เธอกำลังแสดงอยู่จนบางคนคิดว่านี่เป็นหนึ่งในการแสดงหรือเปล่า (ไม่หรอกครับ เธอเจ็บจริงแน่นอน และสาบานว่าจะไม่ใส่ผ้าคลุมแบบนั้นในการแสดงอีกเด็ดขาด)

เรามาฟังเพลงกัน Rebel Heart ใน standard version จะมี 14 เพลง แต่ถ้าเป็น deluxe จะเพิ่มโบนัสมาให้อีกเต็มอิ่มถึง 5 แทร็ค ที่น่าแปลกก็คือ ไทเทิลแทร็คกลับเป็นหนึ่งใน 5 แทร็คนั้น สำหรับท่านที่ซื้อแผ่นเวอร์ชั่นของประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ เพราะท่านจะได้ฟังทั้ง 19 แทร็คนี้เต็มๆในซีดีแผ่นเดียว แต่แฟนมาดอนน่าตัวแม่และพ่อคงไม่อยากหยุดแค่นี้ เป้าหมายน่าจะเป็น Super Deluxe Edition ที่จะเป็นซีดีแผ่นคู่ บรรจุทั้งหมด 25 แทร็ค

น่าเสียดายที่โปรดิวเซอร์หนุ่มสวีเดนคนดัง Avicii ที่มีข่าวว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์หลัก เอาเข้าจริงก็มีผลงานเป็นแค่โปรดิวเซอร์ร่วมในเพลง Devil Pray อคูสติกป๊อบ-คันทรี่-EDM ที่มีกลิ่นของอีเล็คโทรนิก้าจากยุค ‘Music’ ติดมาด้วย เพลงต่อต้านการเสพสารต่างๆที่มาดอนน่าเขียนได้อย่างเหนือชั้น (แต่แอบหวั่นนิดๆว่าจะมีคนยึดเอาคอรัสของเพลงไปเป็นการชักชวนการดมกาวเสียนี่) และเสียงร้องของเธอก็สดใสวัยรุ่นเสียเหลือเกิน ที่น่าเสียดายเพราะรู้สึกได้ว่า pop sense ของ Avicii เหนือชั้นกว่าผลงานของโปรดิวเซอร์คนอื่นๆที่ทำงานในอัลบั้มนี้ แต่พวกเขาก็ทำได้ในแนวถนัด Kanye West แร็ปเปอร์ติสต์แตก(ง่าย) ได้จับเพลง Illuminati และ Holy Waterที่เต็มไปด้วยดนตรีที่แน่นหนืดและหนานุ่มด้วยรายละเอียดในสไตล์ของท่านยีซัส เพลงหลังนี่เนื้อหาสยิวกิ้วไม่น้อยเลย ไม่อยากคิดถ้าเจ๊ทำเอ็มวีออกมา คงได้หวิวกันไม่น้อยหน้า Justify My Love อีกเพลงที่เว้าเรื่องเซ็กซ์กันดื้อๆตั้งแต่ชื่อเพลงเลยก็คือ S.E.X. ในวัยขนาดนี้ จะหาผู้หญิงกี่คนในโลกที่ยังกล้าร้องเพลงเชิงกามคุณได้หน้าชื่นตาบานได้อย่างมาดอนน่าอีกเล่า?

เพลงสนุกๆชวนโยกและเต้นในสไตล์ของเจ๊ในอัลบั้มมีไม่มากไม่น้อย Living For Love ซิงเกิ้ลเปิดตัว มันเป็นเพลงแบบมาดอนน่า แบบ Like a Prayer, Express Yourself ที่จับประเด็นให้กำลังใจตัวเองแม้จะเจอหนักแค่ไหน หรือถ้าจะย้อนไปไกลกว่านั้น มันก็อาจจัดเป็นหลานเหลนของดิสโก้คลาสสิก I Will Survive เดาว่าเพลงนี้ก็คงถูกใจแฟนเพลงชาวสีม่วงที่มีมากมายของเจ๊อีกครา Unapologetic Bitch ออกสนุกสนานในแนวเร็กเก้ Bitch, I’m Madonna ได้ Nicki Minaj มาร่วมแร็ปเพิ่มสีสัน ส่วน Iconic กลับเป็นเพลงที่ดนตรีสร้างสรรค์เมามันส์ที่สุด ได้ทั้งไมค์ ไทสันอดีตแชมป์หมัดหนักมาตะโกนและ Chance the Rapper มาร่วมพ่น

ที่เหลือเป็นเพลงช้าๆหรือฟังสบายๆที่ก็น่าฟังทุกเพลง ตั้งแต่เพลงบรรยายความรู้สึกของเซเล็บอย่าง Joan of Arc, บัลลาดอกหักกลางเมืองใหญ่-Heartbreak City (การตั้งชื่อเพลงออกจะข่มเพลงดังของเอลวิส เพรสลีย์-Heartbreak Hotelอยู่) Hold Tight, Inside Out และ Wash Over Me ที่เป็นเพลงปิดท้ายใน standard edition แต่ใน deluxe จะปิดท้ายด้วย Messiah และ ไทเทิลแทร็ค Rebel Heart อย่างยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบกว่ามาก เป็นอีกอัลบั้มที่ผมมีความเห็นว่า standard version คือเวอร์ชั่นที่ด้อยกว่าจนไม่น่าจะทำออกมาเลย

แฟนมาดอนน่าทุกเพศทุกวัยทุกยุคคงไม่มีทางพลาด Rebel Heart มันอาจจะไม่มีอะไรสร้างสรรค์แหวกแนวอีกแล้วสำหรับศิลปินวัยนี้ แต่คุณภาพของงานของควีนยังไม่ถดถอย ที่โดดเด่นมากในอัลบั้มนี้ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่พยายามเกินไปนั่นแหละ สำหรับนักฟังป๊อบรุ่นใหม่ๆจะเรี่มจากชุดนี้สำหรับการศึกษาและสัมผัสงานของเธอก็ไม่เลวทีเดียว ฟังแล้วอย่าไปวิจารณ์อะไรเธอมากล่ะ เพราะคุณอาจได้รับคำตอบว่า...

“Bitch! I’m Madonna!”

Tracklist for Deluxe Edition

1.    Living For Love
2.    Devil Pray
3.    Ghosttown
4.    Unapologetic Bitch
5.    Illuminati
6.    Bitch I'm Madonna (feat. Nicki Minaj)
7.    Hold Tight
8.    Joan of Arc
9.    Iconic (feat. Chance the Rapper & Mike Tyson)
10.  HeartBreakCity
11.  Body Shop
12.  Holy Water
13.  Inside Out
14.  Wash All Over Me
--------------
15.  Best Night
16.  Veni Vidi Vici (feat. Nas)
17.  S.E.X.
18.  Messiah
19.  Rebel Heart




Monday, 26 January 2015

Led Zeppelin BBC Sessions Liner Notes

"Led Zeppelin BBC Sessions"
Liner notes by Luis Rey (1997)


-----
ก่อนหน้านี้เราอาจจะหาฟังงานบันทึกเสียงจากรายการวิทยุที่ Led Zeppelin แสดงไว้ได้บ้าง และส่วนใหญ่จะไม่ใช่งานที่ออกมาเป็นทางการ, จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้
การบันทึกเสียงที่บีบีซีชุดนี้ได้บันทึกงานระดับหัวกะทิของเลด เซพพลินในช่วงที่พวกเขาดิบและสดที่สุด
สำหรับวงที่ทำงานในห้องอัดแบบหลงใหลในความสมบูรณ์แบบอย่างเซพพลิน แนวคิดของการออกอากาศการแสดงแบบตรงไปตรงมา, อิมโพรไวส์และส่วนมากจะไม่มีการอัดทับ,ดูเหมือนจะเป็นการท้าทายอย่างยิ่งยวด แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นรูปแบบของการท้าทายที่แฟนเซพพลินรุ่นแรกๆสามารถคาดหวังได้จากวง.... พวกเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกับศิลปินที่สามารถเล่นเพลงๆเดียวในสิบเวอร์ชั่น,ด้วยความยาวพอๆกัน,และแต่ละเวอร์ชั่นกลับมีสุ้มเสียงที่ต่างกันออกไปอย่างมากมาย
โดยพื้นฐานแล้ว เลด เซพพลินเป็นวงที่เล่นดนตรีแบบอิมโพรไวส์ ความตื่นเต้นของผู้มีโอกาสเข้าไปชมคอนเสิร์ตของพวกเขาก็คือได้เข้าร่วมการเดินทางที่ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาจะพาไปไหนหรือจะไปไกลแค่ใด
ด้วยชื่อเสียงในด้านการแสดงของพวกเขา เซพพลินจึงมักจะระมัดระวังเสมอว่าสื่อจะนำเสนอพวกเขาออกมาในรูปแบบใด การออกอากาศทางวิทยุในยุคซิกซ์ตี้ส์นั้นจะทำกับศิลปินเหมือนสินค้าเพลงฮิตยาวสองนาที เลด เซพพลินไปที่นั่นเพื่อแหกกฎและอยู่เหนือแนวทางเดิมๆของสื่อในยุคนั้น ไม่มีส่วนไหนของการบันทึกเสียงในเซ็ตนี้ที่มีความตั้งใจจะนำออกเสนอในรูปแบบอื่นๆนอกจากทางวิทยุ แต่กลับกลายเป็นว่าข้อจำกัดของการเล่นในสตูดิโอและการออกอากาศกลายเป็นการเพิ่มความเข้มข้นให้กับประสบการณ์การเล่นสดของเลด เซพพลิน
แต่ก่อนอื่น,เรามาเข้าใจกันก่อนว่าการแสดงเหล่านี้อยู่ในบริบทของอะไรที่เป็นชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์ของพวกเขา เลด เซพพลินเลือกการแสดงจากรายการ 'Top Gear' ของ John Peel อันโด่งดัง, 'Tasty Pop Sundae' ของ Chris Grant และซีรีส์ 'In Concert' ของ Radio One เพื่อนำมาออกอากาศทางวิทยุในอังกฤษ
จากการแสดงในรายการ 'Top Gear' เซสชั่นแรกสุดนั้นบันทึกเสียงกันในวันที่ 3 มีนาคม 1969 และออกอากาศในวันที่ 23 มีนาคม พวกเขาเพิ่งเสร็จจากการทัวร์อเมริกาครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและกำลังจะไปออกทัวร์สแกนดิเนเวียเป็นครั้งที่สอง เพลง You Shook Me, I Can't Quit You Baby และ Dazed and Confused จะมีจังหวะเชื่องช้าอย่างจงใจ, เล่นกันแบบเรียบง่าย กระชับ แต่ก็เต็มไปด้วยความโลดโผน-ช่างเป็นการเรียงร้อยศิลปะที่ฟังแล้วสุดฟิน มันสุดยอดเสียจนคลังบรรจุเพลงบลูส์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในหัวของแพลนต์สั่งให้เขาออกแบบเพลงใหม่โดยนำบางท่อนจาก Nineteen Years Old ของ Muddy Waters มาใช้ใน I Can't Quit You และสรรสร้างเนื้อเพลงใหม่ให้กับ Dazed And Confused นี่เป็นการออกอากาศทางวิทยุของเลด เซพพลินครั้งแรกในอังกฤษ- สั้น แต่เข้มข้น
พวกเขาบันทึกเสียงเซสชั่นของรายการ Tasty Sundae ของ Chris Grant ในวันที่ 16 มิถุนายน 1969 (ออกอากาศจริงวันที่ 22 มิ.ย.) -ห่างจากเซสชั่นแรกเพียงสามเดือน- แต่ความแตกต่างนั้นกลับมหาศาล ถึงเวลานั้นพวกเขาเริ่มต้นทำอัลบั้ม Led Zeppelin II กันแล้วและกำลังจะเริ่มออกทัวร์อเมริการอบสาม งานนี้พวกเขาดุดันและไม่ประนีประนอมยิ่งขึ้นกว่าเซสชั่นในเดือนมีนาคม และเพลงเหล่านี้ยังได้รับอานิสงค์จากการอัดทับ(overdub)อีกด้วย เพลง The Girl I Love ที่ได้ท่อนริฟฟ์สุดมันส์และเนื้อร้องบางส่วนมาจาก Sleepy John Estes (ตอกย้ำด้วยการฟาดกลองอันหนักแน่นของบอนแฮมและท่อนโซโลสวยๆจากเพจ)-เพลงนี้ไม่เคยออกขายเป็นทางการมาก่อน เช่นเดียวกับเพลง Somethin' Else ที่เล่นกันไฟแล่บ ส่วน Communication Breakdown ในเซสชั่นนี้มีท่อนแทรกตรงกลางอันแช่มช้าและเร้าใจ 'Just A Little Bit funky'
วันที่ 24 มิถุนายน 1969 (ออกอากาศ 29 มิ.ย.) พวกเขามาเล่นในรายการ Top Gear ของ John Peel เป็นครั้งที่สอง งานนี้พวกเขาเลือกเพลงมาเล่นได้หวือหวาซี๊ดซ๊าดที่สุด,มีสองเพลงจากอัลบั้มที่สองที่ยังไม่ออกในตอนนั้นและอีกแทร็คที่ไม่เคยออกมาก่อน เพลง What Is And What Should Never Be ได้รับการตกแต่งอย่างเต็มเหนี่ยวด้วยกีต้าร์สไลด์ใส่เอ็คโคและการเดินเบสที่สลับซับซ้อนที่สุดของจอห์น พอล โจนส์ และนี่ยังเป็นการเปิดตัวของ gong ของบอนแฮมครั้งแรกในการออกอากาศ Travelling Riverside Blues เป็นผลพวงจากเพลงบลูส์ของ Robert Johnson... แพลนต์คร่ำครวญประโยคสุดโปรด "squeeze my lemon' ท่ามกลางการโลดแล่นของเสียงสไลด์กีต้าร์ แต่มันกลับเป็นการออกอากาศครั้งแรกของ Whole Lotta Love ที่กวาดต้อนเราเข้าสู่คลื่นพายุแห่งสรรพเสียง มันเป็นเวอร์ชั่นที่แตกต่างไปจากในสตูดิโออัลบั้มอย่างยิ่ง,และอาจจะยอดเยี่ยมกว่าเสียอีก เพจไม่พูดพล่าม เขาทำเพลงด้วยการเข้าริฟฟ์อันโด่งดังและเต็มไปด้วยความดื่มด่ำทางดนตรีนั้นทันที ขณะที่เสียงร้องอันเข้มกระจ่างของแพลนต์คืบคลานเข้ามา, รอคอยให้ส่วนที่เหลือของวงก้าวเข้ามาเผาเวทีให้ลุกโชน ตามด้วยท่อน Theremin ที่นำไปสู่ท่อนวาห์-วาห์กีต้าร์โซโล่ที่ยืดยาวออกไปสองห้อง ปิดท้ายด้วยการห้อตะบึงสู่เส้นชัยประชันกันระหว่างเสียงร้องของแพลนต์และเครื่องดนตรีทั้งหมด
หลังจากเซสชั่นสุดยอดนี้แล้ว,ทางวงก็พร้อมที่จะรับมือกับความเสี่ยง: มันคือการจำลองการแสดงคอนเสิร์ตแบบเซพพลินในเดือนมิ.ย.69 ให้มาอยู่ในการออกอากาศทางวิทยุ โดยพวกเขาเล่นสดต่อหน้าผู้ขมจริงๆ พวกเขาเล่นกันที่ Playhouse Theatre สำหรับรายการ BBC Rock Hour ในวันที่ 27 มิถุนายน 1969 มันได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการนำเสนอดนตรีร็อคทางวิทยุ และพวกเขาก็อยู่ในฟอร์มสุดยอด การเปิดตัวด้วยเพลง Communication Breakdown ควบกับ I Can't Quit You ตัดฉับกับความเชื่องช้าอันหนักแน่นวายป่วงของ You Shook Me (โดดเด่นเป็นพิเศษในรายการนี้ด้วยการโซโล่ออร์แกนสุดเก๋าจากโจนส์) ส่วนใน How Many More Times พวกเขาเลือกวิธีการเฉลิมฉลองมันในรูปแบบที่ต่างจากตอนต้นปี 1969 ไม่มีการใช้คันสีไวโอลินสุดหลอนในตอนกลางเพลงอีกต่อไป แต่กลายเป็นโซโล่กีต้าร์แบบ 'Bolero' และในตอนนี้,ถ้าคุณตั้งใจฟัง,มันจะอยู่ท่่ามกลางความโกลาหลที่เหมือนจะไร้จุดจบ แพลนต์จำได้ว่าเขาไม่รู้ว่าร้องอะไรออกไปบ้างในตอนนั้น รู้แต่เพียงว่าเขาเมามันเหลือเกิน - แพลนต์ระรัวลิ้นพ่นถ้อยคำสุดโปรด 'squeeze my lemon' จากเพลงบลูส์ของโรเบิร์ต จอห์นสันอีกครั้งไปบนความตื่นเต้นทั้งมวลเพื่อรักษาความสมดุลย์
สิ่งหนึ่งที่น่าตราตรึงใจของเลด เซพพลินก็คือในวันเวลานั้นพวกเขาเล่นดนตรีกันราวกับว่าทุกๆคอนเสิร์ตจะเป็นงานสุดท้าย และนี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเซสชั่นเหล่านี้ถึงได้เป็นอมตะ...มันฟังราวกับเพิ่งบันทึกเสียงเมื่อวานนี้
สำหรับเซสชั่นสุดท้ายเราจะเดินทางไปอีกสองปีเข้าสู่รายการ BBC Rock Hour ของจอห์น พีล ที่อัดเสียงกันที่ Paris Studios ในลอนดอน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 1971 (ออกอากาศ 4 เมษายน) นี่น่าจะเป็นการออกรายการวิทยุที่โด่งดังที่สุดของพวกเขาและมีการทำบู๊ตเลกกันมานับครั้งไม่ถ้วนและทุกๆรูปแบบ (รวมทั้งการถูกตัดต่อเข้าไปรวมกับบางส่วนของเซสชั่นในปี 1969!) การแสดงนี้เป็นไปในแบบเดียวกับงานอื่นๆของเขาในช่วงต้นปี 1971 โดยที่พวกเขาอยู่ในช่วงระหว่างทัวร์อังกฤษ 'Return To The Clubs'
ไฮไลท์ของงานนี้ก็คือการพรีวิวเพลงจากอัลบั้มชุดที่4 ที่จะยังไม่ออกขายจนอีก 8 เดือนข้างหน้า อย่างเพลง Black Dog (ที่มีอินโทร 'Out On The Tiles' จากบอนแฮม),Going To California และการออกอากาศครั้งแรกของเพลง Stairway To Heaven ไม่มีเสียงปรบมือต้อนรับท่อนเปิดตัวของเพลง, มีเพียงแต่ลมหายใจของความคาดหวังจากผู้ชมในสตูดิโอที่นั่งเงียบกริบ ในเวอร์ชั่นเก่าแก่นี้คุณแทบจะ"เห็น" เพจกำลังเปลี่ยน fretboards บนกีต้าร์สองคอตัวใหม่ของเขา มันมีความตึงเครียดในบรรยากาศต่างจากความตื่นเต้นล้นพ้นในปี 1969 ช่วงเวลาอันน่าอัศจรรย์เป็นไปในทางความลึกล้ำมากกว่าความเมามัน Dazed and Confused ของเพจส่งให้ทุกคนโบยบินกันในท่อนสุดท้ายที่หลุดโลกกันเป็นพิเศษ และใน Whole Lotta Love การหยุดเล่นพร้อมกันอย่างประจวบเหมาะจนแทบจะเหมือนเป็นเรื่องอุบัติเหตุของทุกคนหลังจากท่อนโซโล่ Theremin อันหลอนแหลกราญนั้น...อาจกล่าวได้ว่าเป็นนิยามของคำว่า หนักแน่นแต่พลิ้วพราย (tight-but-loose)
อีกมุมที่ขึ้นชื่อของเลด เซพพลินในด้านการเป็นวงคัฟเวอร์ชั้นยอดก็ถูกนำเสนอเป็นอย่างดี ณ ที่นี้ : ท่อนเมดเลย์ของเพลงคลาสสิกอันไหลลื่น เริ่มจาก Boogie Chillun ของ John Lee Hooker, Truckin' Little Mama, Fixin' To Die, That's Alright Mama และ A Mess of Blues ส่งเสริมด้วยกีต้าร์โซโล่ชั้นเลิศของจิมมี่ เพจ เสียงออร์แกนของโจนส์เริ่มต้นเพลง Thank You เป็นการปิดฉากการแสดงที่แน่นและกระชับ (แม้ว่าจะตื่นตระหนกในบางลีลา)
ซีดีคู่ชุดนี้เป็นอะไรที่มากไปกว่าการรวมเพลงจากการออกอากาศทางบีบีซี อันจับเอาช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของวงและมันเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์และยังเป็นการให้ความคารวะแก่ดนตรีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเลด เซพพลินในฐานะนักดนตรี แม้ว่าคุณภาพของการบันทึกเสียงนี้จะไม่ใช่ในระดับเดียวกับในอัลบั้มสตูดิโอของพวกเขา.....สำหรับบางคน,นี่คือ เลด เซพพลินเพียวๆ ในทุกๆด้านไม่ว่าดีหรือร้าย แต่ความสมบูรณ์แบบด้านเทคนิคไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริงสำหรับเรา;เราปรารถนาซึ่งความคิดสร้างสรรค์และความกล้าได้กล้าเสีย
ช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์อย่างฉับพลันเพียงช่วงเดียวที่ถูกบันทึกไว้ได้มีค่ามากกว่าความสมบูรณ์แบบจากคอมพิวเตอร์นับพันชั่วโมง และทุกคนจะยังสามารถค้นพบความคิดสร้างสรรค์แบบนั้นได้ในการแสดงของ Led Zeppelin ในอัลบั้มนี้
CD One
1. YOU SHOOK ME 5:14
(Willie Dixon, J. B. Lenoir)
‘Top Gear’
Recorded 3.3.69. Transmitted 23.3.69
(Arc Music/Hoochie Coochie Music, BMI, adm. by Bug Music)
2. I CAN’T QUIT YOU BABY 4:22
(Willie Dixon)
‘Top Gear’
Recorded 3.3.69. Transmitted 23.3.69
(Hoochie Coochie Music, BMI, adm. by Bug Music. Contains sample of “19 Years Old” by Muddy waters, published by Watertoons Music, BMI, adm. by Bug Music)
3. COMMUNICATION BREAKDOWN 3:12
(Jimmy Page, John Paul Jones, John Bonham)
‘Chris Grant’s Tasty Pop Sundae’
Recorded 16.6.69. Transmitted 22.6.69
4. DAZED AND CONFUSED 6:39
(Jimmy Page)
‘Top Gear’
Recorded 3.3.69. Transmitted 23.3.69
5. THE GIRL I LOVE SHE GOT LONG
BLACK WAVY HAIR 3:00
(Jimmy Page, Robert Plant, John Paul Jones, John Bonham, John Estes)
‘Chris Grant’s Tasty Pop Sundae’
Recorded 16.6.69. Transmitted 22.6.69
(Southern Music Publishing Company Inc., ASCAP)
6. WHAT IS AND WHAT SHOULD NEVER BE 4:20
(Jimmy Page, Robert Plant)
‘Top Gear’
Recorded 24.6.69. Transmitted 29.6.69
7. COMMUNICATION BREAKDOWN 2:40
(Jimmy Page, John Paul Jones, John Bonham)
‘Top Gear’
Recorded 24.6.69. Transmitted 29.6.69
8. TRAVELLING RIVERSIDE BLUES 5:12
(Jimmy Page, Robert Plant, Robert Johnson)
‘Top Gear’
Recorded 24.6.69. Transmitted 29.6.69
(Flames of Albion Music Inc. ASCAP/King of Spades Music, BMI)
9. WHOLE LOTTA LOVE 6:09
(Jimmy Page, Robert Plant, John Paul Jones, John Bonham, Willie Dixon)
‘Top Gear’
Recorded 24.6.69. Transmitted 29.6.69
10. SOMETHIN’ ELSE 2:06
(Sharon Sheeley, Bob Cochran)
‘Chris Grant’s Tasty Pop Sundae’
Recorded 16.6.69. Transmitted 22.6.69
(Money Honey Music/Robert Cochran Music, adm. by EMI Unart Catalog Inc., BMI)
11. COMMUNICATION BREAKDOWN 3:05
(Jimmy Page, John Paul Jones, John Bonham)
‘One Night Stand’ – Playhouse Theatre,
London. Recorded 27.6.69. Transmitted 10.8.69
12. I CAN’T QUIT YOU BABY 6:21
(Willie Dixon)
‘One Night Stand’ – Playhouse Theatre,
London. Recorded 27.6.69. Transmitted 10.8.69
(Hoochie Coochie Music, BMI, adm. by Bug Music)
13. YOU SHOOK ME 5:14
(Willie Dixon, J. B. Lenoir)
‘One Night Stand’ – Playhouse Theatre,
London. Recorded 27.6.69. Transmitted 10.8.69
(Arc Music/Hoochie Coochie Music, BMI, adm. by Bug Music)
14. HOW MANY MORE TIMES 11:51
(Jimmy Page, John Paul Jones, John Bonham)
Contains samples from ‘The Lemon Song’ by Jimmy Page, Robert Plant, John Paul Jones, John Bonham, Chester Burnett published by Arc Music Corp., BMI/Sunflower Music Inc. ASCAP
‘One Night Stand’ – Playhouse Theatre,
London. Recorded 27.6.69. Transmitted 10.8.69
All songs published by Superhype Publishing Inc.
All rights administered by WB Music Corp. ASCAP unless otherwise indicated.
__________________________________________________
CD Two
1. IMMIGRANT SONG 3:20
(Jimmy Page, Robert Plant)
2. HEARTBREAKER 5:16
(Jimmy Page, Robert Plant, John Paul Jones, John Bonham)
3. SINCE I’VE BEEN LOVING YOU 6:56
(Jimmy Page, Robert Plant, John Paul Jones)
Not transmitted
4. BLACK DOG 5:17
(Jimmy Page, Robert Plant, John Paul Jones)
Not transmitted
5. DAZED AND CONFUSED 18:36
(Jimmy Page)
6. STAIRWAY TO HEAVEN 8:49
(Jimmy Page, Robert Plant)
7. GOING TO CALIFORNIA 3:54
(Jimmy Page, Robert Plant)
8. THAT’S THE WAY 5:43
(Jimmy Page, Robert Plant)
9. WHOLE LOTTA LOVE (MEDLEY) 13:45
(Jimmy Page, Robert Plant, John Paul Jones, John Bonham, Willie Dixon)
‘BOOGIE CHILLUN’
‘FIXIN’ TO DIE’
‘THAT’S ALRIGHT MAMA’
‘A MESS OF BLUES’
Contains samples from ‘Boogie Chillun’ by John Lee Hooker, Bernard Bestman, published by La Cienega Music Company, BMI; ‘Fixin’ To Die’ by Bukka White, published by MCA Music Publishing, a division of Universal Studios Inc, ASCAP; ‘That’s Alright Mama’ by Arthur Crudup, published by Unichappell Music Inc/Crudup Music. All rights admin. By Unichappell Music Inc, BMI; ‘A Mess Of Blues’ by Doc Pomus, Mort Shuman, published by Elvis Presley Music, admin. By R&H Music World, BMI
10. THANK YOU 6:37
(Jimmy Page, Robert Plant)
Not transmitted
__________________________________________________
All songs on CD 2 recorded at the Paris Theatre, London 1.4.71 –
‘In Concert’ (Unedited)
All songs published by Superhype Publishing Inc.
All rights administered by WB Music Corp. ASCAP unless otherwise indicated.
Compilation and Mastering: Jimmy Page
Mastering engineer: Jon Astley
Artwork/Design: Andie Airfix at Satori.
Research: Ross Halfin.
Photography: Chris Walter/Photo Features; Penny Smith; Christian Rose; Barry Plummer; Jean Pierre Leloir; Claude Gassian; Hugh Crymble; Dick Barnet/Redferns
© 1997 Atlantic Recording Corporation. All Rights Reserved. Printed in U.S.A.
BBC Worldwide Music
The BBC word and logo are trademarks
Of the British Broadcasting Corporation.
A BBC Worldwide Music Production.
83061-2

Thursday, 8 January 2015

Jersey Boys

Jersey Boys (2014)
ว่าจะดูหนังเพลง+ประวัติของ Frankie Valli และ The
Four Seasons เรื่องนี้ตั้งแต่ปีก่อน แต่เพิ่งมีเวลาว่างก็
วันนี้.... ปู่คลินต์ อีสต์วู้ดในวัย 84 ยังคงฝีมือกำกับชั้นครู
นวลเนียน ลึกซึ้ง และสนุกสนานในแบบที่มันควรจะเป็น
หนังประเภท biopic ก็คงต้องจับประเด็นบางอย่างมานำ
เสนอ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเสนอชีวิตทุกแง่มุมของตัว
ละครออกมาทั้งหมด และใน Jersey Boys นอกจากเรื่องดนตรีอันเป็นหลักแล้ว หัวข้อที่โดดเด่นออกมาก็คือมิตรภาพ
และการจัดการกับอุปสรรคที่เหมือนจะเกิดขึ้นได้เรื่อยๆใน
ชีวิต (ก็เป็นกันทุกคนแหละ)

หนุ่มๆนิวเจอร์ซีย์ในยุคต้นทศวรรษ 50's พวกเขาไม่มี
หนทางเลือกในชีวิตมากนัก และ แฟรงค์กี้ (ตอนนั้นยังใช้
ชื่อว่า Frankie Castelluccio และแสดงโดย John Lloyd
Young ) ก็เลือกทางดนตรี โดยมีการเป็นแก๊งค์สเตอร์ ลัก
เล็กขโมยน้อยควบไปด้วย เขามีรุ่นพี่ตัวแสบ Tommy
DeVito (แสดงโดย Vincent Piazza) เป็นหัวโจก ชี้นำ
ชีวิตในทุกๆด้านทั้งดีและร้าย เป็นทอมมี่ที่ทำให้เขาได้ขึ้น
ร้องเพลงเป็นครั้งแรก และทันทีที่ทุกคนได้ยินเสียงของ
แฟรงกี้ พวกเขาก็รู้ว่านี่คือเสียงจากสวรรค์ที่ไม่มีใครเหมือน
(บางคนอาจจะรับไม่ได้กับเสียงสูงแหลมเล็กแบบนั้น) นอก
จากเรื่องเพลง ทอมมี่ยังสอนวิธีจีบสาว การรับมือกับพวก
ต้มตุ๋น และการเป็นมิจฉาชีพเสียเอง สิ่งเหล่านี้ทอมมี่ทำ
ได้ลื่นไหลราวกับเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิด
ต้องแซงคิวชมกลางคันว่าเสื้อผ้าหน้าผมและฉากของหนัง
เรื่องนี้สมจริงและเป็นธรรมชาติราวกับไปถ่ายในนิวเจอร์ซี่
ยุคนั้นจริงๆ
ตัวละครที่โดดเด่นอีกท่านก็คือ Gyp DeCarlo เจ้าพ่อ
ผู้ทรงอิทธิพลแห่งพื้นที่ (แสดงโดย Christopher
Walken) เขาเอ็นดูแฟรงกี้และเพื่อนมาตั้งแต่เด็กๆยังทำ
งานอยู่ร้านตัดผม ฝีไม้ลายมือในการแสดงของ Walken
นั้นคงไม่ต้องกล่าวอะไรกันมาก ออกมาแต่ละฉากก็เหมือน
ไม่ต้องดูใครอื่นกันหมด
ก็เหมือนกับวงดนตรีทั่วไปในยุคนั้น ที่ต้องเปลี่ยนสมาชิก
กันไป เล่นตามคลับไปวันๆ แต่จุดเปลี่ยนของพวกเขาก็คือ
การได้พบกับหนุ่มน้อยนักแต่งเพลงนาม Bob Gaudio
(แสดงโดย Erich Bergen) ทำให้พวกเขาได้มีเพลงของ
ตัวเองและนำไปสู่การได้สัญญาบันทึกเสียงในที่สุด (แบบมี
เส้นเล็กน้อย) โดย Bob ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวงด้วย
ในตำแหน่งคีย์บอร์ด
พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงกันหลายครั้งก่อนจะจบที่ชื่อ The
Four Seasons และมีเพลงฮิตติดอันดับ 1 สามเพลงรวด
Sherry, Big Girls Don't Cry และ Walk Like A Man
ก่อนที่อุปสรรคใหม่ๆจะตามมากับความดังนั้น และทำให้
แฟรงกี้ต้องเป็นคนตัดสินใจว่าเขาจะเลือกอะไรระหว่าง
ความเป็นเพื่อนเก่าแก่ของเขากับทอมมี่หรืออนาคตของวง
มีช่วงเวลาดราม่าและความขัดแย้งอยู่นานพอสมควรจน
เกือบลืมว่านี่เป็นหนังเพลง
คลินต์สอดแทรกเรื่องราวเบื้องหลังการแต่งเพลงและการ
บันทึกเสียงเพลงดังลงไปในหนังอย่างชาญฉลาด,กระชับ
และเรียกรอยยิ้มได้ตลอด มีมุกเล็กๆที่บ๊อบนั่งดูทีวีใน
โรงแรมที่เป็นหนังคาวบอยที่คลินต์แสดงอีกด้วย
จอห์น ลอยด์ ยังก์ เล่นเป็นแฟรงกี้ในละครบรอดเวย์จน
คล่องแคล่ว เขาร้องเสียงหลบสูงได้อย่างน่าฟังอีกทั้งรูป
ลักษณ์ก็สมจริง แต่คนที่เด่นกว่าน่าจะเป็นวินเซนต์ในบท
ทอมมี่ เพราะสีสันและความเป็น"ร็อคสตาร์"ของเขามัน
แสบสันต์และน่าสมเพชเหลือเกิน
คลินต์คงไม่ได้ตั้งใจจะเก็บ Can't Take My Eyes Off
You มาไว้เป็นทีเด็ดช่วงท้าย เพราะเรื่องราวจริงๆมันก็
เป็นอย่างนั้น แต่อยากจะบอกว่าฉากนี้มันน่าตื่นเต้นจริงๆ
ในการที่ค่อยๆได้เห็นเพลงนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รวมทั้ง
ลีลาการต่อรองของบ๊อบที่จะทำให้สังคมเพลงป๊อบยอมรับ
เพลงนี้ (ส่วนตัวผมก็คิดว่านี่เป็นเพลงป๊อบที่ยิ่งใหญ่มากๆ
ด้วย) มันเป็นฉากที่ตื่นเต้น แต่ไม่ได้ดูเวอร์จนเกินเลย
หนังมาขมวดปมตอนการกลับมาร่วมร้องเพลงกันอีกครั้ง
ของ Four Seasons ในวัยชราบนเวที Hall of Fame
ในปี 1990 และคลินต์ก็ใช้ลูกไม้ง่ายๆของการทำหนังทำ
ให้ฉากนี้ออกมาน่าประทับใจเหมือนมีเวทย์มนตร์
แต่ฉากจบจริงๆ(มาพร้อมเครดิต)กลับเป็น fantasy street
 dance ในเพลงDecember'63 (Oh What A Night) ที่ตัว
ละครทั้งหมดออกมาเต้นร่วมกันบนถนน รวมทั้ง Walken 
ด้วย เป็นการจบที่เพอร์เฟ็คมากครับ (ในเบื้องหลังจะได้
เห็นคลินต์ออกมาเต้นกับเค้าด้วยในตอนถ่ายทำ และเหล่า
ดาราก็เชียร์ให้เขามาเข้ากล้องจริงๆ แต่ผู้กำกับอาวุโสไม่
เอาด้วย "ผมไม่มีหน้าที่อะไรตรงนั้น")
เป็นหนังประวัตินักดนตรีนุ่มๆที่ไม่ถึงกับคลาสสิก อาจจะ
เป็นเพราะเรื่องราวของพวกเขาไม่ได้หวือหวาอะไรนัก แต่
คลินต์ก็ไม่ได้พยายามทำให้แฟรงกี้และวงดูใหญ่โตเกิน
ความจริงอะไร จุดเด่นคือเพลงเพราะๆ, เสื้อผ้าและฉากที่
สวยงาม และ...การแสดงของคริสโตเฟอร์ วอลเก้น
อ้อ ลืมชมไปอีกเรื่อง การให้ตัวละครหันมาคุยกับคนดูเพื่อ
เล่าเรื่องเป็นระยะๆนั้นเป็นวิธีการเชยๆที่น่ารักและได้ผลมาก
ในหนังเรื่องนี้...อย่างน้อยก็กับผมครับ...ปู่คลินต์

Tuesday, 18 November 2014

Slipknot .5

ตำนานโหดไอโอว่า,ฉบับที่ 5
Slipknot: .5: The Gray Chapter 
****
Genre: Heavy Metal
Producer: Slipknot and Greg Fidelman
Released: October 2014



All Hope Is Gone คือความเติบโตของวงร็อควงหนึ่งที่น่าสนใจ แฟนที่ผิดหวังมักจะแดกดันว่าชื่ออัลบั้มหมายถึงความสิ้นหวังของแฟนเพลงที่จะให้พวกเขากลับไปเล่นแนวเดิมๆ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดถึงจริงๆในตัวเพลงคือความสิ้นหวังของสังคมและการตอบโต้กับความรุนแรงและถ้อยคำไร้สัจจะของผู้นำ เบื้องหลังความเมามันของบทเพลงทั้งหมดนี้ เนื้อหาที่พวกเขาต้องการสื่อออกมาก็เป็นสิ่งที่ท่านผู้ฟังน่าจะใส่ใจไปด้วยครับ

ย่อหน้าด้านบนคือส่วนหนึ่งของบทรีวิวอัลบั้ม All Hope Is Gone ของ Slipknot ที่ผมเขียนไว้เมื่อหกปีที่แล้ว (2008) ไม่คิดว่าทางวงจะทิ้งช่วงนานขนาดนี้กว่าจะออกอัลบั้มใหม่ และจริงๆแล้วถือว่าเราโชคดีด้วยซ้ำที่ยังได้ฟังอัลบั้มนี้ เพราะหกปีที่ผ่านมานั้นพวกเขาประสบเคราะห์หามยามร้ายอย่างสาหัสจนเกือบจะต้องสลายวง

เริ่มจากการเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝันของ Paul Gray มือเบสและนักแต่งเพลงตัวหลักของวงในวันที่ 24 พ.ค. 2010 ด้วยสาเหตุของการได้รับยา morphine และ fentanyl มากเกินไป (overdose)โดยอุบัติเหตุ การตายของเกรย์ส่งผลต่อการทำงานของวงอย่างเห็นได้ชัด ข่าวคราวเรื่องการทำอัลบั้มใหม่ถูกเลื่อนมาตลอด และมีการขัดตาทัพด้วยอัลบั้มรวมฮิต Antennas To Hell ในเดือนมิ.ย.2012 (สัญญาณอีกอย่างหนึ่งของวงดนตรีที่กำลังจะแตกดับก็คือการออกอัลบั้มรวมฮิต) แฟนๆหลายคนถอดใจไปแล้วว่าคงจะไม่ได้ยินงานใหม่ๆจาก Slipknot อีก จนกระทั่งมีข่าวออกมาว่าพวกเขาเริ่มทำงานเพื่ออัลบั้มชุดที่ 5 กันในช่วงปลายปี 2013 โดยคอรี่ เทย์เลอร์ นักร้องนำแย้มๆว่ามันจะเป็นอัลบั้มที่มืดหม่นมากๆและมีแนวดนตรีออกมาอยู่ที่จุดตัดระหว่าง Iowa อัลบั้มชุดที่สองกับ Vol.3 (The Subliminal Verses) อัลบั้มชุดที่สาม แต่ข่าวร้ายก็ตามมาอีก Joey Jordison มือกลองที่ร่วมหัวจมท้ายกับวงมา 18 ปี ถูกเชิญออกจากวงด้วยเหตุผลส่วนบุคคล (จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครมาชี้แจงชัดๆว่าโจอี้ออกจากวงเพราะเหตุใดกันแน่ มีแค่โจอี้โพสต์ในเฟซบุ๊คของเขาว่า เขาไม่ได้เป็นคนลาออกจาก Slipknot เท่านั้น)

การเสียทั้งนักแต่งเพลงหลักและมือกลองอย่างโจอี้ที่มีลีลาเฉพาะตัวจนแทบจะเรียกได้ว่าเสียงกลองของเขาเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวง ทำให้แฟนๆออกอาการเป็นห่วงว่าสมาชิกที่เหลือจะทำอัลบั้มใหม่กันได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และใครจะมาแทนที่สองคนนี้

แต่พวกเขาก็ยังเดินหน้าต่อไป มีนักดนตรีสองคนมาแทนที่เกรย์และโจอี้ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ทางวงปิดเงียบกันอีก (ความลับเยอะเหลือเกิน ก็อย่างนี้ล่ะครับวงใส่หน้ากาก) ว่าเขาสองคนนั้นเป็นใคร

สมาชิกที่เหลือ 7 คนของวงตอนนี้ก็คงมี Corey Taylor ร้องนำ, Mick Thomson กีต้าร์+เบส, Shawn Crahan เพอร์คัสชั่น+ร้องประสาน, Craig Jones แซมปลิ้ง+คีย์บอร์ด, Jim Root กีต้าร์+เบส, Chris Fehn-เพอร์คัสชั่น+ร้องประสาน และ Sid Wilson เล่นเทิร์นเทเบิ้ล (สแครชแผ่น)

The Negative One เป็นเพลงใหม่เพลงแรกในรอบหกปีที่แฟนๆได้ฟัง ออกมาเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2014 ตามติดด้วย The Devil and I ในเวลาไม่ถึงเดือนต่อมา พวกเขาประกาศชื่ออัลบั้มใหม่ .5: The Gray Chapter และปล่อยมันออกมาในเดือนตุลาคม 2014 เป็นที่รู้กันว่าคำว่า Gray นั้นมาจากนามสกุลของ Paul Gray และอัลบั้มนี้ไม่มากก็น้อยอุทิศให้เขาในหลายแง่มุม

Slipknot ที่ไม่มีพอล เกรย์ และ โจอี้ จอร์ดิสัน ก็ยังคงเป็น Slipknot วงเดิมที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงอะไร พวกเขายังคงแนวทาง nu-metal ที่ผสมผสานเมทัลเข้ากับการร้องแบบต่างๆมากมายรวมทั้งแร็พ เอกลักษณ์ของดนตรีของพวกเขาคือการใช้กีต้าร์จูนต่ำ,เพอร์คัสชั่นแน่นหนาหนักหน่วงและหลากหลาย รวมทั้งเสียงจากแซมเปิ้ลและการครูดแผ่นเสียง ส่วนการร้องนั้นมีสารพัดไม่ว่าจะเป็นเสียงสำรอกในลำคอ,กรีดร้อง,แร็พเร็วจี๋ และนานๆทีก็ทำเสียงหล่อบนท่วงทำนองอันสวยงาม ทั้งหมดนี้ยังอยู่ใน .5: The Gray Chapter ไม่ไปไหน และไม่ว่ามือกลองคนใหม่นี้จะเป็นใครต้องยอมรับว่าเขาสวมบทบาทโจอี้ได้ไม่บกพร่อง ชนิดที่ไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าโจอี้ออกไปแล้ว

ส่วนในด้านการประพันธ์เพลง ทุกเพลงในอัลบั้มใหม่เป็นเครดิตการแต่งของ “Slipknot” และพวกเขาก็ช่วยกันเขียนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีร่องรอยว่าบทเพลงของพวกเขาจะเป๋ไปเมื่อขาดเกรย์ ถ้าไม่นับดนตรีที่บอกไปแล้วว่าไม่มีถดถอย เนื้อร้องของพวกเขาก็ยังเด็ดขาดเหมือนเดิม รุนแรงแข็งกร้าว ใช้คำสั้นๆแต่มาเรียงร้อยจัดวางต่อเนื่องกันแล้วต้องตีความไม่น้อย , เนื้อหาในเพลงของพวกเขายื่นไปแตะในเรื่องราวต่างๆมากมาย ทั้งการเมือง,อุตสาหกรรม,ปรัชญา, ความตาย.ความสับสนทางจิต-ด้านมืดของอารมณ์, ความโกรธ...และความรัก แน่นอนว่าเนื้อเพลงของพวกเขาไม่เหมาะและไม่เคยเหมาะกับเยาวชน,ผู้พิสมัยความงดงามและด้านสดใสแห่งภาษา และพวกมือถือสากปากถือศีลทั้งหลาย

ด้วยเหตุประการทั้งปวงที่กล่าวมาจึงสรุปได้ว่า แฟนเก่าของ Slipknot ไม่น่าจะไม่ชอบ .5:The Gray Chapter และคนที่ไม่เคยชอบก็คงจะไม่ชอบพวกเขาต่อไป!

เปิดอัลบั้มด้วย XIX ที่เน้นเสียงร้องแบบเป็นผู้เป็นคนของคอรีย์ เทย์เลอร์โดยมีเสียงคีย์บอร์ด, glockenspiel และกีต้าร์โปร่งโอบอุ้ม มันคือการประกาศการเดินหน้าต่อไปของวงอย่างชัดเจนด้วยการชักชวนให้คนฟัง “Walk with me, walk with me/ don’t let this symbolism kill your heart / just like we should’ve done right from the start.” ส่วนมากแล้วเพลงแรกในอัลบั้มของพวกเขาจะเป็นเพลงสั้นๆและมีเนื้อร้องฟังไม่ได้ศัพท์ นี่เป็นครั้งแรกที่มีความชัดเจนกันตั้งแต่แทร็คแรก มีความรู้สึกได้ว่าเพลงนี้จะระเบิดออกเป็นความรุนแรงในทุกวินาที แต่มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ต่อเนื่องไปกับแทร็คสอง Sarcastrophe ที่ขึ้นต้นมาด้วยสไตล์คล้ายคลึงกัน จนกระทั่งหนึ่งนาทีกว่าๆผ่านไป พวกเขาจึงกระหน่ำพลังลงมาเต็มสูบให้แฟนๆโล่งอกว่าวงโปรดของเขายังดุดันไม่เสื่อมคลาย และเมื่อพวกเขาจัดเต็ม มันก็คือเต็มจริงๆ ทั้งเสียงร้องสารพัดพิษ,ท่อนริฟฟ์หนักหน่วง,คอรัสอันบ้าคลั่ง และเสียงคีย์บอร์ด+แซมปลิ้งเติมความอลหม่าน เนื้อเพลงยากที่จะเข้าใจในเวลาอันสั้น จำได้อย่างเดียวว่าพวกเขาอวยพรให้ว่า ‘live long and die for me.’ 

เครื่องติดแล้วก็คงจะหยุดยาก AOV แทร็คที่สาม เต็มไปด้วยพลังในแบบอัลบั้มแรกและคอรัสใหญ่โตเหมือนใน All Hope Is Gone คอรีย์แร็พระเบิดในช่วงกลางเพลง ก่อนที่เพลงจะผ่อนช้าลงเปิดโอกาสให้มือเบสนิรนามเอื้อนสายหวานๆให้ฟังกันพักนึง ประโยคสำคัญในเพลงนี้-: “Approaching original violence / If it’s over, you can tell me it’s no use.”--ลองตีความกันสิครับ

The Devil In I ลดความซับซ้อนลง เป็นแทร็คที่พวกเราร้องตามกันสบายๆเหมาะแล้วที่จะเป็นซิงเกิ้ล แต่เมื่ออยู่ในอัลบั้มมันกลายเป็นเพลงให้พักโสตประสาทมากกว่า Killpop เพลงสั้นๆที่มีเมโลดี้สวยงาม ไม่แปลกหรอก เพราะมันเป็นเพลงรัก แต่เป็นเพลงรักที่ออกจะสยองขวัญและโรคจิตไม่น้อย “Maybe I should let her go..but only when she loves me / How can I just let her go? Not until she loves me….” เนื้อเพลงยังสื่อถึงการทรมานคนที่เขารักอีกด้วย แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตีความ ช่วงท้ายเพลงดนตรีเร่งดีกรีขึ้นถึงความรุนแรงเกือบขีดสุดอีกครั้ง

Skeptic เนื้อเพลงน่าจะหมายถึงพอล เกรย์เป็นอย่างยิ่ง “The world will never see another crazy motherf_cker like you. The world will never know another man as amazing as you.” และอีกหลายท่อน ลีลาในการเรียบเรียงเพลงนี้ซับซ้อนเอาเรื่อง-ถ้าคุณจะตั้งใจชำแหละมัน แต่อย่าลำบากขนาดนั้นเลย มีความสุขกับความเมามันสุดขีดที่พวกเขาเล่นให้ฟังดีกว่า Goodbye ปกติเพลงชื่อนี้น่าจะเป็นเพลงปิดท้าย แต่มันมาอยู่ตรงนี้เพราะมันไม่ใช่เพลงอำลา แต่เป็นเพลงที่บอกว่าการเอ่ยคำอำลาจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทำบนโลกนี้ต่างหาก ถึงตรงนี้จะสังเกตว่าพวกเขาย้ำบ่อยมากถึงการยืนหยัดสู้ต่อไปไม่ว่าอุปสรรคจะสาหัสแค่ไหน 

Nomadic จัดเต็มอีกครั้งในสไตล์ Iowa ของแท้ ริฟฟ์ขนาดมหึมาที่เคลื่อนไหวรวดเร็วไปพร้อมๆกับเมโลดี้ที่น่าฟังแต่จับทางลำบาก และอื่นๆอีกมากมายที่ต้องนับถือคนมิกซ์ที่จัดที่วางให้ดนตรีแต่ละชิ้นได้ทั่วถึง รวมทั้งอุตส่าห์มีโซโล่กีต้าร์สั้นๆในแนวนีโอคลาสสิคัล! The One That Kills The Least น่าสนใจที่มีการนำบางท่อนจาก XIX มาใส่ด้วย แต่เปลี่ยนเป็น “Come with me, come with me” เนื้อร้องน่าสนใจตรงชื่อเพลงนี่แหละ....พวกที่ฆ่าน้อยที่สุด..มันก็ยังฆ่าเราทั้งหมดอยู่ดี...?

ถ้าจะมีสักเพลงที่ถูกบรรจุเป็น anthem ใหม่ในการแสดงสดของ Slipknot จากอัลบั้มชุดนี้ มันต้องเป็น Custer อย่างแน่นอน คุณจะสามารถจินตนาการผู้ชมเรือนหมื่นก้มหัวมองพื้นแล้วกระโดดตามจังหวะของมันไปอย่างพร้อมเพรียงในท่อนคอรัส Cut – Cut – Cut me up and F_ck – F_ck – F_ck me up ได้ไม่ยากเย็น มันส์จริงๆขอรับแทร็คนี้ The Negative One ซิงเกิ้ลแรกที่ออกมาทักทายและมันก็ทำหน้าที่ได้ดี เป็นเสมือนตัวแทนของเพลงทั้งหมดจากอัลบั้ม แฟนๆก็ยังคงตีความกันไม่เลิกว่าใครหนอคือ the negative one? แต่ผมไม่เชื่อว่าพวกเขาหมายถึงโจอี้

ปิดท้ายด้วยเพลงช้าๆให้ดูดดื่มกับความหมาย If Rain Is What You Want  ซึ่งก็ต้องตีความกันอีกล่ะ ว่าอะไรคือสายฝนในเพลงนี้ ที่พวกเขาบอกว่า if rain is what you want / then take your seats / enjoy the fall……

และถ้าเมทัลหนักๆในแบบของพวกเขาเป็นสิ่งที่คุณต้องการ เชิญหาที่นั่งฟัง และมีความสุขกับความโหดเหี้ยมหฤหรรษ์ของ .5:The Gray Chapter กันได้เลยครับ

Tracklist:
1.         "XIX"     3:10
2.         "Sarcastrophe"             5:06
3.         "AOV"  5:32
4.         "The Devil in I"              5:42
5.         "Killpop"            3:45
6.         "Skeptic"           4:46
7.         "Lech"              4:50
8.         "Goodbye"        4:35
9.         "Nomadic"        4:18
10.       "The One That Kills the Least"             4:11
11.       "Custer"            4:14
12.       "Be Prepared for Hell"              1:57
13.       "The Negative One"      5:25

14.       "If Rain Is What You Want"       6:20