Sunday 22 February 2009

Elvis Presley | The Complete 50's Masters (2)


Disc: 2 1. Lawdy, Miss Clawdy 2. Shake, Rattle And Roll 3. I Want You, I Need You, I Love You 4. Hound Dog 5. Don't Be Cruel 6. Any Way You Want Me (That's How I Will Be) 7. We're Gonna Move 8. Love Me Tender 9. Poor Boy 10. Let Me 11. Playing For Keeps 12. Love Me 13. Paralyzed 14. How Do You Think I Feel 15. How's The World Treating You 16. When My Blue Moon Turns To Gold Again 17. Long Tall Sally 18. Old Shep 19. Too Much 20. Anyplace Is Paradise 21. Ready Teddy 22. First In Line 23. Rip It Up 24. I Believe 25. Tell Me Why 26. Got A Lot O' Livin' To Do! 27. All Shook Up 28. Mean Woman Blues 29. (There'll Be) Peace In The Valley (For Me)



แผ่นที่สองเป็นการก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของราชาร็อคแอนด์โรลด้วยซิงเกิ้ลเขย่าโลก Hound Dog/Don’t Be Cruel ที่ไม่มีนักฟังคนไหนไม่รู้จัก Hound Dog นั้นทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพลงจากยุคฟิฟตี้ส์ กีต้าร์ของสก็อตตี้แผดเสียงสนั่น ขณะที่ริธึ่มเซกชั่นจากบิล แบล็ค และ ดีเจ ฟอนตานา ก็หนักแน่นเหมือนรถไฟทั้งขบวน เสียงร้องประสานและเสียงปรบมือจาก The Jordanaires ก็เหมาะเจาะกับบทเพลงอย่างที่สุด เอลวิสร้องอย่างเอร็ดอร่อยในเพลงนี้เทคแล้วเทคเล่าและแต่ละเทคที่ผ่านไปความดิบและคมกริบก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ จนเขาถึงที่สุดแห่งความพอใจในเทคที่ 31 ว่ากันว่าทุกคนในห้องถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่ง ส่วน ‘Don’t Be Cruel’ นั้นเป็นอีกอารมณ์หนึ่งเลย เอลวิสโชว์ทักษะการร้องด้วยเสียงสูงคล้ายๆ falsetto แต่ไม่ใช่ ทั้งเพลง รวมทั้งการ”เปลี่ยนเกียร์”ของเพลงในวินาทีที่ 48 ด้วยเสียง hmmmmmmmm… ที่ไม่มีใครทำได้เสมอเหมือน Anyway You Want Me เป็นเพลงช้าๆที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนักที่เอลวิสร้องได้ถึงอารมณ์มากอีกเพลงหนึ่ง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาได้มีโอกาสร้องเพลงโซลแท้ๆในยุคนั้นจะเป็นอย่างไร ภาพยนตร์เริ่มเป็นเป้าหมายต่อไปของผู้พันปาร์คเกอร์ ผู้จัดการของเอลวิส และหนังเรื่องแรกของเขาก็คือ ‘Love Me Tender’ ที่ไม่มีใครไม่รู้จักบทเพลงชื่อเดียวกันนี้ ในการบันทึกเสียงของซาวนด์แทร็คนี้เอลวิสต้องไปเล่นดนตรีกับวงที่เขาไม่รู้จักมาก่อนด้วยกฏเกณฑ์บางอย่างทำให้เขาไม่อาจใช้วงดนตรีประจำตัวได้ รวมทั้งไม่มีสิทธิเสียงในการเลือกตัวเพลงนักด้วย ผลออกมาจึงไม่ค่อยประทับใจนัก แต่ก็เป็นโอกาสเดียวที่จะได้ฟังเอลวิสร้องเพลงแบบ hillbilly ในเพลง Let Me กลับมาสู่การทำอัลบั้มด้วยวงดนตรีประจำตัวในวันที่ 1-3 กันยายน 1956 เพลงที่น่าสนใจในเซสชั่นนี้คือ Love Me ทั้งๆที่ผู้แต่งคือ Leiber/Stoller ไม่ค่อยจะแยแสกับตัวเพลงนี้นัก เหมือนเขาจะแต่งให้เป็นเพลงล้อเลียนตลกๆเท่านั้น แต่เอลวิสไม่คิดเช่นนั้น เขามองมันอย่างจริงจัง และสร้างเวอร์ชั่นอมตะออกมาที่ภายหลังผู้ให้กำเนิดก็ต้องเปลี่ยนแปลงความคิด (ในโพลของนิตยสาร Mojo ครั้งหนึ่ง เคยยกให้ประโยคแรกของเพลงนี้เป็นช่วงเวลา”ที่สุด” แห่งการร้องเพลงของเอลวิส) ปกติเพลงในการบันทึกเสียงของเอลวิสที่ปรากฏในแผ่นมักจะไม่ใช่เทคเดียว แต่ใน Old Shep เพลงที่เขาเคยร้องประกวดได้ที่ห้าตอน 10 ขวบ มาสเตอร์คือเทค 1 เด็กอะไรเลือกเพลงเศร้าเป็นบ้าขนาดนี้มาร้อง! Elvis จบปี 1956 ลงด้วยความสำเร็จที่ไม่รู้จะพรรณนาอย่างไรดี เขาเริ่มต้นการบันทึกเสียงในปี 1957 ในวันที่ 12-13 มกราคม โดยมีเป้าหมายที่การทำ เพลงในแนว Gospel ที่เอลวิสหลงใหลมานาน สัก 1 อีพี และซิงเกิ้ลอีกสักเพลงสองเพลง และอีพีที่ว่าก็คือ Peace In The Valley อันประกอบไปด้วย (There’ll Be) Peace In The Valley (For Me), It Is No Secret (What God Can Do),I Believe, Take My Hand, Precious Lord เป็นเรื่องขัดกันอย่างรุนแรงสำหรับนักร้องร็อคแอนด์โรลผู้อื้อฉาวด้วยท่าสะบัดสะโพกที่ผู้ปกครองรับไม่ได้กับการขับร้องเพลงศาสนาที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธา และทำได้อย่างเลิศเลอทั้งสองอย่าง! (ถ้าคุณชอบเขาร้องเพลงสวด แนะนำชุด Amazing Grace) ส่วนซิงเกิ้ลทีเด็ดจากเซสชั่นนี้คือ ‘All Shook Up” ที่มาในสไตล์ ‘Don’t Be Cruel’ และเป็นไปได้ว่า The Beatles จะนำคำว่า ‘Yeah’ อันกระฉ่อนโลกมาจากเพลงนี้ อันเต็มไปด้วยเสียงบ่งบอกอารมณ์ที่ไม่มีในพจนานุกรมเหล่านี้เต็มไปหมด

No comments: