Friday, 20 February 2009

Taylor Swift+++ Fearless


Taylor Swift-Fearless (2008)****




จะให้พูดอย่างไรดีสำหรับ Taylor Swift นี่คือปรากฏการณ์ของดนตรี ผู้หญิงคนนี้ช่างสมบูรณ์แบบ เธอมีทุกสิ่งที่จะทำให้เธอเป็นสตาร์ สาวน้อยแนชวิลล์ผมบลอนด์กับกีต้าร์และน้ำเสียงน่ารักๆ....นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ ยัง....เธอยังแต่งเพลงเองเกือบทั้งหมดใน Fearless อัลบั้มที่สองของเธอนี้อีกด้วย และที่สำคัญที่สุด เพลงที่เธอแต่งนั้นมันยังเยี่ยมยอดทั้งสิ้น!

Fearless ใช้เวลาแค่สองเดือนสุดท้ายในปี 2008 ในการที่จะกลายเป็นอัลบั้มที่ขายถล่มทลายที่สุดในอเมริกา เป็นรองแค่ Tha Carter III ของ Lil Wayne และ Viva La Vida ของ Coldplay เท่านั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร มีอะไรที่จะทำให้คุณไม่รัก Taylor Swift ได้เล่า? จากคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดข้างบนนั้น

Fearless เป็นอัลบั้มคันทรี่-ป๊อบที่เน้นไปที่ความเป็นป๊อบมากกว่าคันทรี่ คุณจะไม่ได้ยินเสียงแบนโจหรือแมนโดลินมากนักแต่จะหนักไปทางไวโอลินมากกว่า แน่นอนว่ากีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีที่โดดเด่นที่สุด แต่อารมณ์ของบทเพลงก็ยังคงเป็นคันทรี่อยู่ดี Taylor เขียนเพลงจากประสบการณ์ของเธอเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าด้วยอายุแค่นี้เธอจะมีเรื่องราวให้เขียนได้มากมาย (เธอเกิดปี 1989 ตอนที่ท่านผู้อ่านอ่านอยู่นี้ก็เพิ่งย่างเข้าปีที่20เท่านั้น) แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องรักๆใคร่ๆกับหนุ่มๆในมุมมองและฉากหลังที่ต่างกันออกไปในแต่ละเพลง Hey Stephen คือลีลาการจีบหนุ่มแบบเว้ากันซื่อๆ Stephen คงต้องเป็นคนที่ใจแข็งมากทีเดียวถ้าจะปฏิเสธรักจาก Taylor โดยเฉพาะประโยคทอง Hey Stephen I could give you fifty reasons why I should be the one you choose/ All those other girls, well they’re beautiful/ but would they write a song for you เอากับเธอสิครับ Taylor หัวเราะเบาๆหลังจบประโยคนี้ Love Story ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม ความรักแบบโรมิโอกับจูเลียตที่ Taylor เขียนฉากจบแบบ happy ending ให้ เธอเล่าเบื้องหลังไว้ใน website ส่วนตัวว่า “นี่คือตอนจบที่สาวๆอยากให้เป็น รวมทั้งฉันด้วย คุณต้องการผู้ชายที่ไม่แคร์ว่าใครจะว่าอย่างไร แค่บอกว่า “Marry me, Juliet, I love you, and that’s all I really know.เท่านั้นแหละ” The Way I Loved You เรื่องของความรักกับหนุ่มที่แสนจะเพอร์เฟ็ค ช่างเอาใจ เป็นคนมีเหตุผล เข้ากับพ่อแม่ได้ดี แต่ใจของแม่สาวน้อยกับไพล่ไปคิดถึงอีกรักหนึ่งกับอีกหนุ่มที่แม้รักกับเขาจะไม่สมบูรณ์และเต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง แต่มันก็เป็นสีสันที่เธอลีมไม่ลง... I miss screaming and fighting and kissing in the rain….and that’s the way I loved you Fearless ความรักแบบหัวปักหัวปำของสาวน้อยที่ไม่เกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น Taylor เขียนเนื้อเพลงด้วยถ้อยคำง่ายๆสั้นๆแต่เห็นภาพ I don’t know why but with you I’d dance in a storm in my best dress, Fearless… เนื้อเพลงอย่างนี้จะไม่ให้โดนใจวัยรุ่นได้ยังไง ในยุคที่ใครๆก็ดาวน์โหลดเพลงกัน แต่อัลบั้มนี้ก็ยังขายดีเหมือนให้ฟรี

Fearless ไม่ได้มีแค่เพลงรักเท่านั้น Fifteen คือบทเรียนที่เธออยากย้อนเวลากลับไปแนะนำตัวเองยามยังเป็นเด็กน้อยด้อยประสบการณ์สมัยปี 1 ไฮสคูล (เพลงนี้เธอทำให้เพื่อนวัยเรียน Agibail ดังไปด้วย เพราะเธอเอ่ยชื่อจริงในเพลงนี้แถมเอารูปมาลงด้วย) และเธอแต่ง The Best Day ให้คุณแม่ เธอเล่าว่าแอบแต่งและบันทึกเสียงเพลงนี้โดยไม่ให้แม่รู้ และทำวิดีโอโดยใช้ภาพของครอบครัวมาประกอบ เปิดให้แม่ดูตอนคริสต์มาส คงยากเหลือเกินที่คุณแม่จะกลั้นน้ำตาอยู่ (และเธอก็ร้องไห้จริงๆ)

Taylor ไม่ใช่นักร้องเสียงดังอย่าง Carrie Underwood เธอเลือกที่จะกระซิบกระซาบและครวญเนื้อเพลงมากกว่าการตะโกนโชว์พลัง นั่นเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ Fearless เป็นอัลบั้มคันทรี่ป๊อบฟังสบายที่ยอดเยี่ยมที่สุดชุดหนึ่งในรอบหลายปี ถือเป็นพัฒนาการอีกขั้นจากอัลบั้มแรกของเธอในปี 2006 อนาคตของเธอสดใสอย่างที่ไม่ต้องให้โหรท่านใดทักทาย

Lee Ann Womack | Call Me Crazy


Lee Ann Womack: Call Me Crazy ***1/2
ออกปี-2008
โปรดิวเซอร์- Tony Brown
มาสเตอร์ โดย- Bob Ludwig




ฉบับที่แล้วผมเพิ่งเขียนถึงสาวน้อยคันทรี่ Taylor Swift ไปหมาดๆ ก็ว่าจะไม่เขียนถึงแนวนี้บ่อยนัก เพราะเกรงว่าแฟนแนวนี้อาจจะไม่มาก แต่อัลบั้มนี้ของ Lee Ann มันยอดเยี่ยมเหลือเกินจนอดไม่ได้ที่จะต้องให้อภิสิทธิ์ตัดหน้าชาวบ้านเข้ามาแนะนำกัน

Lee Ann ไม่ใช่สาวรุ่นอย่าง Taylor เธออยู่ในวงการมากว่าสิบปีแล้ว (ปัจจุบันอายุ 42 ปี) และนี่ก็เป็นอัลบั้มที่หกของเธอ เธอเข้ามาวงการมาพร้อมๆกับนักร้องคันทรี่สาวอีกคนหนึ่งคือ LeAnn Rimes (เขียนต่างกันเล็กน้อย) ที่กำลังดังมากๆในตอนนั้น จนทีมงานของ Womack อยากจะให้เธอเปลี่ยนชื่อเพราะกลัวว่าแฟนๆจะสับสน แต่ Womack ก็ยืนยันจะใช้ชื่อจริงที่พ่อแม่ตั้งให้มา นับว่าเธอมีความมั่นใจในตัวเองสูงจริงๆ ว่าความสามารถของเธอเป็นสิ่งสำคัญกว่าชื่อแซ่ใดๆ และถึงตอนนี้เธอก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่าเธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือใช้ชื่อปลอมใดๆเลย ผลงานของเธอคือใบเบิกทางและประกาศนียบัตรขั้นสูงสุด

Lee Ann Womack เป็นผู้หญิงที่ร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่มีมวลและเนื้อเสียงละเอียด
แทบทุกประโยคของเธอนั้นจะเจือความเศร้าหมองปนอยู่เสมอๆ และเธอก็ใช้มันได้เป็นประโยชน์อย่างสุดคุ้มจริงๆ แทบทุกเพลงใน Call Me Crazy มีแต่เรื่องราวของหัวใจที่แหลกสลาย การหย่าร้าง และอารมณ์เมามาย ซึ่งต้องบอกว่าน้ำเสียงของเธอรับใช้เนื้อหาของเพลงแบบนี้ได้อย่างวิเศษ (ก็ไม่ถึงกับเศร้ากันทั้งชุดหรอกนะครับ ยังพอมีเพลงให้ความหวังกันอยู่บ้าง) แต่ความเศร้าที่คุณจะพบในอัลบั้มนี้ผมคิดว่ามันเป็นแบบ bittersweet นะครับ คือไม่ใช่ความเศร้าที่ซีเรียสชวนปลิดชีพตัวเอง แต่เป็นความขมขื่นลึกๆที่เหมือนกำลังถูกเยียวยาด้วยเสียงดนตรีมากกว่าน่ะครับ

ใครที่ไม่ได้ใส่ใจในดนตรีลูกทุ่งอเมริกันนักอาจจะไม่ทราบว่า เรื่องโศกตรมเหล่านี้เป็นเนื้อหาหลัก ในเพลงคันทรี่ที่นิยมกันมากมาตั้งแต่สมัย Hank Williams แล้ว เรียกว่าถ้าจะโหวตนับเสียงกันจริงๆ ผมคิดว่าจำนวนเพลงคันทรี่เศร้าๆมีไม่น้อยกว่าเพลงสนุกสนานชมต้นไม้ใบหญ้าแน่ๆครับ

ถ้าคุณเป็นแฟนดนตรีแนวนี้อยู่แล้ว และชอบเพลงคันทรี่เศร้าๆแบบ Patsy Cline, Tammy Wynette ก็คงไม่ต้องคิดกันมาก คุณน่าจะชอบอัลบั้มนี้แน่นอน แต่ไม่ได้หมายความว่าดนตรีในอัลบั้มจะโบราณเท่าของแพ๊ตซี่และแทมมี่นะครับ สุ้มเสียงเป็นคันทรี่ป๊อบยุคใหม่ทีเดียว

อย่างที่บอกไว้ว่า เธอเป็นคนเนื้อเสียงละเอียด การร้องของเธอจึงไม่ใช่โหวกเหวกโชว์พลังปอด แต่เป็นในแนวเหมือนพูดคุยเล่าเรื่องราวให้กันฟังแบบเพื่อนคุยกัน การฟังเพลงคันทรี่นั้นถ้าเป็นไปได้อยากให้อ่านเนื้อเพลงไปด้วยนะครับ (เป็นสิ่งที่ผมพูดแทบทุกครั้งเวลาแนะนำเพลงแนวนี้) เนื้อเพลงรับรองแปลไม่ยาก และไม่มีการใช้การตีความซับซ้อน แต่เมื่อคุณทราบความหมายของมัน เพลงที่ว่าไพเราะอยู่แล้ว ก็จะยิ่งซาบซึ้งขึ้นไปอีก และเพลงธรรมดาๆก็อาจจะฟังดูดีขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ่งสมัยนี้เนื้อเพลงหากันง่ายแค่คลิก (ในกรณีที่ในซีดีไม่แจกเนื้อเพลงมาด้วยนะครับ)

อีกนิดหนึ่งสำหรับการร้องของเธอ Lee Ann มีความสามารถหนึ่งที่นักร้องระดับพระกาฬทุกคนต้องมี คือการดึงให้ผู้ฟังคล้อยตามไปกับเนื้อหาได้ หรือพูดด้วยภาษาแบบทุกวันนี้ก็คือ ให้เราอินไปกับสิ่งที่เธอร้อง หลายเพลงในอัลบั้มนี้ทำให้ผมรู้สึกเศร้าสร้อยไปกับเธออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับการฟังนักร้องคนไหนร้องมาเป็นเวลานานแล้ว คิดว่าถ้าเป็นคนฟังที่ใจอ่อนหน่อย หรือมีประสบการณ์คล้ายๆกับเนื้อเพลงคงได้น้ำตาไหลพรากกันไม่ยาก

เพลงแรก Last Call ที่ซ่อนชื่ออัลบั้มไว้ในเพลง เล่าถึงแฟนเก่าที่จะโทรหาเธอเพียงแค่ตอนเมามายและร้านเหล้าใกล้ปิดเท่านั้น ลองนึกถึงอารมณ์ของฝ่ายหญิงที่ต้องอดกลั้นไม่ยอมรับสายทั้งๆที่ใจก็อยากจะรับสิครับ นั่นคือสิ่งที่ Lee Ann บรรยายออกมาในเพลง เศร้าถึงใจจริงๆ Either Way เรื่องของคู่รักที่อยู่ด้วยกันแบบซังกะตาย เธอจะอยู่หรือไปฉันก็ไม่รักเธออยู่ดี คอรัสโดดเด่นมาก น่าตัดเป็นซิงเกิ้ล เนื้อเพลงท่อนหนึ่งเก๋มาก... I’ve passed the point of give a damn/and all my tears are cried. ฉันผ่านจุดที่จะแยแสอะไรไปหมดแล้ว และน้ำตาทั้งหมดที่มีก็ร้องออกไปสิ้นแล้ว เช่นกัน ใครคิดถึง Keith Urban หวานใจของ Nicole Kidman ฟังเสียงประสานของเขาให้หายคิดถึงได้ใน The Bees ที่ออกไปทาง gospel country rock (เป็นเพลงที่แหวกแนวไปจากเพลงอื่นและสร้างสรรค์ที่สุดในแผ่น) และ George Straits คันทรี่คนดังก็มาร้องคู่ด้วยใน Everything But Quits ซึ่งคงจะมีผลให้อัลบั้มขายดีขึ้นจากแฟนๆของ George แต่ผมว่ามันเป็นส่วนเกินๆของอัลบั้มอย่างไรไม่ทราบ แถมเนื้อหาก็ยังออกหวานๆไม่ค่อยไปกันกับเพลงโศกาอาดูรอื่นๆในอัลบั้มเลย

แม้ว่าโทนโดยรวมจะเศร้าสร้อย แต่ก็ยังมีเพลงในแง่บวกอยู่ไม่น้อยอย่าง The Story of My Life, I Found It In You, New Again ซึ่งเป็นไม่กี่เพลงที่เธอมีส่วนแต่งเพลงด้วย

นี่คืออัลบั้มคันทรี่ร่วมสมัยที่น่าฟังที่สุดแผ่นหนึ่งที่ออกเมื่อปีที่แล้ว แนะนำสำหรับคนชอบเสียงร้องหวานเศร้าๆในแบบลูกทุ่งอเมริกันครับ มันอาจจะไม่ใช่งานที่ดังมากนักของเธอเมื่อเทียบกับผลงานเก่าๆ แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความดีงามของบทเพลงในอัลบั้มเลย จริงไหมครับ

Girls Aloud-- Out Of Control


Girls Aloud-Out Of Control ****




Girls Aloud เป็นวง “สาวสร้าง”ของแท้ ที่ถือกำเนิดขึ้นหน้าจอทีวีต่อหน้าผู้ชมนับล้านในรายการทีวี Popstars: The Rivals ในเดือนพ.ย.ปี 2002 และสาวห้าคนที่ถูกคัดมาเรียงตามลำดับในแต่ละสัปดาห์ มีนามว่า Cheryl Tweedy, (เปลี่ยนเป็น Cole แล้ว) Nicola Roberts, Nadine Coyle, Kimberley Walsh และ Sarah Harding


ภาระแรกของห้าสาวคือการประชันกับอีกวงที่เป็น Boy Band ซึ่งคัดมาจากงานเดียวกัน ชื่อวง One True Voice ว่าซิงเกิ้ลของใครจะขึ้นอันดับหนึ่งในช่วงคริสต์มาสได้ (ไม่มีคู่แข่งอื่นเลยหรือก็ไม่ทราบ?) ผลก็คือ Sound Of The Underground ของสาวๆ Girls Aloud เป็นผู้คว้าชัยในการประชัน โดยครองอันดับ 1 ได้ถึง 4 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของสาวๆกับทีม production ที่มีชื่อว่า Xenomania หนุ่มๆ One True Voice ออกซิงเกิ้ลได้อีกแผ่นสองแผ่นก็พับฉากเก็บไปเรียบร้อยในปี 2003


แต่ใครจะเชื่อว่า Girls Aloud จะยืนยงคงกระพันมาได้ถึงปี 2008 มิหนำซ้ำชื่อเสียงของเธอยังโด่งดังไม่มีตก และ Xenomania ก็ยังคงอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสาวๆมาตลอดนับจากนั้นมา ซิงเกิ้ลดังแทบทุกแผ่นของ Girls Aloud เป็นผลงานการโปรดิวซ์ของทีมงาน Xenomania ทั้งสิ้น พวกเธอมีเพลงติดท็อปเท็นในอังกฤษ 19 เพลง 4 เพลงไปได้ถึงอันดับ 1 ลักษณะการทำงานของทีมโปรดักชั่นและศิลปินคุ่นี้ทำให้คิดถึง The Supremes ในยุค Motown Classics หรือทีมแต่งเพลงของ Stock, Aitken & Waterman ในยุค 80’s กับศิลปินอย่าง Kylie หรือ Rick Astley


ทีม Xenomania ประกอบไปด้วย Brian Higgins, Nick Coler, Giselle Sommerville, Miranda Cooper ( Moonbaby, ), Lisa Cowling, Tim Powell, และ Matt Gray. นอกจากศิลปินตัวหลักอย่าง GA แล้วพวกเขายังทำเพลงให้ Sugababes, Texas,Kylie, Franz Ferdinand, Annie, Gabriella Cilmi และที่โด่งดังที่สุดคือเพลง Believe ของ Cher

ถึงแม้ Xenomania จะทำเพลงได้สุด catchy แค่ไหน แต่ก็ต้องให้เครดิตกับสาวๆ Girls Aloud ด้วย แม้พวกเธอจะไม่ใช่สุดยอดนักร้องไร้เทียมทาน หรือมีเสน่ห์โดดเด่นเฉพาะตัวแบบ Spice Girls แต่ Girls Aloud มีความพอดีในหลายๆมิติ พวกเธอร้องเพลงได้ดีทุกคนและมีน้ำเสียงแตกต่างกันพอแยกออก character ที่วางไว้ก็ออกไปทางสวยมีคลาส เซ็กซี่พองามแต่ไม่โป๊น่าเกลียด เพลงที่ทีมงานทำให้ก็ช่างลงตัวกับภาพลักษณ์และวัยวุฒิของสาวๆยิ่ง เพลงของ Girls Aloud เป็น electric pop dance ที่มักจะ upbeat ชวนเต้น และรุ่มรวยเมโลดี้ติดหูหนึบหนับ

Out Of Control เป็นอัลบั้ม studio ลำดับที่ห้าของ GA อย่าหวังว่าพวกเธอจะเปลี่ยนแนวทางแต่อย่างใด ทั้ง 12 เพลงยังคงเป็น pop dance สุด catchy ที่มีโปรดักชั่นเข้มข้นจาก Xenomania เช่นเคย The Promise ซิงเกิ้ลเปิดตัวในสไตล์ Phil Spector ข้ามเวลามาโปรดิวซ์ ซินเธอะไซเซอร์รับบทพาร์ทที่ควรจะเป็นเครื่องเป่า สาวๆทั้งห้าแบ่งกันร้องคนละท่อนสองท่อน ความ pop ของมันทำให้ทำใจลำบากว่าท่อนเวิร์สหรือคอรัสที่ไพเราะกว่ากัน Loving Kind ป๋า Neil Tennant และ Chris Lowe แห่ง Pet Shop Boys บรรจงแต่งให้ร่วมกับทีม Xenomania แน่นอนย่อมมีกลิ่นของ PSB และชวนให้คิดถึง Call The Shots ซิงเกิ้ลสุดฮ็อทจากอัลบั้มที่แล้ว Tangled Up (ที่ผมยกให้เป็น pop single แห่งปี 2007) music video ของเพลงนี้ก็ทำได้เฉียบ โดยเฉพาะการตีความเนื้อร้องที่ว่า I buy you flowers I pour you wine แต่ใน clip พวกเธอสาดไวน์กันซะ.... สาวๆคงหวังจะน็อคแฟนๆในยกแรกเพราะเพลงที่สาม Rolling Back The Rivers In Time ก็เป็น Girls Aloud Classic พร้อมใบรับประกัน ที่น่าจะจ่อคิวซิงเกิ้ลต่อจากสองแทร็คแรก Johnny Marr อดีต The Smiths แอบมาเล่นกีต้าร์ให้

Brian Higgins หัวหน้าทีม Xenomania เคยคุยไว้ว่า หลักการของทีมงานเขาคืออะไรก็ได้ที่น่าสนใจในวงการดนตรีเขาจะเอามาใส่ในเพลงได้หมด แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้บุรุษไปรษณีย์ผิวปากตามไปด้วยนะ ใน Out Of Control จึงไม่ได้มีแต่ pop สูตรสำเร็จซ้ำซาก Untouchable คือ dance epic ที่ยาวเหยียดถึงหกนาทีกว่า แต่เต็มไปด้วยสีสันตลอดเพลงจนไม่รู้สึกถึงความยาวเกินปกติเพลงป๊อบ Fix Me Up ฟังกี้และเซ็กซี่ที่สุดในอัลบั้ม Live In The Country ในแนว Drum ‘n’ Bass ที่นึกว่าสูญพันธุ์ไปแล้วแถมมีเซอร์ไพรซ์ด้วย sound effect ราวกับเป็น Pink Floyd ถึงยังไงแนวที่ GA ทำได้มันส์ที่สุดก็คือเพลง dance กระฉึกกระฉักเร็วจี๋อย่าง Miss You Bow Wow ปิดอัลบั้มด้วย We Wanna Party ที่มีชื่ออัลบั้ม “Out Of Control” ซ่อนอยู่

Out Of Control ไม่ได้อยู่เหนือการควบคุมเหมือนกับชื่ออัลบั้ม มันยังคงเป็น Girls Aloud ที่ catchy, dancy เหมือนเดิม แม้ลึกๆในเนื้อหาและเสียงร้องอาจจะอ่อนหวานและเศร้าสร้อยขึ้นตามวัย หลายคนอาจมองข้ามพวกเธอไปเพราะมองว่าเป็นแค่วงที่อุปโลกขึ้นมาหรือเป็นแค่เด็กสร้างของวงการ แต่ดนตรีก็คือดนตรี ไม่ว่าเบื้องหลังจะเป็นอย่างไรปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งใน best party album ในรอบปีครับ

Lily Allen is back!


Lily Allen It’s Not Me, It’s You ดนตรีย้อนยุค แต่เธอคือตัวตนแห่งยุคสมัย





"ตัวแม่" แห่ง myspace generation กลับมาแล้วหลังจากอัลบั้มแรกเมื่อปี 2007 Alright, Still สร้างชื่อเสียงให้เธอสุดๆจนทำให้มีศิลปินทำนองเดียวกับเธอดำเนินรอยตามกันมากมาย แต่ไม่มีใครที่จะแสบสันต์และน่ารัก+ขำขันได้เหมือนกับต้นตำรับ Kate Nash นั้นอาจจะทำดนตรีได้เยี่ยมมีมิติลึกซึ้งกว่าเธอ แต่เธอก็ดูจะหลุดโลกและห่างไกลแฟนเพลงไปหน่อย ขณะที่กับลิลลี่นั้นเด็กๆจะรู้สึกผูกพันและลุ้นไปกับชีวิตของเธอเหมือนดู reality Show เธอมีหน้าตาที่ไม่ถึงกับสวย แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร บางทีเธอก็ปล่อยตัวให้อ้วนจัด แต่ไม่กี่วันต่อมาเธอผอมเพรียวมาเชียว ทั้งหมดนี้เหมือนเป็นการออกแบบชีวิตให้เธอมาเป็นขวัญใจวัยรุ่นโดยแท้


ประวัติของเธอนั้นออกจะโชกโชน ทวนให้ฟังอีกครั้งว่าเคยย้ายโรงเรียน 13 ครั้ง และมีอาขีพเป็นเภสัชกรที่เกาะ Ibiza ตอนอายุ 15 คงไม่ต้องบอกว่าเธอขายยาอะไรนะครับ การที่เธอไม่ค่อยได้เรียนหนังสือเป็นเรื่องเป็นราวและย้ายโรงเรียนบ่อย ทำให้ลีลลี่ขาดเพื่อน ต้องหันเข้าหาดนตรีเป็นที่พึ่ง และวงโปรดของเธอคือ The Special, T.Rex, และ Happy Mondays คงจะพอบอกได้ว่าแนวดนตรีสกาป๊อบของเธอมาจากไหนกัน


เสน่ห์ของลิลลี่คือการเขียนเนื้อเพลงที่เถรตรง กล้าพูดในเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครกล้าเอ่ยถึงในเพลงปีอบ แต่เธอมีลีลาที่ทำให้มันออกมาดูไม่หยาบคายหรืออนาจารแต่ออกไปทางฮาๆน่ารักมากกว่า ในอัลบั้มชุดที่สองนี้เธอคงไม่อยากย่ำเท้าอยู่กับที่ เนื้อหาจึงเริ่มเขยิบไปในเรื่องอื่นๆที่เป็นระดับสูงและวงกว้างขึ้น เช่น วัฒนธรรมการใช้ยาเป็นว่าเล่น บ่วงของความเป็นป๊อบสตาร์ เพลงรักพ่อที่ไม่วายจิกนิดๆ เพลงด่าจอร์จบุช(ช้าไปหน่อยนะ) และยังแถมเขียนเพลงถึงพระเจ้าอีกเพลง ต้องยอมรับว่าเธอกล้าและเก่งทีเดียวที่จะไม่เพลย์เซฟกับเพลงรักวัยรุ่นแบบเดิม แม้ว่ามันจะดูไม่ใช่ทางเธอเท่าไหร่ แต่ลีลลี่ก็ทำได้ไม่เลว


อย่างไรก็ตาม แนวทางแสบๆของเธอก็ยังเป็นอะไรที่อีหนูทำได้ดีที่สุด Not Fair ดนตรีออกคันทรี่กวนๆ เนื้อเพลงยกย่องชายคนรักทุกอย่าง เสียอย่างเดียวที่เรื่องบนเตียงเขาไม่ได้เรื่อง Who'd Have Known เพลงรักในรูปแบบคล้าย Littlest Things ในงานชุดแรก บทเธอจะซึ้งขึ้นมา ลีลลี่เขียนเนื้อได้ราวกับแต่งเรื่องสั้นดีๆสักเรื่องให้เราอินไปกับเธอด้วย และ Never Gonna Happen เป็นเพลงสลัดรักที่ออกจะสุภาพแต่ร้ายลึก Back To The Start เป็นเพลงที่ 80's จ๋าๆสุดๆ เนื้อหาเป็นในแนวนางตัวร้ายสารภาพรัก


ไม่อยากบอกเลยว่าเพลงที่สร้างสรรค์และตลกสุดๆคือ F-ck You ที่น่าจะด่าจอร์จ บุชเป็นหลัก ต้องไปฟังเองครับถึงจะทราบว่ามันขำตรงไหน เพลงนี้ไม่รุนแรงเหมือนชื่อเพลงหรอกครับ นี่เป็นคำใบ้


งานนี้โปรดิวซ์โดย Greg Kurstin แห่ง The Bird And The Bee ผู้เคยทำงานกับเธอมาแล้วในอัลบั้มแรก เป็นความประสงค์ของเธอเองที่อยากให้อัลบั้มนี้มีโปรดิวเซอร์คนเดียวไม่ใช่จับฉ่ายเหมือนงานก่อน ถ้าจะเอาความต่อเนื่องและเป็นหนึ่งเดียวล่ะก็ได้เลย แต่มันก็สู้ความหลากหลายและสดใสเหมือนงานแรกไม่ได้ นี่มักจะเป็นปัญหาของการออกแผ่นที่สองของศิลปินที่ดังมากๆจากชุดแรก


ถ้าจะจินตนาการว่างานนี้ออกมาเมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อนที่ไม่มีความใกล้ชิดอะไรกันมากระหว่างศิลปินกับคนฟัง- มันจะประสบความสำเร็จไหม ผมก็คิดว่ามันคงดังอยู่ดี เพราะเพลงส่งเหลือเกิน เด็กคนนี้เขียนและทำเพลงได้ติดหูสุดๆ แทบทุกเพลงของเธอเราร้องตามได้ก่อนจะฟังจบรอบแรกเสียอีก ชุดใหม่นี้แนวสกาลดลง แต่ออกไปทางอีเล็กโทรป๊อบแบบ 80's บางเพลงก็ไปในแนว jazz เก่าๆ และมีคันทรี่บางๆอีก 1 เพลง แต่ไม่ต้องห่วง เด็กๆที่รักเพลงป๊อบร่วมสมัยรับได้สบายๆทุกคน แต่จะว่าไปอิทธิพลของพี่เกร็กโปรดิวเซอร์ก็ไม่น้อยเลย ลองไปฟังอัลบั้มใหม่ของ The Bird And The Bee สิครับ ซาวนด์แกชัดมาก


ในเว็บของเธอจะมีการปล่อยเทปมัลติแทร็คแยกชิ้นดนตรีให้แฟนๆโหลดไปทำรีมิกซ์กันเองแล้วส่งกลับมาประกวด เป็นไอเดียที่เก๋มาก http://www.lilyallenmusic.com/lily/remix เป็นที่ทราบกันว่ามัลติแทร็คเหล่านี้สมัยก่อนศิลปินเขาหวงกันจะตาย แต่นั่นมันความคิดเดิมๆแล้วครับ อะไรที่กระตุ้นยอดขายและความสนใจได้ ต้องทำหมดล่ะครับยุคนี้ อ้อ คนที่จะโหลดมัลติแทร็คได้ต้องได้"โค้ดลับ"จากแผ่นซีดีอัลบั้มก่อนนะครับ

แถมเมื่อสองวันก่อนเธอเขียนบล็อกอ้อนแฟนๆยังกะนักร้องลูกทุ่งให้ซื้อแผ่นเธอเยอะๆ เพราะเธออยากติดอันดับ 1 เหลือเกิน.... อ่านดูไม่น่าเชื่อว่านี่คือคนเดียวกับที่เคยเปิดหน้าอกโชว์หัวนมที่สามทางรายการโทรทัศน์! (มีคลิปใน youtube แต่ไม่อยากเอามาแปะ)


ดนตรีในชุดนี้ย้อนยุค แต่นี่คือเสียงจากไอคอนแห่งเจเนอเรชั่นนี้ครับ


Everyone's At It 4:19*** The Fear 3:27 ***Not Fair 3:21 ****22 3:05 ***I Could Say 4:03 ***Back To The Start 4:11 ****Never Gonna Happen 3:26 ****F-ck You 3:35 *****Who'd Have Known 3:48 ****Chinese 3:27 ***Him 3:15 ***He Wasn't There 2:52 ***

Thursday, 19 February 2009

วิทยาศาสตร์ยอดรัก


TV ON THE RADIO; DEAR SCIENCE, (****1/2)




ใครที่ชอบดูโพลล์สุดยอดอัลบั้มช่วงท้ายปีคงจะสังเกตเห็นว่าอัลบั้ม Dear Science, (ของแท้ต้องมีคอมม่าต่อท้าย) ของวง Post-punk, electronic จาก New York วงนี้ -TV On The Radio น่าจะมีคะแนนรวมสูงสุด เพราะมันติด Top Ten แทบจะทุกสำนัก แม้แต่สำนักที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่อย่าง pitchfork และ Rolling Stone ก็ยังมีความเห็นตรงกันถึงความเยี่ยมของมัน

บางคนพยายามจะเรียกพวกเขาว่า American Radiohead ลองดูชื่ออัลบั้มนี้สิครับ ชวนให้คิดถึงงานคลาสสิก OK Computer หรือไม่ความจริง TV On The Radio ก็เคยตั้งชื่องานอัลบั้มแรกที่ออกกันเองว่า Ok Calculator มาแล้วตั้งแต่หลายปีก่อน คงจะพอบอกได้ว่าพวกเขาตั้งใจจะวัดรอยเท้ากับพลพรรคของ Thom Yorke จริงๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดนตรีของสองวงนี้จะเหมือนกันเป๊ะๆหรอกนะครับ แนวทางแตกต่างกันพอสมควร สิ่งที่อาจจะชวนให้คิดถึง Radiohead อยู่บ้างก็คือการใช้ programming/ drums loops อย่างเต็มพิกัด เพลงแรกใน Dear Sciene, Half Way Home ก็ชวนให้คิดถึง 15 Step เพลงเปิดอัลบั้ม In Rainbows (2007) ของ Radiohead อยู่เหมือนกัน

TV On The Radio ตั้งวงตั้งแต่ปี 2001 มีสมาชิกหลักคือ Tunde Adebimpe (vocals/loops), David Andrew Sitek (guitars/keyboards/loops) และ Kyp Malone (guitars/vocals/loops) ร่วมดัวยมือกลองนาม Jaleel Bunton และ Gerald Smith (bass/keyboards) แนวทางดนตรีของ TV On The Radio นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนผสมของ post-punk, dance, soul, doo-wop, R and B, electronica, free-jazz, a cappella…. แต่เชื่อสิครับ ว่าพวกเขาเขย่าส่วนผสมเหล่านี้ออกมาได้กลมกล่อมน่าฟังอย่างไม่น่าเป็นไปได้จริงๆ

Dear Science, เป็นอัลบั้มเต็ม (LP) แผ่นที่สามของพวกเขา ต่อจาก Return To Cookie Mountain (2006) และ Desperate Youth, Blood Thirsty Babes (2003) ที่ผ่านมางานของพวกเขาได้รับคำชมเชยจากนักวิจารณ์ในแง่บวกมาตลอด แต่สถานะภาพของวงก็ยังคงเป็นวง indie ที่ดังเงียบๆอยู่ดี น่าสนใจว่า Dear Science, น่าจะทำให้ TVOR ก้าวเข้าสู่การเป็นที่ยอมรับในวงกว้างขึ้นแค่ไหนกับความยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบระดับนี้

11 เพลงในอัลบั้มเต็มไปด้วยรายละเอียดหนาแน่นทางดนตรีที่เน้นคีย์บอร์ดและการโปรแกรมมิ่งเป็นหลัก แต่อย่านึกถึงการใช้เครื่องสังเคราะห์เหล่านี้แบบไร้ชีวิต พวกเขาเล่นกับมันได้อย่างมีรสนิยมจนไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเสียงทิ่เกิดจากการเลียนแบบธรรมชาติ ทุกเพลงโดดเด่นด้วยเสียงร้องของสองหนุ่ม Tunde และ Kyp ที่ผลัดและร่วมกันจับไมค์ขับร้องอย่ายอดเยี่ยมในทุกลีลา แม้เนื้อหาที่ทางวงนำเสนอจะหนักอึ้งและซ่อนความหมายมากมาย (จนหลายเพลงยากจะเข้าใจว่าต้องการจะสื่อถึงอะไร ) แต่โทนอารมณ์ใน Dear Sciene, กลับไม่ได้หดหู่หรือชวนแขวนคอตาย มันเต็มไปด้วยเพลง upbeat ดีดดิ้น คึกคัก และเมโลดี้จับใจ ทุกเพลงมีความเยี่ยมยอดในตัวเองราวกับจะเป็นงานรวมเพลงเอกมากกว่าอัลบั้มปกติ

เปิดอัลบั้มด้วย Half Way Home ที่ยาวถึงกว่าห้านาที ค่อยๆสร้างอารมณ์ด้วยเสียงกลองโปรแกรมมิ่งและเสียงปรบมือรัวระริกฉาบด้วยซินเธอะไซเซอร์ที่โอบอุ้มอยู่เบื้องหลัง อารมณ์ของเพลงไม่ต่างอะไรจากการฟังเพลง Progressive Rock จากยุค 70’s ในจังหวะและอารมณ์ของดนตรี electronica อย่าง The Prodigy ยุคแรกๆ วิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเสียงกีต้าร์ที่สรุปเรื่องราวทั้งหมด Cryin’ เสียงร้องของ Malone คร่ำครวญถึงความเฮงซวยน่าสลดในโลกใบนี้

หลายปีหลังจาก What’s Goin’ On เราก็ยังต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นไปอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ Cryin’ ยังมีทางสว่างให้เล็กน้อยที่ปลายอุโมงค์ (time to take the wheel and the road from the masters/ take this car, drive it straight into the wall/ build it back up from the floor) มันคือโซลชั้นดีที่ Marvin Gaye แทบจะอยากขึ้นจากหลุมมาขับร้องเอง โดยส่วนตัวผมชอบแทร็คนี้ที่สุดครับ Red Dress ฟังกี้สุดเหวี่ยง กีต้าร์ลิกสั้นๆเริงร่าไปกับคีย์บอร์ดเลียนเสียงเครื่องเป่าตัดฉับกับเนื้อหาอย่างเครียด (..but I’m scared to death that I’m livin’ a life not worth dyin’ for) Family Tree ลดเกียร์ลงเป็นบัลลาดที่เกือบจะเป็น Coldplay เสียงเครื่องสายประคองไปกับเปียโนไฟฟ้าที่อัดเอ็กโค่หนักหน่วง ทำนองงดงามครับ Golden Age Tunde ร้องเสียงหลบและรัวเนื้อร้องในแบบที่ชวนให้นึกถึง Wanna Be Startin’ Something เพลงหนึ่งในอัลบั้ม Thirller ของ Michael Jackson ‘golden age’ อย่างไรก็ตามที่เขาพูดถึงดูเหมือนจะเป็นความหายนะของมนุษยชาติมากกว่าที่จะเป็นยุคพระศรีอาริย์
Dear Science, ปิดปาร์ตี้ด้วย Lover’s Day ที่เหมือนเพลงมาร์ชเดินเข้าสู่การประกาศชัยชนะ(อะไรบางอย่าง?) เพลงนี้ได้เสียงร้องสวยๆของ Katrina Ford (จาก Celebration)มาร่วมประสาน

ไม่น่าแปลกใจที่นี่จะเป็นอัลบั้มขวัญใจนักวิจารณ์ทั่วโลก Dear Sciene, มีทุกอย่างที่พร้อมจะเป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี คุณจะชอบมันถ้าคุณเป็นแฟนดนตรี black music อย่าง Prince แต่ก็มีหูเปิดรับดนตรีอีเล็กโทรนิคสมัยใหม่และความซับซ้อนทั้งทางด้านเนื้อหาและดนตรีในแบบ Progressive Rock เป็นงานที่พิสูจน์ว่าพวกเขาดีเกินไปกว่าที่จะหวังแค่ให้เป็น Radiohead ฉบับอเมริกัน