Sunday 22 February 2009

Keane-Perfect Symmetry


KEANE Perfect Symmetry ***

“Everybody’s changing and I don’t feel the same” Tom Chaplin นักร้องนำวง Keane ร้องไว้ในเพลงดังเพลงหนึ่งของพวกเขาจากอัลบั้ม Hopes And Fears (2004) งานเปิดตัวที่ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในวง Britpop ที่น่าจับตามองที่สุดวงหนึ่งหลัง Coldplay 4 ปีต่อมา CHANGE ก็เป็นความจำเป็นสำหรับวงทริโอจาก East Sussex วงนี้ พอๆกับคนอเมริกันต้องการความเปลี่ยนแปลงจากประธานาธิบดีคนใหม่ Barack Obama

Keane สร้างชื่อขึ้นมาจากการเป็นวงป๊อบร็อคที่ไร้เสียงกีต้าร์ มีสมาชิกแค่สามคน นอกจาก Tom นักร้องเสียงสวรรค์แล้วก็มี Tim Rice-Oxley เล่นคีย์บอร์ดและเบส และ Richard Hughes กลอง พวกเขาเคยมีมือกีต้าร์ประจำวงมาก่อนชื่อ Dominic Scott แต่เขาลาออกจากวงไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จ การหายไปของเสียงกีต้าร์ไม่ได้สร้างปัญหาให้วง แต่กลับกลายเป็นการสร้างเอกลักษณ์และสุ้มเสียงที่แตกต่างจากวง Britpop ทั่วไปที่ร้อยทั้งร้อยมักจะมีเสียงกีต้าร์นำหน้ามาก่อน Tim และ Tom รู้จักกันมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ...แม่ของทั้งสองเป็นเพื่อนกัน Tim แต่งเนื้อร้องและดนตรีส่วนใหญ่ แต่เสียงของ Tom ก็เป็นส่วนสำคัญไม่น้อยกว่ากัน (พวกเขายังเคยหยอกเย้ากันเองว่า เสียงร้องของ Tom นั้น “เทพ” ขนาด เปลี่ยน shit ให้เป็น hit ได้เสมอ) Tom Chaplin คือเสียงของโบโน ....ที่เคลือบช็อคโกแล็ตไว้บางๆ

Hopes And Fears กลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน มันเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับสองของอังกฤษในปีนั้น และยอดขายทั่วโลกเกือบหกล้านแผ่น ด้าน “กล่อง” พวกเขาก็ได้รางวัล Best British Album ในปี 2005 จากงาน Brit Awards ทุกอย่างดูสดใสสำหรับหนุ่มหน้าใสทั้งสามคน แต่แล้ว Tom ก็เจอภาวะร็อคสตาร์ใจแตกเข้าให้เต็มเปา เขาหลุดเข้าไปในบ่วงของแอลกอฮอล์และยาเสพติดอย่างแทบถอนตัวไม่ขึ้น ในระหว่างการทัวร์เพื่อสนับสนุนอัลบั้มที่สอง Under The Iron Sea (2006) Tom ออกมาประกาศยอมรับว่าเขาต้องเข้ารับการบำบัดเสียแล้วและต้องระงับการทัวร์ไปในหลายประเทศ ข่าวดีคือ Tom ไม่เหมือนกับขี้ยาซุปเปอร์สตาร์ Pete Doherty และ Amy Winehouse เขาเอาชนะใจตัวเองได้เด็ดขาด ปัจจุบันเขาคือ Chaplin คนใหม่ที่สดใสไร้ยา วิ่งวันละ 5 ไมล์ทุกวัน

มีร่องรอยว่า Keane เริ่มแสวงหาความเปลี่ยนแปลงมาแล้วตั้งแต่อัลบั้มที่สอง โดยเฉพาะในซิงเกิ้ล Is It Any Wonder? ที่ฟังแล้วคิดถึง U2 ในยุค Achtung Baby ด้วยเสียงซินเธอะไซเซอร์ที่ดังสนั่นและบิดเบี้ยวจนผิดธรรมชาติ แต่ภาพรวมของอัลบั้มก็ยังไม่ฉีกไปจาก Hopes… นัก เพลงที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองไพเราะและฮึกเหิมในแบบ anthem เปียโนและคีย์บอร์ดยังเป็นตัวกำหนดทิศทางของดนตรี

สื่อหลายสำนักเรียก Keane ว่าเป็น New Coldplay จะถือเป็นคำยกย่องก็ได้ (บางคนอาจจะไม่ทราบว่าอดีตก่อน Tim จะตั้งวง Keane นาย Chris Martin แห่ง Coldplay เคยออกปากชักชวน Tim มาเล่นคีย์บอร์ดให้ Coldplay มาแล้ว แต่ Tim ปฏิเสธไป) วินาทีนี้ถ้า Keane คิดจะวัดรอยเท้ากับ Coldplay การที่จะผูกมัดตัวเองกับการใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นคงจะเป็นอุปสรรคในการขยายจินตนาการทางดนตรีไปเสียเปล่า ผมเห็นด้วยกับการที่ Keane หันหลังให้กับการประสมวงในแบบเดิมๆและเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัวใน Perfect Symmetry

Viva La Vida ของ Coldplay ออกมาได้หลายเดือนแล้ว แม้จะไม่ถึงกับหยุดโลก แต่ก็ทำให้ทุกวงที่คิดจะเทียบชั้นต้องปาดเหงื่อ มันมีสุ้มเสียงที่หลากหลายแตกต่าง สร้างสรรค์แต่ไม่ยากที่จะเข้าถึง และยังไม่ทิ้งความเป็น Coldplay ไป จะว่าไปทาง Keane ก็ไม่เคยบอกว่าจะแข่งกับ Coldplay แต่ถ้าจะลองเปรียบเทียบกันแล้วก็น่าสนุก ขณะที่ Coldplay ฝากความหวังไว้เต็มที่กับปรมาจารย์โปรดิวเซอร์ Brian Eno Keane กลับโปรดิวซ์อัลบั้มกันเองเกือบทั้งหมด

อาวุธหลักของพวกเขาใน Perfect Symmetry คือการนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปในยุค 80’s กับดนตรีซินธ์ป๊อบในแบบ A-Ha, Pet Shop Boys และร็อคหนักแน่นในแบบ Simple Minds บวกกับ White Soul Sound ของ David Bowie โดยมี Jon Brion (Fiona Apple, Rufus Wainwright) และ Stuart Price (Madonna) มาช่วยและร่วมโปรดิวซ์ในบางเพลง

นอกจาก Keane ยังอนุญาตให้เสียงกีต้าร์เข้ามาเพ่นพ่านในอัลบั้มได้เต็มตัวเป็นครั้งแรกแล้ว ก็ยังมีแนวร่วมเครี่องดนตรีชิ้นอื่นๆตามมาอีกหลายอย่าง เช่น violin, cello และ musical saw ในเพลงปิดอัลบั้ม Love Is The End, แซกโซโฟนใน Pretend That You’re Alone เสียงกีต้าร์ในอัลบั้มส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือของ Tim และ Tom เอง

เหมือนเป็นการประกาศให้แฟนๆเตรียมพร้อม พวกเขาชิมลางด้วยการเปล่อยซิงเกิ้ล Spiralling ออกมาให้โหลดกันฟรีๆก่อนพักใหญ่ มันเป็นเพลงที่แตกต่างจาก Keane ในแบบเดิมๆเหมือน...สีเหลืองกับสีแดง จังหวะกระตุกกระชาก เสียงร้องเข้มข้น และดำเนินเรื่องด้วยเสียงซินเธอะไซเซอร์ฉูดฉาด เสียงประสานวู้..วู้...นั่นช่างฟังดูพิลึกพิลั่น และเหมือนกลัวประหลาดน้อยไป Tom ยังทำท่าจะ rap ในช่วงท้ายเพลงเสียอีก มันเป็นการเปิดตัวที่ทำให้แฟน Keane กลุ่มหนึ่งถึงกับวงแตกวิ่งกระเจิงพร้อมตะโกนทั้งน้ำตาว่าคงไม่มีโอกาสได้ฟัง Keane ในแบบเดิมๆอีกแล้ว

แต่เดี๋ยวก่อน...ฝรั่งเขาใช้คำว่า ‘grow on you’ สำหรับเพลงแบบนี้ เมื่อคุณให้เวลากับมัน Spiralling เป็นหนึ่งในเพลงที่ “งามพิศ” แล้วในที่สุดคุณจะอดไม่ได้ที่จะ วู้...วู้...ตามไปกับพวกเขาด้วย เพลงนี้ได้รางวัลเพลงแห่งปีจาก “Q” นิตยสารดนตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอังกฤษ (ขณะที่ Coldplay คว้ารางวัลอัลบั้ม และ best act in the world ไป)

10 เพลงที่เหลือในอัลบั้มกลับมีความเป็น Keane ในแบบเดิมๆมากกว่า Spiralling ซิงเกิ้ลที่สอง The Lovers Are Losing คือ Keane ในแบบที่แฟนๆรอคอย (จากการโหวตของแฟนๆใน keanethailand.com เพลงนี้ก็นำโลด) เวลาจะทำเพลงแบบนี้ pop sense ของพวกเขาหาใครกินยากจริงๆ Better Than This มีเสียงคีย์บอร์ดในแบบ Ashes To Ashes (เพลงดังในยุคต้น 80’s ของ David Bowie) ที่เหมือนเสียจนไม่แน่ใจว่าเป็นการ sampling หรือเปล่า Tom ร้องเสียงหลบ (falsetto) อย่างสนุกคลอไปด้วยเสียงปรบมือครื้นเครง

ริฟฟ์กีต้าร์เริ่มทำงานใน You Haven’t Told Me Anything ที่โปรดิวซ์โดย Jon Brion ส่วน Stuart Price ผู้เคยโปรดิวซ์อัลบั้มดิ้นสะบัด Confessions On The Dancefloor ให้ Madonna มาช่วยโปรดิวซ์ในเพลง Again and again และ Black Burning Heart ที่โครงสร้างคล้ายเพลงในยุคแรก เพียงแต่ประดับประดาด้วยซินฯหนาเปอะจนจำกันแทบไม่ได้

เพลงที่คุณควรจะใส่ใจกับเนื้อหาสักหน่อยคือไทเทิลแทร็ค ที่ดูจงใจจะให้ยิ่งใหญ่เป็น epic ว่าด้วยเรื่องของการพลีชีพในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ (สมัยนี้สื่อเขาเรียกว่า “ระเบิดฆ่าตัวตาย”) และทำลายฝ่ายตรงข้ามหรือการเลือกที่จะอยู่กับคนที่คุณรักและสร้างสิ่งดีงาม

Perfect Symmetry เป็นงานที่ไม่ค่อยจะสมดุลย์เหมือนชื่ออัลบั้มนัก เพลงที่โดดเด่นไหลลงมากองกันที่หน้าอัลบั้มเสียเกือบหมด ไม่ได้หมายความว่าเพลงที่เหลือจะแย่ ปัญหาอาจจะอยู่ที่การเรียงเพลง? แต่อัลบั้มคลาสสิกอย่าง Joshua Tree ก็มีลักษณะ front-loaded อย่างนี้เหมือนกัน ถ้าจะจับ Perfect Symmetryไปยืนแลกหมัดกับ Viva La Vida อาจจะสูสีในยกแรกๆแต่ยกหลังๆคงต้องยอมให้ Chris Martin เขาไปอีกระยะหนึ่งครับ แฟนเก่าๆอย่าเพิ่งถอดใจไปกับซิงเกิ้ลแรก แก่นแท้ความเป็น Keane เพราะๆของพวกเขายังอยู่ดีครับ เพียงแต่แต่งตัวใหม่สดใสเฟี้ยวฟ้าวขึ้นมาหน่อย และการที่เขานำซาวนด์แบบซินธ์ป๊อบ 80’s มาใช้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเชยหรือย้อนยุคอะไร
(Deluxe edition จะมี demo ของทุกเพลงในอัลบั้มด้วยครับ ฟังแล้วก็ดิบๆและตลกดีเหมือนกัน)

1 comment:

winston said...

เป็นอัลบั้มที่โดนสับไม่น้อยเหมือนกัน ผมคิดว่าพวกเขากำลังอยู่ในช่วงปรับแนวทางใหม่นะ อัลบั้มหน้าจะเป็นจุดชี้ชะตากรรมของคีน