Friday 20 February 2009

Madonna Hard Candy


“Raw Sugar.”

Madonna Hard Candy (WARNER BROS.) ****





ผมโตและ...สูงวัยมาพร้อมๆกับเธอ บางคนบอกว่าเธอคือจีเนียสไอคิวติดเพดาน ผมเชื่อแฮะ การที่จะเป็นควีนออฟป๊อบมาได้นานขนาดนี้นั้นมันต้องใช้สมองขนาดเบ้งทีเดียวล่ะ ก็เธอไม่ใช่นักร้องเลิศเลออะไร การแต่งเพลงก็ไม่ได้โดดเด่น เอาล่ะ มาดอนนามักจะมีความฮ็อตอยู่เสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่จุดแกร่งที่สุดของเธออยู่ที่เธอรู้เสมอว่าทำอย่างไรถึงจะดัง และเธอก็มักจะทำไอ้อย่างไรนั้นได้เสมอ Hard Candy อาจจะน่าเบื่อและเป็นสูตรสำเร็จ แต่ขณะเดียวกันนั่นก็แปลว่ามันจะเข้าถึงผู้คนและขายดีเป็นขนมหวานหน้าโรงเรียน อัลบั้มล่าสุดของเธอ Confessions On The Dance Floor เรียกชื่อเสียงกลับมาได้แต่ยอดขายในอเมริกากลับไม่กระฉูด ว่ากันว่าคนอเมริกันไม่ชอบเพลงเต้นแบบไหลลื่นอย่างนั้น คราวนี้เธอเลยไม่เอาแล้ว เพราะอเมริกาก็ยังเป็นเป้าหมายหลักของศิลปินระดับเธออยู่ดี “ใครจะมาทำอัลบั้มใหม่ให้ฉัน และทำให้คนอเมริกันทั้งประเทศรักและซื้อมัน?” ราชินีป๊อบถาม และลิ่วล้อก็ระล่ำระลักตอบกันว่า ดับเบิลทิม(บาแลนด์ บาเลค) ฟาเรลล์ สิครับ และถ้าจะให้เก๋ ก็ต้องเชิญท่านคันเย่มาบ่นซักเพลงด้วย “ดีมาก ไปเอามาให้หมดนั่นแหละ” เดอะควีนบัญชา

แล้วอิมเมจของงานนี้ล่ะ? ไม่แล้ว เธอรู้แล้วว่าเธอไม่อาจแต่งเป็นทหารอย่างใน American Life อีกได้ นั่นย่อมเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตการงานของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
คุณจะไม่ได้เห็นเธอในชุดแนบเนื้อสีหวานอย่างใน Confessions อีกเช่นกัน ลุคงวดนี้ของเจ๊ต้องดิบและแกร่งขึ้น สีต้องดำเท่านั้น บวกกับบู๊ตยาวส้นสูงปรี้ดและเครื่องประดับแบบพอร์นๆ เธอจะ 50 อยู่แล้ว แต่ก็ยังเชื่อมั่นในเซ็กซ์แอพพีลของตนเต็มเหนี่ยว งานนี้มันเกี่ยวกับความใคร่กระสันหา ความเชื่อมั่น และเฟเมนิสต์ แฟนหนุ่มสาวและชาวเกย์ทั่วโลกของเธอต้องรักงานนี้หัวปักหัวปำว่างั้นสิ

คุณไม่ควรฟังอัลบั้มนี้จากหูฟังจิ๋วๆของไอพ็อดหรือลำโพงคอมราคาประหยัด Hard Candy สมควรจะได้แผดเสียงจากสเตอริโอชุดใหญ่ที่สุดในบ้าน มันก็ไม่ถึงจะเป็นงานระดับหูเพชร แต่มันเป็นงานเต้นที่ทรงพลังที่จะพังบ้านคุณเป็นแถบๆได้ขณะเดียวกันก็ยังมีรายละเอียดดนตรียิบยับผิดวิสัยของงานแดนซ์-ป๊อบทั่วๆไป ต้องชมฝีมือการเป็น executive producer ของเธอที่คุมโทนของแต่ละเพลงได้ไม่แตก ทั้งๆที่ลึกลงไปมันเหมือนการทำสงครามชิงเด่นกันระหว่าง The Neptunes ของฟาเรลล์ วิลเลียมส์และทีมของ Timbaland ส่วนดนตรีนั้น Nat ‘Danja’ Hills รับเหมาเล่นเองเกือบทั้งหมด!


เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลโลกแตก 4 Minutes *** ที่เจ๊ยั่วยวนไปกับจัสติน ทิมเบอร์เลค โปรดักชั่นแบบคลาสสิกทิมเบอร์แลนด์ของแท้ ทั้งเสียงบ่นและจังหวะกลองที่ล็อคกับคีย์บอร์ดเลียนเสียงฮอร์น เป็นงานที่ไม่มีทางไม่ฮิต แต่เพลงที่ cool กว่ากลับเป็นงานโปรดิวซ์ของฟาเรลล์ Give It 2 Me *****มาดอนน่าฉบับร่าเริงย้อนไปถึงยุค Holiday-Everybody จังหวะดิสโก้แบบโมโรเดอร์และเสียงซินธ์ที่เหมือนจะจิกคุณออกไปกระโดดโลดเต้นกลางฟลอร์ มันยังมีเนื้อร้องที่เด็ดดวงที่สุดในอัลบั้ม If it's against the law, arrest me / If you can handle it, undress me ตัวเก็งซิงเกิ้ลต่อไปและกลายเป็น anthem ใหม่ในคอนเสิร์ตของเจ๊ไปเรียบร้อย

Miles Away*** (Timbaland) เพลงรักจังหวะกำลังงาม ปูพื้นด้วยกีต้าร์โปร่ง ทำนองสวยคอรัสหวาน เพลงนี้เธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาผิดสังเกต บางคนชี้ว่านี่คงเป็นเพลงที่แต่งให้สามีของเธอ Kanye West พิสูจน์ตัวเองว่าเขาไม่ใช่แค่ rapper ดาดๆใน Beat Goes On**** ที่เขาร่วมแต่งและร้องด้วย (The Neptunes โปรดิวซ์) ใช่ beat goes on และมันลุ่มลึกมีมิติกว่าเพลงของสองทิมอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วสองแทร็คสุดท้าย Devil Wouldn’t Recognize You**** และ Voices*** ที่เป็นงานของ Timberland ก็ช่วยตีตื้นให้เขา จู่ๆมาดอนนาก็ปิดฟลอร์เลิกเต้นและปิดท้ายอัลบั้มด้วยงาน electronic epic pop อย่างน่าประทับใจ รวมคะแนนแล้วต้องให้ทั้งสองค่ายโปรดิวเซอร์เสมอกันไปหวุดหวิด

อ้าว ดูเหมือนผมจะลืมพูดถึงนักร้อง,เจ้าของอัลบั้มไปเสียนี่ เสียงร้องของเธอย้อนกลับไปในยุค Like A Virgin อีกครั้ง คุณชอบไหมล่ะ เสียงเล็กๆบางๆเซ็กซี่แบบยุค boytoy นั่น รีวิวใน allmusic อัดเธอว่านี่เป็นงานที่หาได้ยาก...มาดอนน่าที่ไร้ชีวิตชีวา พูดไปก็ถูก เสียงร้องเธอไม่มีความรู้สึกเอาเสียเลย แต่ผมก็บอกคุณแล้วนี่นา มาดอนนาไม่ใช่ยอดนักร้องซักหน่อย

ต้องสรุปกันหน่อยล่ะ นี่เป็นงานป๊อบแดนซ์ชั้นยอดในแบบเอาใจตลาดอเมริกันเต็มที่ อาจจะไม่เหนือชั้นอย่าง Ray Of Light หรือ Like a Prayer แต่ถ้าเธอเล็งเป้าไปที่เชิงพาณิชย์ล้วนๆงานนี้ก็ปิดประตูล้มเหลว แล้วจะซีเรียสหรือทำเป็นไม่หิวโหยไปไย บุกเข้าไปร้านขนมหวานของเธอ เต้นให้สุดเหวี่ยง และ Give It 2 Her.

ขอปิดท้ายด้วยเนื้อเพลงอีกท่อนของเพลง Give It 2 Me
When the lights go down and there's no one left I can go on and on and on
ใครจะมาใครจะไป มาดอนนาก็ยังคงอยู่ ต่อไปต่อไปต่อไป....

No comments: