Saturday 21 March 2015

Macca@Valentine


My Macca Valentine
----------------
ขยันกว่านี้มีอีกไหม? ในวัย 72 ปี เซอร์ พอล แมคคาร์ทนีย์ ยังเต็มไปด้วยไฟในการที่จะเซอร์ไพรซ์แฟนเพลงไม่หยุดย่อน เช้าวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา (14/2/2015) พอลประกาศว่าจะเล่นคอนเสิร์ตเล็กๆฉลองวันแห่งความรักที่ Irving Plaza ในนิวยอร์คในคืนนั้น โดยเขาขายบัตรเพียงไม่กี่ร้อยใบราคาเพียงใบละ 40 เหรียญ, ใครมาก่อนได้ก่อน
ที่น่าสนใจคือ Irving Plaza นี้เล็กมาก จุได้แค่ประมาณ1,000คน พอลคงอยากกลับไประลึกถึงบรรยากาศแบบ Cavern อีกครั้ง การแสดงแบบนี้พอลจะได้ใกล้ชิดกับคนดูไม่เหมือนกับเล่นในอรีน่า แต่นั่นก็หมายความว่าเขาไม่อาจมี"ตัวช่วย"อย่างจอวิดีโอขนาดยักษ์ด้านหลัง หรือบรรดาพลุไฟและเลเซอร์ต่างๆ พอลและลูกวงต้องรับมือกับแฟนๆพันคนด้วยฝีมือล้วนๆ และแน่นอนว่าพอลเอาอยู่ นี่เป็นการแสดงที่บ้าคลั่งเต็มไปด้วยพลังแห่งร็อคแอนด์โรลและไม่มีร่องรอยสักนิดของความน่าเบื่อหน่าย
พอลและพรรคพวกขึ้นเวทีตอนห้าทุ่ม และเริ่มการแสดงด้วยเพลง 'Eight Days A Week' เพลงที่ช่วงหลังเขาชอบเอามาเล่นเปิดการแสดงบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ เขาไม่ได้เป็นพอลตัวเล็กๆอยู่ห่างจากคนดูเป็นกิโลๆ แต่นี่เขายืนอยู่ตรงนั้น ตัวเป็นๆ และตอบรับทุกเสียงเชียร์จากฝูงชนตรงหน้า สองสามเพลงแรกที่เขาเล่น พอลถึงกับต้องหยุดระหว่างเพลงพักใหญ่ๆรอให้เสียงปรบมือสนั่นหวั่นไหวเบาบางลงถึงจะขึ้นเพลงต่อไปได้ งานนี้มีคนดังๆมาไม่น้อยทีเดียว อาทิท่านวุฒิสมาชิก Cory Booker, Steven Van Zandt แห่ง E Street Band หรือ Lorne Michaels, Fred Armisen และ Maya Rudolph แห่ง Saturday Night Live แต่ที่มากที่สุดก็คือแฟนเพลงทั่วไปที่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่จะได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในเหตุการณ์แบบนี้
หลังจากเล่นไป 4 เพลง พอลก็ประกาศว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรนิดหน่อยจากเซ็ตลิสต์ปกติของเขา "เราจะต่อกันด้วยเพลงแรกๆที่เราแต่งกัน นานแสนนานมาแล้ว ใน Bethlehem" เขากล่าวติดตลก พอลหมายถึงเพลง 'One After 909' ที่เขากับจอห์น เลนนอน เขียนกันไว้สมัยอยู่ลิเวอร์พูลไม่นานนักหลังจากพวกเขารู้จักกันในช่วงปลายทศวรรษ 50's และมันเป็นเพลงที่พอลนำมาเล่นบนเวทีไม่กี่ครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จังหวะร็อคไหลลื่นของมันเหมาะนักกับบรรยากาศ rock-club ในคืนนี้ ดังนั้นเขาเลยต่อด้วยเพลง cover ของ Carl Perkins 'Matchbox' ที่พอลลงมือโซโลกีต้าร์ในแนวร็อคอะบิลลี่อย่างดุดันด้วยตนเอง และหลังจากนั้นไม่นานก็เป็นคิวของ 'It's So Easy' เพลงเก่าของ Buddy Holly and the Crickets ที่พอลบอกกับคนดูว่า "ส่วนมากแล้วเรามักจะเล่นเพลงพวกนี้กันตอนซาวนด์เช็ค" มันเห็นได้ชัดว่าเขาสนุกแค่ไหนกับการเล่นเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจเก่าๆเหล่านี้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องส่งพลังไปให้คนทั้งสเตเดี้ยมใหญ่ๆได้รับ
นั่นคืออารมณ์ของค่ำคืนนี้ ทั้งเพลงฮิตและมนต์เสน่ห์ของแมคคาร์ทนีย์โชว์ เพียงแต่ดูสบายๆกว่าปกติเท่านั้น จะมีที่ไหนอีกล่ะที่คุณจะได้เห็นเขาต่อปากต่อคำกับแฟนเพลงที่จะขึ้นมาบนเวที? "เอางี้ดีไหม นายอยู่ตรงนั้นและฉันอยู่ตรงนี้" เขาบอกกับแฟนคนนึงที่กำลังทำท่าจะขึ้นมาบนเวทีหลังจบเพลง 'We Can Work It Out' "ฉันมีรปภ.นะที่รัก!" บทสนทนาของเขากับคนดูในช่วงระหว่างเพลงก็ดูมิอิสระและบ้าๆบอๆกว่าที่เคยมา มีตอนนึงที่เขาให้ทฤษฎีเกี่ยวกับเบสฮอฟเนอร์ตัวแรกของเขาที่ถูกขโมยไป (เขาจินตนาการว่ามีไอ้ขี้เมาคนนึงเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหนซักแห่งในแถบบ้านนอกของเยอรมัน)
เมื่อมาถึงเพลงร็อคที่หนักขึ้นอย่าง 'Jet', 'Let Me Roll It' และ 'Back In The U.S.S.R.' บรรยากาศที่เบียดแน่นในห้องบอลรูมก็ยิ่งทำให้มันฟังออกมายิ่งใหญ่สุดๆ แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้ช่วงเวลาอ่อนหวานอย่าง 'Every Night' ที่ใช้เสียงอคูสติกสะกดแฟนเพลง เป็นช่วงที่โรแมนติกที่สุดแห่งราตรี และไม่มีอะไรเทียบได้กับท่อน singalong ใน 'Hey Jude' ที่เป็นเพลงปิดท้าย main set มันไม่เหมือนกับการได้ยินมันในอรีนา การร้องร่วมกันใน Irving Plaza คุณจะรู้สึกเหมือนทุกๆคนได้ร่วมมีส่วนในการเฉลิมฉลองนี้มันพิเศษจริงๆ และพอลก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนเขาบอกให้คนดูร้องท่อน beep-beep, beep-beep, yeah ใน 'Drive My Car' เขายิ้มและบอกว่า "นั่นมันยอดมาก ผมรักสิ่งนี้จัง"
พอลออกมาอังกอร์ด้วย Abbey Road Medley... 'Golden Slumbers'/'Carry That Weight'/'The End'. และลงจากเวทีไปตอนประมาณตี 1 แฟนเพลงเดินออกจากพลาซาไปด้วยความเต็มอิ่มและมึนงง ราวกับทุกอย่างเป็นความฝัน....
Set list:
"Eight Days a Week"
"Save Us"
"All My Loving"
"One After 909"
"Matchbox" (Carl Perkins cover)
"Let Me Roll It"
"Nineteen Hundred and Eighty Five"
"My Valentine"
"Maybe I'm Amazed"
"I've Just Seen a Face"
"It's So Easy" (Buddy Holly cover)
"Every Night"
"Another Day"
"We Can Work It Out"
"And I Love Her"
"New"
"Lady Madonna"
"Jet"
"Drive My Car"
"Ob-La-Di, Ob-La-Da"
"Back in the USSR"
"Let It Be"
"Hey Jude"
"Golden Slumbers"
"Carry That Weight"
"The End"
เรียบเรียงจาก rollingstone.com

No comments: