Friday 20 March 2015

"Every Breath You Take"


(เขียน:2550)
--------------------------------------
Every Breath You Take อาจจะเป็นเพลงเดียวในชีวิตที่ผมฟังครั้งแรกก็เหมือนกับเคยฟังมันมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ให้ฟังอีกกี่พันกี่ร้อยหน ก็ยังรู้สึกดีๆกับมันเหมือนกับตอนฟังครั้งแรกไม่เบื่อหน่าย
มันคือเพลงรัก? มันคือเพลงของพวกโรคจิต stalker? หรือคือซาวนด์แทร็คนอกทำเนียบของวรรณกรรม Big Brother (1984)? แฟนเพลงของ The Police และ Sting อาจจะถึงขั้นชกต่อยกันมาแล้วเพราะเรื่องนี้ แต่ใครจะให้คำตอบได้ดีไปกว่าตัว Sting ผู้แต่งเอง
The Police กลับมาออกทัวร์รียูเนียนกันอีกครั้งในปีนี้ ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ทราบจะไปด้วยกันได้สักกี่น้ำ เพราะแค่ไม่กี่ gig Stewart Copland มือกลองหน้ายาวก็ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า การทัวร์ครั้งนี้คือความ "หายนะ" (แต่ใน live earth พวกเขาสุดเจ๋ง)
ช่างมันเถิดน่า! เพราะความจริงทัวร์ครั้งนี้ออกมาเพื่อสนองตัณหาของนายสติงแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว เขาคงจะเบื่อการเป็นศิลปินเดี่ยวที่ทำมานานหลายปีดีดัก และอยากจะกลับไปเล่นดนตรีโชว์ฝีมือกันแบบทริโออีกครั้งหนึ่ง ดูเหมือนสติงจะพยายามลืมไปได้แล้ว ว่าก่อนที่ Police จะสลายกรม พวกเขาอัดกันมาแค่ไหน แม้ว่างานสุดท้ายของพวกเขาจะเป็น masterpiece 'Synchronicity' ในปี 1983 ที่มีเพลง Every Breath You Take เป็นซิงเกิ้ลหัวหอก
เรื่องมันเริ่มมาจากชีวิตการแต่งงานที่คว่ำทลายของสติง ทำให้เขามีไอเดียจะแต่งเพลงนี้ มันเกี่ยวกับความลุ่มหลงหมกมุ่นและความอยากจะควบคุมทุกอย่าง เขาเขียนมันบนเปียโน แน่นอนมันโลดแล่นอยู่บนคอร์ดที่เรียบง่าย major chord, relative minor แต่ก็มีการหักมุมเล็กน้อย วันนั้นสติงไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่านี่มันเหมาะจะเป็นเพลงของ The Police รึเปล่า เขาต้องรอจนกระทั่งมือกีต้าร์ร่างเล็ก Andy Summers ใส่ท่อนริฟฟ์อันโด่งดังนั้นเข้าไป สติงจึงดีดนิ้ว "ทันใดนั้นเอง มันก็กลายเป็นเพลงของ Police" เขาบอก
แต่เมื่อแอนดี้ได้ฟังเดโมครั้งแรก เขาคิดว่ามันเป็นอะไรที่โจ่งแจ้งตรงไปตรงมาไปหน่อยสำหรับพวกเขา แต่เขาก็ชอบมัน เขาชอบการตอกย้ำของเนื้อหาและเสียงของสติง แต่เขาไม่ค่อยชอบเสียงคีย์บอร์ดในเดโมที่ฟังดูแล้วเหมือนเพลงของ Yes ไปหน่อย
แต่ปัญหาใหญ่หลวงอยู่ที่เรื่องของกลองมากกว่า สติงรู้ดีแต่แรกว่าเพลงนี้มันต้องการเสียงกลองที่ธรรมดาสุดๆ ไม่มีการโชว์ออฟอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อคุณมีมือกลองชื่อ สจ๊วต โคปแลนด์ผู้ไม่รู้จักการตีแบบเบสิก นั่นล่ะปัญหายักษ์ และก็จริงอย่างที่สติงคาด พวกเขาแย้งกันไม่เลิกตั้งแต่ต้นจนจบ สจ๊วตก็รู้ทั้งรู้ว่าเพลงอย่างนี้ต้องการเสียงกลองแบบไหน แต่พอเข้าห้องอัดจริงๆเขาก็ไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น พยายามจะใส่จังหวะเร็กเก้ที่เขาถนัดเข้าไปจนได้ ซึ่งสจ๊วตก็ออกมายอมรับว่า "สติงมันพูดถูกแล้ว ผมเองแหละที่ผิด ผมมันไอ้ asshole บ้าอีโก้"
สุดท้ายสจ๊วตก็ต้องตีกลองควบไปกับดรัมแมชชีน นั่นคือสิ่งที่สติงต้องการ เสียงแบบ "เครื่องจักร" และสจ๊วต โคปแลนด์ก็ต้องยอมรับว่าบางทีเขาก็ไม่อาจเป็นสจ๊วต โคปแลนด์ เพื่อเพลงดีๆเพลงหนึ่ง
การทะเลาะกันของ Police นั้นคนนอกไม่มีทางเข้าใจ มีอยูครั้งหนึ่งที่โค-โปรดิวเซอร์ Hugh Padgham มาเห็นพวกเขากำลังด่าฉอดๆใส่กันและทำท่าจะลงไม้ลงมือ เขารีบปรี่เข้าไปห้าม แต่สจ๊วตกลับตะคอกใส่ "ไปใกลๆเลย มึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกกูหรอก" (ขออภัยที่หยาบ) แต่พวกเขาก็ยืนยันว่า The Police ไม่เคยทำร้ายร่างกายกันจริงๆ เพียงแต่ว่าขณะที่ฮิวจ์เข้ามานั้น สถานการณ์อาจจะกำลังมาคุเต็มทน
เมื่อถึงท่อนกีต้าร์ สติงสร้างความประหลาดใจ เมื่อบอกกับแอนดี้ว่า "เอาเลย ทำให้เป็นเพลงของนายให้ได้" แม้ว่าแอนดี้จะไม่แน่ใจว่านั่นมันหมายความว่า "โอเค ทำอะไรก็ทำ กูไม่สนแล้ว" หรือเปล่า แต่เขาก็พร้อมจะลุยมัน เขาทราบดีว่าการเล่นคอร์ดดุดันนั้นไม่เวิร์คแน่ๆ มันจะไปเกะกะกับเสียงร้อง และเมื่อแบคกิ้งแทร็คดังขึ้น แอนดี้ก็ไม่ทันได้คิดอะไรก่อนที่จะเล่น passage ที่เราคุ้นหูกันในท่อนอินโทรนั้น ( I played this succint passage outling the arpeggios, but with the added second or the major ninths which are beautiful when you drop to the sixth minor chord...) (ขอไม่พากษ์นะ กลัวผิด) และด้วยลิกนี้ ความฝันตั้งแต่เด็กที่อยากจะสร้างสิ่งที่นักกีต้าร์ทั่วโลกต้องเล่นของแอนดี้ก็เป็นจริง "พ่อและแม่ผมคงภูมิใจ" ว่าเข้านั่น แอนดี้
เสียงร้องล่ะ สติงคุยว่า งานนี้ไม่ใช่ฟลุค เขาวางแผนมาอย่างดีว่าจะใช้ "เส้นเสียง" แบบไหนในการร้อง มันต้องเป็นเพลงที่เซ็กซี่และเย้ายวนในตัว เขาประสานเสียงเองด้วย เสียงร้องประหลาดๆที่ไม่มี vibrato อันเป็นเอกลักษณ์ ส่วนตำรวจอีกสองนายก็คอยให้คอมเมนต์ว่าอันไหนร้องถูกคีย์หรือไม่
ทั้งหมดที่ผ่านมาบันทึกเสียงกันที่ Air Studios, Montserrat ในเดือนธันวาคม 1982 พวกเขามาโอเวอร์ดับกันที่ Le Studio, Morin Heights, Quebec ในเดือนมกราคม 1983
สจ๊วตเล่าว่า ตอนเช้าสติงชอบออกไปเล่นสกี และเขาก็ฉวยโอกาสทองนั้นแอบตีฉาบไฮ-แฮทเพิ่มลงไปในเพลง (ยัง...มันยังไม่เลิก...) พอตอนบ่ายสจ๊วตก็ออกไปเล่นสกีมั่ง และสติงก็กลับมาลบมันทิ้ง สจ๊วตบ่นอู้ "ผมผิดหวังมาก นี่เขาคิดอะไรของเขานะ คิดว่าผมจะไม่สังเกตเห็นรึไง?" (ฮามาก)
สติงยอมรับว่าเขาต้องต่อสู้และทำลายล้างมากมายกว่าจะได้เพลงนี้มา มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
แต่มันก็คุ้ม? เพราะมันเป็นเพลงที่ดังที่สุดของพวกเขา ของปี 1983 ของยุคเอ็กตี้ส์ และอาจจะเป็นหนึ่งในเพลงป๊อบที่สมบูรณ์ที่สุดตลอดกาล แอนดี้บอกว่า Every Breath You Take นั้นมีความงดงามที่ถ่วงดุลย์กันพอดี ส่วนสติงก็ยอมรับว่าเพลงนี้มันไม่ออริจินัลหรอก แต่เสน่ห์ของมันคือมันมืดหม่นแต่ก็เปี่ยมสุข เขาคิดว่าที่มันเป็นเพลงดังที่สุดแห่งยุค 80's อาจจะเป็นเพราะมันเป็นภาพสะท้อนของยุครีแกน ยุคของสตาร์วอร์ส ยุคของ "เราจะดูแลคุณเอง"
ทั้งหมดมันเกี่ยวกับ control...
******************
Every breath you take
And every move you make
Every bond you break, every step you take
I'll be watching you
Every single day
And every word you say
Every game you play, every night you stay
I'll be watching you
Oh, can't you see
You belong to me?
How my poor heart aches
With every step you take
Every move you make
Every vow you break
Every smile you fake, every claim you stake
I'll be watching you
Since you've gone I've been lost without a trace
I dream at night, I can only see your face
I look around, but it's you I can't replace
I feel so cold, and I long for your embrace
I keep crying baby, baby please,
Oh, can't you see
You belong to me?
How my poor heart aches
With every step you take
Every move you make
Every vow you break
Every smile you fake, every claim you stake
I'll be watching you
Every move you make, every step you take
I'll be watching you
I'll be watching you

No comments: